เล่มที่ 27 เล่มที่ 27 ตอนที่ 789 น่าโมโหนัก ท่านอ๋องชนะอีกแล้ว

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องจัดการเรื่องต่างๆ

“ไปสืบมาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่ารถม้าของพวกเขาออกไปแล้ว และไม่มีการเปลี่ยนรถกลางทาง”

ตงหลิงหวงส่งลูกน้องในกลุ่มฉีเฟิงที่นางไว้ใจที่สุดออกไป

หลังจากได้รับการยืนยันว่าซูจิ่นซีออกไปแล้ว ตอนกลางคืน ตงหลิงหวงจึงเรียกแม่ทัพใหญ่ทั้งห้านาย ได้แก่ แม่ทัพซ่ง แม่ทัพผาง แม่ทัพซืออวิ๋น แม่ทัพหลิง และแม่ทัพฮัว มาหารือเรื่องแผนลอบโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลี

หลังจากวางแผนอย่างรอบคอบ เมื่อถึงยามจื่อ ตงหลิงหวงจึงนำกองกำลังออกไปโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลีโดยตรง

ตลอดเส้นทางเป็นไปอย่างราบรื่น

ทว่าขณะที่เข้าใกล้ค่ายทหารแคว้นหนานหลี ตงหลิงหวงกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

โดยทั่วไปแล้ว หากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาไม่อยู่ในค่ายทหาร บริเวณโดยรอบค่ายทหารควรวางกำลังรัดกุมกว่านี้

ทว่าในเวลานี้ นอกจากทหารหน่วยลาดตระเวนตามปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดวางกำลังเสริมนอกค่ายทหารแคว้นหนานหลีแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่าเป็นกลอุบายเชิญท่านลงโอ่ง!

แม่ทัพซืออวิ๋นเป็นคนรอบคอบ เมื่อเห็นตงหลิงหวงแสดงท่าทางผิดปกติ เขาก็เดาออกว่านางกำลังคิดอันใดอยู่

“องค์รัชทายาท บางทีนี่อาจเป็นกลศึกเมืองว่างเปล่าของศัตรูกระมัง! ”

ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ต้องระวังให้มาก

ตงหลิงหวงเหลือบมองแม่ทัพซ่ง แม่ทัพซ่งเข้าใจในทันที และแอบหลบไปเพื่อติดต่อกับสายสืบในค่ายทหารแคว้นหนานหลี

ผ่านไปครู่หนึ่ง แม่ทัพซ่งก็กลับมา

“องค์รัชทายาท ยืนยันแล้วว่าฉางอันกงจู่และโยวอ๋องไม่ได้อยู่ในค่ายทหารจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เดิมทีมีการวางกำลังทหารลาดตระเวนเพิ่มขึ้นในคืนนี้ ทว่าพวกเขาได้ยินมาว่าแม่ทัพมู่หรงป่วยอย่างกะทันหัน ทหารที่ได้รับข่าวต่างหวาดกลัวว่าตนเองจะตกอยู่ในอันตรายจึงหลบหนีไปจำนวนหนึ่ง ทหารลาดตระเวนจึงออกไปตามจับทหารหนีทัพเหล่านั้น อีกทั้งเวลานี้เป็นช่วงผลัดเวร ปกติจะหละหลวมอยู่แล้ว สถานการณ์ที่เราเห็นตอนนี้เป็นเรื่องปกติพ่ะย่ะค่ะ”

ในบรรดาแม่ทัพใหญ่ทั้งห้า แม่ทัพซ่งรอบคอบที่สุด ตงหลิงหวงครุ่นคิดอย่างละเอียดและรู้สึกว่าสิ่งที่แม่ทัพซ่งกล่าวมานั้นมีความน่าเชื่อถือ

นอกจากนั้น คืนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะลอบโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลี หากพลาดครั้งนี้ ครั้งหน้าอาจไม่มีอีกแล้ว

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ควรประมาทเลินเล่อ

“สั่งให้สายลับเผาคลังเสบียงในค่ายทหารแคว้นหนานหลีก่อน พวกเราจะบุกเข้าไปเมื่อไฟลุกโชน”

“พ่ะย่ะค่ะ! ”

