GGS:บทที่ 1035 เอ็นไซม์และเปปไทด์

หลังจากข่าวการเปิดตัวสุดยอดผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศได้แพร่กระจายออกไปจนทำให้ทั่วทั้งประเทศและโลกหล้าได้ตื่นตะลึงกันไปหมด
เรียกได้ว่ากลายเป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเลยก็ว่าได้ และนี่ทำให้ชื่อกลุ่มทุนกาลเวลาและซูจิ้งเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งทั้งโลก
ด้วยเหตุนี้ทำให้กลุ่มทุนห้วงเวลาฯต้องวุ่นวายอย่างไม่ว่างมือ นี่ยิ่งส่งผลให้กลุ่มทุนฯพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เครื่องตัดเลเซอร์ ระบบ5จี และรถกาลเวลา001 ได้ถูกผลิตออกมาพร้อมจำหน่าย
และถูกยื้อแย่งราวกับสัตว์ป่าไล่ล่ากินเลือดเนื้อ เรียกได้ว่าแทบจะหมดในทันทีที่พวกเขาประกาศขาย
ในตอนนี้กล่าวได้เลยยว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯเป็นสัตว์ใหญ่ยักษ์ที่ครองตลาดในทุกอย่างก้าวที่เหยียบย่ำ จนเหล่าบริษัทใหญ่ๆที่เคยครองตลาดมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นบริษัทเล็กๆที่รอคอยวันเจ๊งไปโดยปริยาย

ด้วยการที่บริษัทใหญ่ๆเหล่านั้นไม่เคยคิดว่าผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาจะสุดยอดทั้งๆที่ทำอะไรออกมาตั้งมากมายหลากหลายขนาดนี้
ทำให้พวกเขาไม่เคยใส่ใจการคงอยู่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯในวงการของพวกเขาแม้แต่น้อย จนมาถึงตอนนี้ทำให้พวกเขาต้องรับผลกระทบไปเต็มๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่ทำให้บริษัทเหล่านี้ทั้งโอดครวญและเรียกร้องโดยไม่เคยดูว่านี่เป็นสิ่งที่พวกเขาได้เคยทำมาเช่นเดียวกัน
พวกเขานั้นต้องการทำข้อตกลงเพื่อหาทางลงให้ตัวเองบ้าง ทั้งที่พวกเขาก็ไม่เคยไว้หน้าบริษัทเล็กบริษัทน้อยที่ร้องขอพวกเขาแบบนี้มาก่อน
แต่ทันทีที่พวกเขาเรียกร้องการทำข้อตกลง ไม่เพียงซูจิ้งจะไม่สนใจเท่านั้น เขายังเริ่มทำการวิจัยผลิตภัณฑ์ชิ้นอื่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“……ทำไมนายถึงได้เปิดแผนกวิจัยเพิ่มขึ้นมาอีกล่ะ ฉันว่าพวกเราในตอนนี้ก็มีผลิตภัณฑ์ล้ำยุคมากมายจนเต็มมือกันไปหมดแล้วนะ นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการหยุดพักสักหน่อยเหรอ หากว่าเรายังพัฒนาแบบนี้ต่อไปฉันว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้” หวังจ้าวได้พูดออกมาในทันทีเมื่อรู้เรื่องการเปิดแผนกวิจัยใหม่ของซูจิ้ง
ทันทีเขารู้ข่าวนั้นเหงื่อของเขาก็แทบจะไหลโชลมกายในทันที ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบที่กลุ่มทุนกาลเวลาพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วแบบนี้
แต่เขารู้สึกว่ามันเร็วเกินไปจนเริ่มจะตามไม่ทันแล้ว ขนาดบริษัทที่อยู่ในระดับสุดยอดร้อยอันดับของโลกก็ไม่มีบริษัทไหนเลยที่เติบโตได้เร็วแบบนี้มาก่อน

ถึงแม้ความรวดเร็วนี้จะทำให้เขานั้นตื่นเต้นก็จริง แต่เขาเองก็ยังรู้สึกเป็นกังวลเช่นเดียวกัน แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ใช่ว่าพอบอกให้หยุดก็จะหยุดได้
มันก็เหมือนกับการขี่หลังเสือที่ขี่แล้วจะไม่สามารถลงได้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบห้ามปรามซูจิ้งเอาไว้ก่อนในช่วงที่ยังพอเป็นไปได้
ถึงแม้จะรู้ดีว่าซูจิ้งจะไม่หยุดเพียงเท่านี้ แต่อย่างน้อยในฐานะที่เขาได้ขี่ม้าตัวเดียวกัน ก็ขอให้ได้พูดสักหน่อยก็ยังดี

