GGS:บทที่ 1034 หวั่นไหว

ในขณะที่บรรยากาศภายในงานกำลังขึ้นถึงขีดสุด พิธีกรก็ได้พูดออกมาว่า “นอกจากรถคันนี้จะมีสุดยอดเครื่องยนต์สุดแสนจะล้ำหน้าและใช้พลังงานสะอาดอย่างแท้จริงแล้ว
รถสปอร์ตกาลเวลาคันนี้ยังได้ติดตั้งหนึ่งในระบบที่พวกเราภูมิใจ นั่นก็คือระบบปัญญาประดิษฐ์”
เพียงได้ยินคำพูดนี้ เหล่าผู้ชมที่ได้ยินอดที่จะส่งสายตาที่เป็นประกายออกมาเสียไม่ได้ ด้วยความช่วยเหลือจากระบบปัญญาประดิษฐ์นี้จะกลายเป็นรถของคนคนเดียวที่ไม่สามารถมีใครขับอีกได้
นักข่าวคนหนึ่งที่ได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ถ้าแบบนี้หมายความว่ารถคันนี้จะมีระบบนำทาง ระบบป้องกันอุบัติเหตุ และระบบป้องกันการขโมย และระบบยิบย่อยที่ถูกจัดการด้วยระบบอัจฉริยะใช่รึเปล่าครับ”

“หากจะให้พูดอย่างนั้นมันก็ใช่นะครับ แต่มันก็ยังมีอย่างอื่นอีก…” พิธีกรได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันภูมิใจว่า “คุณอาจจะลืมไปแล้วหรืออาจจะนึกไม่ถึงนะครับ แต่ด้วยการที่ทางเรานั้นได้แสดงความสุดยอดของระบบ5จีไปเมื่อสักครู่นี้
พวกเราย่อมไม่มีทางเลยที่จะละเลยการใส่ระบบนี้เข้าไปในกาลเวลา001 ใครหลายๆคนในที่นี้อาจจะเริ่มคิดออกแล้วว่าผมนั้นจะพูดถึงอะไร
ใช่แล้วครับที่ผมจะบอกพวกคุณก็คือ ระบบไร้คนขับ ด้วยการที่ระบบ4จีนั้นจะมีการหน่วงเวลาในการรับส่งข้อมูลที่นานมากทำให้เรื่องนี้แทบไม่ต้องพูดถึงในความเป็นไปได้จริงเลย
แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเราได้มีระบบ5จีที่มีการหน่วงเวลาในการรับส่งข้อมูลที่น้อยกว่ามาก นี่จะทำให้การใช้ระบบในการควบคุมรถยนต์ไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
ด้วยระบบไร้คนขับนี้หากว่าได้ใช้กับระบบ4จีล่ะก็ ต่อให้รถยนต์แล่นไปด้วยความเร็วเพียงหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง หากว่ามีอะไรเกิดขึ้น
ระบบของรถจะไม่สามารถตัดสินใจที่จะหยุดรถได้อย่างทันท่วงที หรือแม้แต่การหักรถหลบอย่างกระทันหันก็ยากจะทำได้

แต่กับระบบ5จีนี่แล้วนั้น เมื่อผนวกรวมเข้ากับระบบปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาของพวกเราแล้ว ระบบไร้คนขับนี้จะปลอดภัยเสียยิ่งกว่ามีคนขับรถซะอีก”
เมื่อได้ยินดังนี้ ผู้คนที่ได้ยินทั้งภายในงานและผ่านช่องทางสตรีมก็ทำได้เพียงสูดหายใจเข้าลึกๆเท่านั้น
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่ารถยนต์กาลเวลา001คันนี้คือผลิตภัณฑ์ที่รวบรวมเอาสุดยอดเทคโนโลยีถึงสี่อย่างเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดเครื่องยนต์กาลเวลา สุดยอดระบบพลังงานแสงอาทิตย์กาลเวลา ระบบ5จี ระบบปัญญาประดิษฐ์กาลเวลา หากว่ามีใครสักคนบอกว่านี่ยังไม่ใช่สุดยอดรถล่ะก็ พวกเขาจะพร้อมใจกระโดดเตะยอดหน้าคนๆนั้นในทันที