แม่ทัพซ่งจากไป ครู่หนึ่ง เปลวเพลิงก็ปะทุขึ้นในค่ายทหารแคว้นหนานหลีที่อยู่ไกลออกไป

ตงหลิงหวงออกคำสั่งให้ทุกคนบุกเข้าไปโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลีทันที

ทางนี้มีคนจำนวนมาก อีกทั้งส่วนใหญ่ยังเป็นยอดฝีมือของกองทัพยวี่หลินและทหารจากค่ายพยัคฆ์บิน จึงสามารถจัดการทหารที่เฝ้าหน้าค่ายได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าตงหลิงหวงรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ว่ากันตามเหตุผล ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทหารในแคว้นหนานหลีควรตื่นตระหนกมากกว่านี้

แท้จริงแล้ว นางได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือด้วยความตื่นตระหนกและเสียงตะโกนให้ฆ่า ทว่าเสียงนั้นฟังดูราบเรียบมากเกินไป

ยิ่งไปกว่านั้น เสื้อผ้าและสภาพทหารแต่ละนายที่วิ่งออกมาจากค่าย ดูไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

นางรู้สึกผิดปกติอย่างมาก จึงรีบออกคำสั่งทันที “ตกหลุมพรางแล้ว มีซุ่มโจมตี รีบถอย! ”

ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว

ทันใดนั้น ทหารจำนวนมากจากที่ใดก็ไม่รู้ ได้เข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้

ขุนพลผีที่มีสัญลักษณ์วิหารวิญญาณเหาะลงมาจากท้องฟ้า ส่วนหนึ่งเข้าไปขวางยอดฝีมือค่ายทหารพยัคฆ์บินและกองทัพยวี่หลิน อีกส่วนหนึ่งเข้ามาขวางทางพวกเขา

ดวงตาสดใสของตงหลิงหวงหรี่ลงอย่างดุดัน นางค่อยๆ คลี่พัดเหล็กในมือออก

‘ชริ้ง’ภายใต้แสงจันทร์ ใบมีดรูปเพชรทั้งสิบสองเล่มที่ปลายสุดของพัดพลันเปล่งแสงเย็นยะเยือกเต็มไปด้วยไอสังหาร

“รัชทายาทตงเฉิน ข้ารอท่านอยู่นานแล้ว! ”

ไม่ไกลนัก เสียงที่ไร้ตัวตนดังมาจากส่วนลึกในภูเขา เหล่าทหารของแคว้นหนานหลีต่างหลีกออกเป็นทางเดิน ซูจิ่นซีในชุดเกราะสีเงินเดินมาด้วยท่วงท่าสง่างาม นางเดินมาในทิศทางของตงหลิงหวงอย่างเชื่องช้า

เมื่อเห็นซูจิ่นซี แววตาของตงหลิงหวงทวีความเย็นยะเยือกมากขึ้น

“เจ้าเล่นกลโกง! ”

“ศึกไม่หน่ายเล่ห์กล เช่นเดียวกับเจ้า! ”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้วพลางยกยิ้มเล็กน้อย

ตงหลิงหวงยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา

ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแผ่วเบา “จำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อน ท่านกับข้าร่วมดื่มชาในโรงน้ำชาที่เมืองเย่หลินแคว้นหนานหลี พวกเราสนทนากันอย่างถูกคอ การแข่งขันซิ่งหลินก็ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ไม่คิดว่าเวลาผ่านไปเพียงประเดี๋ยวเดียว กลับต้องต่อสู้กัน น่าเสียดายยิ่งนัก! ”

แววตาเย็นยะเยือกของตงหลิงหวงอ่อนลงเล็กน้อยเพราะคำพูดของซูจิ่นซี

“ไม่รู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าคือพระชายาโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง หรือฉางอันกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี? ”

ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “โอ้? ”

“หากเป็นพระชายาโยวอ๋อง ท่านกับข้ายังเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน หากเป็นฉางอันกงจู่ ทั้งสองแคว้นกำลังทำศึกกัน ท่านกับข้าไม่มีอันใดต้องเสียดาย”

การแสดงออกของซูจิ่นซียากเกินคาดเดา แววตาของนางเจิดจ้าชัดเจน ดวงตาสดใสนั้นทำให้ผู้อื่นคาดเดาไม่ถูกว่าภายในใจของนางคิดอันใด