“หืม? ทำไมล่ะ นายจัดการไม่ไหวแล้วเหรอ หรือบริษัทกำลังขาดเงิน” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่ใช่ว่าจัดการไม่ไหว ตอนนี้การพัฒนาของพวกเรานั้นราบลื่นมาก นอกจากแทบจะไร้คู่แข่งแล้ว พวกเรายังได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเสียอีก เรียกได้ว่าพวกเราไม่ต้องทำงานหนักแต่อย่างใดและมั่นคงแบบสุดๆ
แม้แต่เงินเดือนที่เราต้องจ่ายให้กับนักวิจัยแม้มันจะดูมากมายแต่ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรแม้แต่น้อย แม้เราจะขยายแผนกวิจัยของนายไปอีกสักสี่หรือห้าแผนกพวกเราก็ยังไม่ขาดเงิน”
“แล้ว….นายกลัวอะไรล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้…” หวังจ้าวเองก็ถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันเมื่อได้ยินคำถามนี้และเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขากำลังกลัวอะไรอยู่

เขารู้แต่ว่าตามความคิดของเขานั้นกลุ่มทุนห้วงเวลาฯมีกำไรมากพอแล้ว หากว่าเรายังพัฒนาแบบนี้ต่อไปล่ะก็ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย แม้แต่พระเจ้ายังต้องสยบ…นั่นสิ แล้วเขาจะกลัวอะไรกัน
“แล้วพี่คิดยังไงเกี่ยวเรื่องนี้ล่ะพี่หนาน” ซูจิ้งได้หันไปหาเฉิงหนานแล้วถามออกมา
“คำพูดของประธานที่เป็นที่สิ้นสุดล่ะนะ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ในช่วงที่ผ่านมานี้แม้เธอจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด แต่ความเหนื่อยนั้น เธอล้วนแล้วแต่เต็มใจอย่างยิ่ง ถ้าจะบอกให้ถูกคือเธอมีความสุขกับการทำงานให้ซูจิ้งแบบสุดๆไปเลย
“งั้น…ดำเนินการต่อไปแล้วกัน”ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เออเออเออ นายใหญ่สุดนี่ แม้แต่พระเจ้าก็ยังเป็นใจให้นาย ว่าแต่ คราวนี้นายจะทำอะไรต่อล่ะเนื่ย” หวังจ้าวที่ได้ยินคำพูดของเฉิงหนานก็หมดอารมณ์ที่จะพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก เพื่อไม่ให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้เขาจึงเลือกที่จะตามน้ำไปดีกว่า

และอีกหนึ่งนั้นก็คือเขานั้นสนใจมากจริงๆ เพราะช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาได้เห็นนักวิจัยในชุดกราวสีขาวที่ไม่คุ้นเคย เดินเข้าเดินออกแผนกวิจัยเป็นว่าเล่น
แถมพวกเขานั้นยังหมุนเวียนกันถือทั้งหลอดทดลอง กล้องจุลทรรศน์ และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่างๆที่บางอย่างเขาก็ไม่รู้จัก
เขารู้แน่นอนว่าเลยว่าในครั้งนี้ซูจิ้งไม่ได้กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีล้ำยุค แต่เป็นการพัฒนาทางไบโอเคมีไม่ก็ทางการแพทย์แนวๆนั้น
“ตอนนี้ฉันกำลังศึกษาเกี่ยวกับพวกจุลินทรีย์กับสารอินทรีย์อะไรพวกนั้นน่ะ จะบอกว่าเป็นยาก็ไม่เชิงนักเพราะว่าฉันเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผลลัพท์เท่าที่ฉันรู้นี้จะเรียกมันว่าอะไรดี
แต่อย่างน้อยฉันก็ยืนยันได้อย่างนึงนะว่ากระบวนการตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน”
ที่เขากล้าพูดออกมาได้อย่างนี้เป็นเพราะเขาพึ่งจะได้เรียนรู้ความรู้เหล่านี้มาจากคู่มือนักล่าระดับเบื้องต้นที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบ

ก่อนหน้านี้เขาได้ลองเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่เขาได้มาด้วยมีดของเขาแล้วพบว่ารสชาติของมันนั้นเหนือล้ำอย่างมาก มากจนทำให้เขานั้นคิดว่าน่าจะมีอะไรที่มากกว่าคู่มือนักล่าฯเล่มนั้นบันทึกเอาไว้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาคิดว่าจะเริ่มวิจัยมันอย่างจริงจัง แต่แน่นอนว่าแทนที่เขาจะมานั่งเสียเวลาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเลือกที่จะตั้งแผนกวิจัยขึ้นมาเพื่อศึกษาเครื่องเทศต้นนี้
หากว่านักวิจัยของพวกเขาในตอนนี้ตีโจทย์ได้ไม่แตกล่ะก็ เขาก็แค่หานักวิจัยมาเพิ่มก็แค่นั้นเอง
“หืม?เป็นไปได้ด้วยดีอีกแล้วเหรอ” หวังจ้าวถลึงตาขึ้นจ้องมองซูจิ้งในทันที
“ใจร่มๆก่อนน่า…. ถึงจะบอกว่าเป็นไปได้ด้วยดีแต่มันก็แค่ของเล็กๆน้อยๆกระน๊อยนึง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พลางทำนิ้วแสดงขนาดของมันว่ามันเล็กมากจริงๆ
“มันคืออะไรอ่ะ” เฉิงหนานในตอนนี้สงสัยมากจนอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ก็ของพื้นๆอย่างพวกเอนไซม์และเปปไทด์อ่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“…………………………..คือ?” หวังจ้าวเมื่อได้ยินชื่อทั้งสองก็ต้องนิ่งไปนานก่อนที่จะถามย้ำออกมา ถึงแม้เขาจะคุ้นๆว่าเคยได้ยินคำๆนี้อยู่บ้าง แต่บอกตรงๆเลยว่าเขานั้นไม่เคยรู้เลยว่ามันคืออะไร
ในการนี้ ซูจิ้งจึงเปิดครอสสอนวิชาจุลชีวฉบับย่อๆในทันที หลังจากอธิบายความสำคัญฉบับย่อๆของมันจะพอเข้าใจแล้ว เขาก็ได้อธิบายถึงเป้าหมายหลักในการวิจัยครั้งนี้

การที่เขาตั้งเป้าเป็นเอ็นโซม์และเปปไทด์ไว้นั้นเป็นเพราะพวกมันมีผลสำคัญต่อการเติบโตของพืชและสัตว์ไม่ต่างไปจากสารอาหารในทางเคมีทั่วๆไป
จะให้พูดง่ายๆหน่อยมันก็เหมือนกับวัสดุประเภทโพลิเมอร์สำหรับกระบวนการทางชีววิทยา ทุกๆเซลล์ในร่างกายต่องการเอ็นไซน์ในการเป็นตัวเพิ่มกระบวนการต่างๆในเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หากว่ากระบวนการใดที่ขาดเอ็นไซม์เข้าไปมีส่วนด้วยล่ะก็ นั่นจะทำให้กระบวนการต่างๆทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปแล้วเอ็นไซม์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการต่างๆได้มากกว่าตอนที่ไม่มีเอนไซม์อยู่ช่วยประมาณล้านเท่า
เอ็นไซม์เหล่านี้ถูกศึกษาและนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร โรงงานอาหาร โรงงานยาง โรงงานกระดาษ โรงงานเคมี และอีกมากมาย
บอกได้ว่าเอนไซม์และเปปไทด์ต่างๆเหล่านี้มีส่วนแบ่งการตลาดจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมด หมื่นล้านหยวน และยังมีอัตราการเติบโตประมาณ 11 %