แนวคิดรถยนต์ไร้คนขับนี้เองก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด หากจะให้พูดกันตรงๆก็คือแต่ละประเทศทั่วโลกนั้นพยายามแข่งขันกันเพื่อที่จะทำให้ระบบนี้สำเร็จก่อนชาติใดใจโลกเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำพูดนี้จะทำให้รู้สึกว่าอีกไม่นานก็น่าจะมีรถยนต์ไร้คนขับไว้ใช้กันทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ยังห่างไกลอีกพอสมควร
หากก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ไปจัดแสดงผลิตภัณฑ์ทั้งสามนี้ที่งานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนานาชาติที่กำลังจัดที่เมืองปักกิ่งในตอนนี้ล่ะก็
อย่าว่าแต่เขาจะได้จัดแสดงผลิตภัณฑ์ของเขาทั้งสามนี้เลย แค่เข้าไปเหยียบในงานก็คงจะต้องตอบคำถามเกี่ยวกับระบบปัญญาประดิษฐ์โดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงระบบ5จีหรือแม้แต่รถยนต์ไร้คนขับเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะด้วยความที่มันล้ำหน้ามาก มากซะจนสังคมและกฎหมายไม่กล้าที่จะใช้และยอมรับมันได้อย่างง่ายๆ

บอกได้เลยว่าการจะใช้จริงได้นั้น ซูจิ้งจะต้องเปิดศึกหนักกับหลายฝ่าย แม้แต่ด้านกฎหมายและภาครัฐ ก็อาจจะทำให้เขาต้องวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ไปอีกนานพอสมควร
“พระเจ้าเถอะ พวกเขาใช้เทคโนโลยีของตัวเองมาประยุกต์ใช้สิ่งต่างๆได้อย่างสุดยอดจริงๆ”
“ระบบไร้คนขับนี่มันเหมือนกับนิยายวิทยาศาสตร์เลยนะ นี่พวกเราจะได้เห็นพวกมันในช่วงชีวิตนี้จริงๆแล้วใช่ไหม”
“ลองคิดดูสิ ระบบคนส่งสาธารณะไร้คนขับ แท็กซี่ไร้คนขับ รถทุกๆคนที่ล้วนแล้วไร้คนขับ แค่คิดก็สั่นไปหมดแล้ว”
ในตอนนี้ข่าวของรถยนต์กาลเวลาไม่เพียงจะทำให้ทั้งประเทศต้องตกตะลึงแล้ว ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกเองก็ยังต้องสั่นสะเทือน

“ซูหยา พี่ชายของเธอนี่เทพจนไม่รู้จะเทพยังไงแล้วนะ” เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งกำลังเฮโลกันเข้าไปหาซือหยาที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆของตัวเองอยู่ที่ห้องเรียนในโรงเรียนมัธยมต้นลำดับที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุน
ฉากนี้ทำให้ซูหยาอดไม่ได้ที่จะขำการกระทำของเหล่าเพื่อนๆของเธอ หลังจากนั้นเธอก็ได้ถามออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น”
“นี่พวกนายจะรีบไปไหนเนี่ย โตกันขนาดนี้แล้วยังทำท่าทางตื่นๆเป็นเด็กๆไปได้” ถังเสี่ยวหยูได้พูดออกมาด้วยท่าทางราวกับจะเตรียมก่นด่า
”จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง ก็พี่ชายของเธอนั้นสุดยอดมากเลย ตอนนี้เขาเพิ่งจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทเขา ทั้งสุดยอดเครื่องตัดเลเซอร์ ระบบ5จี และที่สำคัญที่สุดรถยนต์กาลเวลาที่รวบรวมสุดยอดเทคโนโลยีของบริษัทเอาไว้ตั้งหลายอย่าง”