นางกวาดสายตาไปยังกองทัพแคว้นหนานหลีและขุนพลผีของวิหารวิญญาณซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ก่อนจะให้คำตอบที่คลุมเครือแก่ตงหลิงหวง

“เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกหรือ? ”

นางมาพร้อมกับกองทัพของแคว้นหนานหลีและขุนพลผีของวิหารวิญญาณ ไม่ว่านางจะมีสถานะเช่นไร นางก็ยังเป็นซูจิ่นซี เพียงซูจิ่นซีเท่านั้น

ตงหลิงหวงหมุนพัดเหล็กในมือเล็กน้อย แสงเย็นยะเยือกของพัดเหล็กส่องสว่างในความมืด แต่ที่เย็นยะเยือกกว่าแสงนั้นคือดวงตาของนาง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ระหว่างเราก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันอีก ลงมือเถิด! ”

ตงหลิงหวงไม่มีวันยอมแพ้ วันนี้นางต้องต่อสู้ให้แตกหัก บุกฝ่าวงล้อมไปพร้อมกับพี่น้องที่ติดตามนางมา

แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความเย็นชาเช่นกัน นางหันมาบัญชาการกองทัพด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและจากไปอย่างรวดเร็ว “จับเป็นตงหลิงหวงมาให้ได้”

ภายใต้แสงจันทร์ไกลออกไป เยี่ยโยวเหยานั่งเอนหลังพิงเก้าอี้หนังเสือตัวใหญ่ ด้านข้างเขาคือเกมหมากรุกที่กำลังเดินไปได้เพียงครึ่งทาง

ซูจิ่นซีเดินตรงไปหาเยี่ยโยวเหยา และนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา

เมื่อนางลืมตาขึ้นมองเยี่ยโยวเหยา แววตาเย็นชาขณะที่นางออกคำสั่งเมื่อครู่พลันมลายหายสิ้น แทนที่ด้วยแววตาอ่อนโยนและความเสน่หาที่มีต่อคนรักเท่านั้น

“ท่านอ๋อง เราเล่นกันต่อเถิด! ”

ซูจิ่นซีพูดพลางวางหมากรุกสีขาวลงบนกระดาน

“แม้จะอยู่ห่างกันนับพันลี้ ทว่าข้ามักรู้สึกเสมอว่าพระจันทร์ยามค่ำคืนที่แคว้นหนานหลี ไม่งดงามเท่าแคว้นจงหนิงแม้แต่น้อย ท่านอ๋องคิดเห็นเช่นไร! ”

“อืม ทิวทัศน์สู้แคว้นจงหนิงไม่ได้! ”

“แม้แต่สายลมยามค่ำคืนก็เช่นกัน”

ขณะที่คู่รักทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับการชื่นชมทิวทัศน์ท่ามกลางแสงจันทร์ ทั้งยังเล่นหมากรุกด้วยความผ่อนคลายราวกับว่าพวกเขาปลีกตัวออกจากโลกภายนอก และไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ในสนามรบอันดุเดือดที่อยู่ไกลออกไป

อีกด้านหนึ่ง เสียงการฆ่าฟันที่ดังกึกก้องนั้นอยู่ห่างจากพวกเขาทั้งสองเพียงไม่กี่ก้าว แต่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาสองคนแม้แต่น้อย

แม้ทหารของแคว้นหนานหลีและขุนพลผีจะเป็นยอดฝีมือ ทว่าเหล่าทหารที่นำโดยตงหลิงหวงก็ไม่ด้อยเช่นกัน

อีกทั้ง ซูจิ่นซียังสั่งให้จับเป็นตงหลิงหวง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้กันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามเต็ม

ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเล่นหมากรุกจบไปหนึ่งกระดาน และจบไปอีกหนึ่งกระดาน

ซูจิ่นซีขว้างหมากรุกลงบนกระดานด้วยท่าทีโกรธเคือง “น่าโมโหนัก ท่านอ๋องชนะข้าอีกแล้ว! ”

เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

ซูจิ่นซีหันไปมองสนามรบในระยะไกล ทันใดนั้น นางก็กระโดดขึ้น และพุ่งไปหาตงหลิงหวงที่กำลังต่อสู้