สำหรับโพลีเปปไทด์นั้นคือสารประกอบที่อยู่ในรูปของกรดอามิโนหลายๆชนิดมาเชื่อมต่อกันเป็นสายสั้นๆ ตัวมันนั้นถือว่าเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง
สารประกอบเหล่านี้เกิดจากการแตกตัวและประกอบขึ้นใหม่ของกรดอามิโน หากว่าเปปไทด์นี้ประกอบมาจากกรดอะมิโนสองชนิดจะถูกเรียกว่าได้เปปไทด์ หากว่ามีการเชื่อมต่อเพื่อ ก็จะเรียกไปว่า ไทร… เตตระ… เป็นต้น
คำว่าโพลีเปปไทด์นี้ใช้ในการเรียกกรดอะมิโนที่ผูกพันธะกันตั้งแต่สามตัวขึ้นไป
ในปัจจุบันการใช้เปปไทด์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมยาซึ่งถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการเปปไทด์มากที่สุด
พวกมันถูกใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ ผลิตยา และสร้างอาหารสังเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่นการใช้ต้านไวรัส ต้านแบคทีเรีย ยารักษาเฉพาะโรค อาหารฟังค์ชั่น(อาหารเสริมเฉพาะทาง) และประโยชน์อื่นๆ กล่าวได้ว่าถือว่ามีส่วนแบ่งทางการตลาดใหญ่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

หลายจากสาธยายมาพักหนึ่ง ซูจิ้งจึงสรุปให้พี่ชายนอกเลือดของเขาให้ฟังว่า
“ที่ฉันให้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเอ็นไซม์และเปปไทด์นี้หลักๆแล้วก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพของผลผลิตและลดค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นหากว่าเราทำได้ดีพอล่ะก็พวกเราสามารถผลิตขายได้อย่างอู้ฟู่”
หวังจ้าวและเฉิงหนานที่ฟังเลคเชอร์จากซูจิ้งจนหน้าตาแสดงออกมาว่าไม่ได้เข้าหัวเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินคำว่าอู้ฟู่ พวกเขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าพวกเขาจะได้เงินมาอีกจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
ทั้งสองในตอนนี้ก็ยากจะใช้คำของชาวเน็ตที่ชอบบอกเวลาคุยเรื่องซูจิ้งบ่อยๆว่า ถ้าง่ายนักก็ขึ้นสวรรค์ไปเลยดีกว่าไหม
แต่พอนึกได้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของเอนไซม์และเปปไทด์ที่เคยเห็นนั้นอยู่ที่หมื่นล้านหยวนแล้ว ต่อให้เทียบกับระบบปัญญาประดิษฐ์ สมาร์ถโฟนกาลเวลา รถยนต์กาลเวลา ระบบเครือข่าย5จี และผลิตภัณฑ์อย่างอื่นของพวกเขาแล้ว ถึงแม้จะห่างไกลนักแต่ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี

“นี่…หัวหน้าต้องการเปิดบริษัทใหม่เหรอ” เฉิงหนานถามออกมา
“เอาเป็นว่าลองให้คนไปประเมินตลาดก่อนก็ได้นะ ว่าแต่….ตอนนี้บริษัทวุ่นอยู่ไม่ใช่เหรอนั่น ไปทำให้ตัวเองวุ่นๆกันได้แล้ว ไม่ต้องมาสนใจที่นี่หรอก เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้ แต่อย่าหักโหมล่ะ ทำแค่พอประมาณก็พอแล้ว” หวังจ้าวและเฉิงหนานที่เห็นท่าทีของซูจิ้งก็ได้แต่ตัดใจออกมาจากสถาบันวิจัยพร้อมทั้งคำถามที่ยังค้างคาในสมองว่าตกลงแล้วมันคืออะไร
ส่วนซูจิ้งยังคงอยู่ต่อเพื่อทำการศึกษาเอนไซม์และเปปไทด์ร่วมกับนักวิจัยอย่างขะมักเขม่น เหตุผลก็เพราะเขาเองก็ต้องการฝึกปรือฝีมือไปในตัวด้วยเช่นเดียวกัน
หากว่าเขาเข้าใจการทำงานของเอนไซม์และเปปไทด์ที่ได้รับมาจากเหล่าเครื่องปรุงแห่งห้วงเวลาฯสุดยอดทหารกล้าจ้าวนักรบล่ะก็ อย่าเรียกว่าเป็นโอกาศทางธุรกิจเล็กๆน้อยๆจะดีกว่า
สิ่งที่ทั้งเฉิงหนานและหวังจ้าวเข้าใจนั้นมันเป็นเพียงแค่มูลค่าเบื้องต้นสำหรับสิ่งนี้เท่านั้นเอง เหตุผลที่เปปไทด์และเอนไซม์มีมูลค่าทางการตลาดในโลกนี้เพียงเท่านี้นั้นเป็นเพราะว่าซูจิ้งยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนด้วยก็เท่านั้นเอง