เหล่าเด็กหนุ่มได้พยายามแย่งกันพูด แต่ไปๆมาๆพวกเขานั้นเหมือนจะพูดประโยคเหมือนๆกันเป๊ะๆอย่างไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ
“ห้ะ นี่พวกนายพูดอะไรกันเนี่ย” นักเรียนคนอื่นๆที่อยู่รอบนอก เพียงได้ยินก็ถึงกับหูผึ่ง และทุกคนในที่นั้นได้รีบเข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตผ่านทางสมาร์ทโฟนของตัวเองในทันที
และในทันทีทุกคนได้เห็นข่าวของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็ตกตะลึงและตาลุกวาวไปพร้อมๆกัน
“ว้าวววว อีกไม่นานฉันก็จะได้ใช้ระบบ5จีแล้วสินะ สุดยอดดดดดดด” สาวน้อยคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ระบบไร้คนขับนี่ บอกเลยว่ายังซะฉันต้องหามาไว้ใช้สักคันให้ได้” ถังเสี่ยวหยูได้พูดขึ้นมาพร้อมทั้งกระโดดโลดเต้น
ซูหยาที่เห็นข่าวนี้เองก็ทำได้เพียงแค่ถอดถอนหายใจออกมาอย่างยอมรับเสียไม่ได้ในความเก่งกาจของซูจิ้งพี่ชายของเธอผู้นี้
ในช่วงสองปีมานี้ พี่ชายของเธอได้ทำการปฏิวัติวงการต่างๆออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ถึงแม้ว่าตัวเธอเองก็ยังเคยมีส่วนร่วมในการปฏิวัติวงการต่างๆของเขามาแล้วด้วยก็ตาม

แต่กับข่าวนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่รู้สึกภูมิใจในความเก่งกาจของพี่ชายของตัวเองที่จะปฏิวัติโลกนี้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น
“ไม่จริงน่า…การจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์งั้นเหรอ นี่มันงานจัดแสดงสุดยอดเทคโนโลยีชัดๆ” ผู้จัดการหญิงที่กำลังนั่งอ่านข้อมูลอยู่ในห้องซ้อมร้องเพลงองมู่หรงเซียนเอ๋อได้อุทานออกมา
“เกิดอะไรขึ้น มีใครไปก่อกวนงานงั้นเหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อที่ได้เห็นท่าทางของผู้จัดการก็ได้หยุดร้อง ถอดหูฟัง และรีบถามออกมาในทันที

“ป่าวๆ ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก พอดีฉันอ่านข่าวงานจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯน่ะ พวกเขานั้นได้พัฒนาเทคโนโลยีบางอย่างที่ใช้กับผลิตภัณฑ์ของตัวเองที่มันล้ำมากจนฉันอดอุทานออกมาไม่ได้”
เมื่อได้ยินผู้จัดการของเธอพูดออกมาซะขนาดนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อจึงได้เดินเข้าไปดู แต่เพียงเธอได้เห็นข่าว เธอเองทำได้เพียงนิ่งอื้งไปเฉยๆซะอย่างนั้น

“เฮ้….. กลุ่มทุนห้วงเวลาได้พัฒนาอะไรบางอย่างที่สูงล้ำเสียดฟ้าออกมาได้เลยล่ะ” ผู้จัดการสาวคนหนึ่งได้วิ่งพลางตะโกนหาใครคนหนึ่งจนทำให้ผู้คนแถวๆนั้นต้องหันไปมองอย่างสนใจ
หลังจากที่พวกเขาได้เข้าไปหาข้อมูลในอินเตอร์เนตก็ทำได้เพียงแสดงความอึ้งกิมกี่ไปทีละคนสองคน
“โอ้…พี่ชายของฉันก่อเรื่องใหญ่อีกแล้วแหะ” ฉินซูหลานที่เห็นข่าวนี้อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” โจวหลันที่ได้ยินก็ได้ถามออกมา ทั้งสองคนในตอนนี้ได้เป็นดาราของรายการทีวีร่วมกัน นี่จะเรียกได้ว่าเป็นโชคชะตาก็ว่าได้เหมือนกัน
แน่นอนว่าการที่โจวหลันมาถึงระดับนี้ได้นั้นเป็นเพราะฝีมือตัวเองล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับฉินซูหลันเลยแม้แต่น้อย
“กลุ่มทุนห้วงเวลา อืม… พวกเขาจัดงานแสดงผลิตภัณฑ์นี่..แล้วยังไงล่ะ” คนที่อยู่รอบๆคนทั้งสองที่ได้ยินก็ได้แอบชำเลืองมองข่าวนี้แต่มองเห็นแค่หัวข้อข่าวเลยสงสัยจนต้องถามออกมา
“หืม? ลองอ่านเองสิ พี่ชายของฉันคนนี้ไม่รู้จะสุดยอดไปถึงไหนกันนะ” ฉินซูหลันได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่เขาจะยื่นสมาร์ทโฟนของตัวเองให้คนอื่นดู
เมื่อทุกคนได้เห็นเนื้อหาภายในข่าว พวกเขาถึงกับตกใจจนทำตาโตอย่างตื่นตะลึงกันไปหมด พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ทำใจเชื่อได้ยาก
นั่นก็เพราะถึงแม้พวกเขาจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ก็จริง แต่ก็เคยเห็นเพียงแค่จากหนังที่พวกเขามีส่วนร่วมในการถ่ายทำก็เท่านั้น

“แม่…เอ๊ย….” ในภัตตาคารแห่งหนิ่ง หลินฮ่าวและหลิวหยันกำลังกินข้าวด้วยกันสองคน เมื่อหลินฮ่าวได้เห็นข้อความที่ส่งมาผ่านวีแชทของเขา
เขาได้ลองเปิดดูก็พบว่าเป็นเสี่ยวรุยและฉือเล่ยได้ส่งข่าวเกี่ยวกับกลุ่มทุนห้วงเวลามาให้ดู เมื่อเขาได้เข้าไปดูก็พบเนื้อหาข่าวที่เขานั้นเพียงแค่อ่านไปได้ครึ่งเดียวก็ถึงกับสำลักจนเกือบพ่นข้าวที่อยู่ในปากออกมา
“นี่จะรีบกินไปไหนเนี่ย” หลิวหยันที่เห็นหลินฮ่าวสำลักข้าวก็ได้ทักออกมา
“อ่า….ไม่ได้รีบกินหรอก แค่อยู่ๆฉันก็ได้ไปเห็นข่าวที่สุดยอดมากจนตกใจน่ะ” หลินฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อย่าบอกว่าเป็นข่าวของนายนะ” หลิวหยันที่ได้ยินก็อดจะแซวออกมาพร้อมรอยยิ้มเสียมิได้ แต่ในทันทีที่เธอเห็นข่าวนี้ เธอก็ต้องประหลาดใจจนสำรักข้าวออกมาไม่ต่างกัน

หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ทำให้หลายๆคนคิดที่จะไปดูความสุดยอดของผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งถึงแม้จะเป็นเพียงการดูวิดีโอย้อนหลังก็ตาม
แม้แต่คนที่เข้าร่วมงานจัดแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่จัดขึ้นที่เมืองปักกิ่งในตอนนี้ก็ยังทนไม่ไหวที่จะรีบกลับบ้านไปเปิดดูวิดีโอดังกล่าว
คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเท่ากับคนครึ่งหนึ่งที่เข้าร่วมงานนี้เลยก็ว่าได้
ส่วนคนที่เหลือนั้นไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่สนใจ แต่พวกเขาเลือกที่จะหาพื้นที่เหมาะๆภายในงานเปิดดูช่องสตรีมของกลุ่มทุนห้วงเวลาในตอนนั้นกันเลยทีเดียว
เพียงไม่นานที่เปิดดู พวกเขาก็ได้จับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องผลิตภัณฑ์ทั้งสามของกลุ่มทุนห้วงเวลาด้วยความตื่นเต้นกันไปหมด บอกได้เลยว่าในตอนนี้ไม่มีใครสนใจงานจัดแสดงที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป
นี่เท่ากับว่าเพียงแค่งานจัดแสดงผลิตภัณฑ์เล็กๆ ยังน่าสนใจกว่างานแสดงใหญ่ๆก็ว่าได้

“เกิดอะไรขี้นเนี่ย” ประธานการจัดงานที่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็อดจะถามออกมาด้วยท่าทีประหลาดใจแบบสุดๆเสียไม่ได้
“…แค่…มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเท่านั้นแหล่ะ…เฮ้อ…” ชายคนหนึ่งได้พูดออกมาพลางถอดถอนหายใจ
“ไม่จริงน่า ไม่ว่าจะเป็นข่าวใหญ่ขนาดไหนก็ไม่น่าที่จะเทียบกับงานแสดงนี้ได้นี่นา งานที่พวกเราจัดนี่มันเป็นการรวบรวมเทคโนโลยีที่จะทำให้พวกเราก้าวไปสู่โลกยุคถัดไปได้เลยนะ”
“หึหึหึ ถ้างั้นคุณประธานคงต้องเห็นด้วยตาตัวเองแล้วแหล่ะ”
ประธานการจัดงานผู้นี้ดูๆแล้วไม่ว่ายังไงก็คงไม่เชื่อหากไม่ได้เห็นกับตา ชายคนที่พูดออกมาได้ส่งสมาร์ทโฟนของตัวเองให้ดู
ประธานจัดงานที่อ่านข่าวได้ยังไม่ถึงครึ่งนึงดี ในตอนนี้ เขาได้ยืนนิ่งเงียบราวกับพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป

ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วที่ถึงแม้ว่าตัวเองจะยังอยู่ในงานแสดงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระดับนานาชาติที่เมืองปักกิ่ง
แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ได้เปิดดูการสตรีมของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาตั้งแต่ต้นจนจบ
ถึงจะเป็นแบบนั้น พวกเขาก็ยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่ดีจนต้องเลื่อนวิดีโอที่บันทึกไว้ดูใหม่ซ้ำๆ
และการดูในแต่ละครั้งทำให้ทั้งสองสีหน้าน่าเกลียดยิ่งขึ้นเป็นระดับและไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ
คนอื่นๆที่เดินมาด้วยกันเมื่อได้เห็นท่าทางของคนทั้งสองที่เป็นอยู่ในตอนนี้พวกเขานั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาเหมือนกัน

ต่อให้พวกเขาจะพยายามพูดปลอบคนทั้งสอง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะปลอบแบบไหนดี ไม่ใช่ว่าพวกเขานั้นไม่มีสถานะพอที่จะปลอบคนทั้งสองได้ แต่เป็นเพราะว่าแม้แต่พวกเขาเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ พวกเขาทุกคนได้รู้ซึ้งไปถึงทรวงในทันทีว่า อีกไม่นาน กลุ่มทุนห้วงเวลาจะก้าวขึ้นไปกลายเป็นสุดยอดบริษัทของโลกใบนี้ แม้แต่พวกเขาเองก็ยังต้องรู้สึกกดดันกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
แต่ที่หนักสุดในวันนี้ก็คงจะเป็นฟูฮงซิ่ว เพราะว่าธุรกิจรถยนต์ที่เขาภูมิใจนักภูมิใจหนาและฟูมฟักมาเป็นอย่างดี เพียงวันนี้วันเดียวก็แทบจะกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไปโดยปริยาย