เวลาผ่านไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม ร่ายกายของตงหลิงหวงสูญเสียความแข็งแกร่งไปเกือบหมด
อย่างไรก็ตาม นางยังรับรู้ได้ว่ามียอดฝีมือกำลังลอบโจมตีมาทางด้านหลัง
ทว่าเมื่อนางต้องการหลบหลีก ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ซูจิ่นซีตบไหล่ตงหลิงหวงอย่างแรง
ตงหลิงหวงโซเซไปข้างหน้าสองก้าวและล้มลงกับพื้น
ทันใดนั้น กระบี่ยาวนับสิบเล่มก็พาดบนลำคอของตงหลิงหวง
ภายในกระโจมบัญชาการ ทหารทั้งหมดถูกสั่งให้ถอยออกไป โดยให้ถอยห่างจากกระโจมบัญชาการห้าก้าว
ภายในกระโจมมีเพียงสามคนเท่านั้น คือ ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และตงหลิงหวง
ซูจิ่นซีนั่งบนที่นั่งหลัก พลางเคาะโต๊ะด้วยท่าทางสงบนิ่ง
เยี่ยโยวเหยานั่งด้านข้าง สีหน้าของเขาเรียบเฉยอย่างมาก แม้ใบหน้าจะไร้อารมณ์ ทว่าบุคลิกของเขาสามารถทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
เมื่อตงหลิงหวงถูกพาตัวเข้ามา นางก็ยืนห่างจากซูจิ่นซีห้าก้าว
สุดท้าย เป็นตงหลิงหวงที่ทำลายสถานการณ์เงียบงันนี้ “วันนี้ข้าพ่ายแพ้ในมือของเจ้า ข้าไร้ซึ่งคำพูด ทว่ามีจุดหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”
“อันใด”
“เจ้าติดสินบนแม่ทัพซ่งได้อย่างไร? ”
แม่ทัพซ่งเป็นหนึ่งในแม่ทัพคนสำคัญที่สุดของตงหลงหวง ดังนั้นตอนอยู่นอกค่ายทหาร แม้ตงหลิงหวงจะพิจารณาสิ่งที่แม่ทัพซ่งพูดอย่างรอบคอบ ทว่านางไม่เคยสงสัยแม่ทัพซ่งแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ตงหลิงหวงไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะพูดเช่นนี้ “ข้าไม่ได้ติดสินบนแม่ทัพซ่ง”
ไม่ได้ติดสินบน?
หรือว่า แม้แต่แม่ทัพซ่งก็ถูกหลอกใช้?
เช่นนั้น มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ สายสืบแคว้นตงเฉินในค่ายทหารแคว้นหนานหลีถูกค้นพบแล้ว ทว่าซูจิ่นซีไม่เพียงไม่กำจัดคนเหล่านั้นออกไปเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์จากพวกเขาอีกด้วย
เมื่อเข้าใจในจุดนี้ ตงหลิงหวงจึงหัวเราะเยาะตนเอง “จะฆ่าแกงอย่างไรก็เชิญเถิด! ทว่า… กองทัพแคว้นตงเฉินของข้าไม่มีทางยอมแพ้”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “ฆ่าแกงหรือ? หึ หึ ข้าไม่มีความคิดเช่นนั้น”
มู่หรงฉียังอยู่ที่แคว้นตงเฉิน หากนางสังหารตงหลิงหวง มู่หรงฉีต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ซูจิ่นซีพูดว่า “ตงหลิงหวง ความจริงข้าชื่นชมในตัวเจ้า หากเป็นไปได้ ข้ายังหวังว่าสักวันหนึ่ง เจ้าและข้าจะได้พบกันในสนามรบ และต่อสู้กันอีกครั้งด้วยฝีมือที่แท้จริง อย่างไรเสีย… วันนี้ข้าชนะโดยไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย”
ซูจิ่นซีหมายความว่าอย่างไร?
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางคาดเดาความคิดของซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีกลับแสดงความรู้สึกของนางด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
“ไม่ว่าระหว่างแคว้นตงเฉินกับแคว้นหนานหลี หรือระหว่างแคว้นตงเฉินกับแคว้นจงหนิง ไม่ช้าก็เร็วต้องต่อสู้กันในสนามรบสักครั้ง ทว่าไม่ใช่วันนี้ วันนี้ข้าวางแผนอย่างรอบคอบ ประการแรก เพื่อให้เจ้าลอบโจมตีค่ายทหารขณะที่ข้าเดินทางออกจากค่าย ประการที่สอง ข้าต้องการสิ่งของบางอย่างจากเจ้า”
“สิ่งใด? ”
ชั่วขณะหนึ่ง ตงหลิงหวงคิดไม่ออกเลยว่านางมีสิ่งของอันใดที่ควรค่าให้ซูจิ่นซีสนใจ
อย่างไรเสีย ความมั่งคั่งและอิทธิพลของโยวอ๋องก็ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ในฐานะที่ซูจิ่นซีเป็นพระชายาโยวอ๋อง นางคงไม่ต้องการอันใดอีกแล้ว
ซูจิ่นซีพูดด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “วิชาการหล่อขึ้นรูป! ”
“วิชาการหล่อขึ้นรูป? ”
ตงหลิงหวงตกตะลึงครู่หนึ่ง แววตาของนางปรากฏความประหลาดใจ และจ้องมองซูจิ่นซีเป็นเวลานาน
“เจ้าคิดจะทำอันใดกับวิชาการหล่อขึ้นรูป? ”
“เรื่องนี้ รัชทายาทตงหลิงอย่าได้ใส่ใจ”
ตงหลิงหวงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างสงบนิ่ง “ขอบอกความจริงแก่เจ้า ราชวงศ์ตงหลิงของข้าไม่มีวิชาการหล่อขึ้นรูป”
“ไม่มี” เป็นไปได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีเชื่อว่าข้อมูลของอู๋จุนไม่ผิดแน่นอน
“ถูกต้อง ผู้คนต่างร่ำลือกันมาตลอดว่าวิชาการหล่อขึ้นรูปอยู่ในมือของราชวงศ์ตงหลิงของข้า ทว่าไม่นานมานี้ ข้าพบว่าราชวงศ์ตงหลิงของข้าไม่มีวิชาการหล่อขึ้นรูปอันใดพวกนั้น มันเป็นเพียงการอวดอ้างขึ้นมาเท่านั้น”
“ไม่มีลม ย่อมไม่มีคลื่น ไม่มีทางเป็นเพียงคำอวดอ้างกระมัง? ”
“ไม่มีจริงๆ ! ” ตงหลิงหวงส่ายศีรษะ
ซูจิ่นซีพลันนิ่งขรึม
เมื่อรวบรวมอมฤตทั้งห้ามาแล้ว วิชาการหล่อขึ้นรูปนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุด ทว่านางกลับหาผิดที่ มันไม่ได้อยู่ในมือของราชวงศ์ตงหลิง
ทั้งนางยังเสียเวลาไปมาก
ต้นฤดูหนาวกำลังจะมาถึงแล้ว จะให้นางไปหาวิชาการหล่อขึ้นรูปจากที่ใด
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นางนวดขมับด้วยความเหนื่อยล้า
“ช่างมันเถิด เจ้าไปได้แล้ว! ”
“ไป? ”
ตงหลิงหวงไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ซูจิ่นซีโบกมืออย่างขุ่นเคือง “ถือโอกาสที่ข้ายังไม่เปลี่ยนใจ รีบพาคนของเจ้าออกไปให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น… ข้าจะวางยาพิษพวกเจ้าทั้งหมดให้ตายเดี๋ยวนี้”
ตงหลิงหวงพลันกลับมาได้สติ ซูจิ่นซีปล่อยนางไปจริงๆ ปล่อยนางไปจริงๆ
แววตาของนางทอประกายเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นางพูดว่า
“ซูจิ่นซี เจ้าปล่อยข้าวันนี้ นับว่าข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้า หากพบกันอีกครั้งในสนามรบ ข้าจะไม่ออมมือเพราะเห็นแก่บุญคุณครั้งนี้”
“เช่นนั้น พวกเราก็พบกันในสงคราม! ”
“ตกลง! ”
ตงหลิงหวงตอบรับอย่างรวดเร็วและหันหลังเดินจากไป
องครักษ์ที่เฝ้าหน้ากระโจมคิดจะขัดขวางพวกเขา ทว่าหลังจากได้รับคำสั่งของซูจิ่นซี จึงไม่มีผู้ใดขัดขวาง และปล่อยให้ตงหลิงหวงกับคนของนางออกไปจากค่ายทหาร
ภายในกระโจมเงียบสงัด มีเพียงซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ใบหน้าของซูจิ่นซีปรากฏความอ่อนล้าและหงุดหงิด นางนวดคลึงหว่างคิ้วตลอดเวลา
ทันใดนั้น หลังมือเย็นเฉียบก็วางลงบนแขนของนาง
ซูจิ่นซีเหลือบมองเล็กน้อย เห็นเยี่ยโยวเหยาจับมือนางแน่น และยืนอยู่ข้างกายนาง
ซูจิ่นซีเอนศีรษะพิงร่างของเยี่ยโยวเหยา
“อย่ากังวล ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะอยู่กับเจ้าเสมอ! ”
ค่ำคืนที่มืดมิด แสงไฟในกระโจมกะพริบเล็กน้อย ทว่าเสียงของเยี่ยโยวเหยากลับหนักแน่นอย่างมาก
ซูจิ่นซีถูไถศีรษะของนางกับร่างของเยี่ยโยวเหยา
“ไม่มีอันใด เยี่ยโยวเหยา… ข้าเพียงรู้สึก… เหนื่อยมากเท่านั้น! ”
ใช่ เหนื่อยมากจริงๆ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อนางได้ยินตงหลิงหวงพูดว่า วิชาการหล่อขึ้นรูปไม่ได้อยู่ในมือของราชวงศ์ตงหลิง นางก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ถามว่า เหตุใด ซูจิ่นซีถึงเชื่อคำพูดของตงหลิงหวงอย่างง่ายดายเช่นนี้
เพราะเขารู้ว่าซูจิ่นซีมีวิจารณญาณของนางเอง
ทั้งเขายังเชื่อในการกระทำของตงหลิงหวง
หลังจากตงหลิงหวงถูกปล่อยตัวไป หลายคนในกองทัพต่างตั้งข้อสงสัย โดยเฉพาะแม่ทัพมู่หรง เขาขอเข้าพบอยู่นอกกระโจมหลายครั้ง เพราะต้องการหารือกับซูจิ่นซี
ทว่าซูจิ่นซีไม่ให้พวกเขาเข้าพบ
นอกจากนั้น นางยังรับปากคุณชายฉู่ว่าจะช่วยชาวบ้านในหุบเขาหลูเหว่ย หากนางต้องการรวบรวมอมฤตทั้งห้าก่อนต้นฤดูหนาวและตามหาวิชาการหล่อขึ้นรูป เวลาเท่านี้ไม่เพียงพอแน่
ดังนั้น นางจึงออกจากค่ายทหารในคืนนั้น และเดินทางไปยังหุบเขาหลูเหว่ยพร้อมกับคุณชายฉู่
เยี่ยโยวเหยายังออกคำสั่งเด็ดขาดให้จิ้นหนานเฟิงใช้พลังทั้งหมดในวิหารวิญญาณเพื่อตามหาวิชาการหล่อขึ้นรูปให้ได้
จำกัดเวลาเพียงสิบวันเท่านั้น หากเขาตามหาไม่เจอภายในสิบวัน จิ้นหนานเฟิงอย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอด