ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 56 ความเจ็บปวดแห่งการสูญเสียลูก

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลินจ้งขานรับ ขี่ม้าเร็วทะยานกลับไปในเมือง เมื่อตรงมาถึงกองบัญชาการ หลังจากลงจากม้าก็รีบวิ่งตรงมาถึงเรือนของหลินหันเยียนทันที เมื่อเห็นอ๋องฉี หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังยืนอยู่ในลานบ้าน เขาพลันรู้สึกเย็นวาบ รีบสาวเท้าเข้าไปหา และถามหยั่งเชิงขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้คารวะก่อนว่า “ซื่อจื่อเฟย เยียนเอ๋อร์นาง…” 

 

 

“คุณหนูหลินมีอาการบาดเจ็บสาหัส ทานยาไปแล้วแต่ยังไม่ฟื้น” 

 

 

ยังไม่ฟื้น ไม่ได้หมายความว่าช่วยไม่ได้แล้ว หลินจ้งคิดได้ดังนั้นก็โล่งใจ จากนั้นจึงคารวะอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียน “คารวะท่านอ๋อง คารวะซื่อจื่อขอรับ ตอนที่ข้ามาท่านแม่ทัพบอกแล้วว่าหากวันนี้ราชวงศ์ของรัฐอิงไม่ได้ส่งจดหมายตอบกลับมา พรุ่งนี้เขาจะนำทัพเคลื่อนหน้าต่อไปขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า “รู้แล้ว เจ้าเข้าไปดูน้องก่อนเถอะ มีอะไรประเดี๋ยวค่อยคุยกัน” 

 

 

หลินจ้งขานรับ เดินสาวเท้าเข้าไป เมื่อเห็นสภาพของหลินหันเยียน พลันรู้สึกหนักอึ้ง สองสามวันที่ผ่านมานี้เขาเห็นคนตายในสนามรบมามากมาย สภาพของหลินหันเยียนตอนนี้ดูก็รู้ว่าไม่เป็นใจนัก โอกาสรอดนั้นมีเพียงน้อยนิด  

 

 

ฮูหยินหลินเห็นเขาเข้ามา ก็รู้สึกราวกับเห็นที่พึ่งทางใจ นางเบิกตาที่ร้องไห้จนบวมแดงมองไปที่เขา “จ้งเอ๋อร์ เจ้ากลับมาเสียทีนะ เยียนเอ๋อร์นาง…” 

 

 

หลินจ้งปกปิดความไม่สบายใจไว้ เดินขึ้นไปประคองฮูหยินหลินแล้วปลอบว่า “แม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ น้องเล็กเป็นคนดี ฟ้าย่อมคุ้มครอง นางจะไม่เป็นอะไรขอรับ” 

 

 

“จริงหรือ” ฮูหยินหลินถูกปลอบโยนจริงๆ นางถามย้ำอีกครั้ง 

 

 

หลินจ้งพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจนัก  

 

 

ฮูหยินหลินเชื่อตามนั้น มองไปที่หลินหันเยียนที่ยังคงนอนหลับตาและไม่มีสติ นางพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าได้ยินพี่เจ้าพูดไหม เจ้าจะไม่เป็นอะไร เหตุใดไม่ลืมตามองแม่อีกเล่า” 

 

 

หลินจ้งขอบตาแดง ฮูหยินหลินจ้งเห็นดังนั้นก็แอบถือแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดดวงตา  

 

 

บรรยากาศในห้องเศร้าโศกยิ่งนัก  

 

 

นอกห้อง หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวหน้าดำคร่ำเครียด 

 

 

 

 

 

ณ เมืองหลวง รัฐอิง  

 

 

ผู้ติดตามนำร่างของท่าป๋าหั่นมู่กลับไปในค่ายทหาร เหล่าทหารในค่ายต่างตะลึงงัน พวกเขาจับปกคอเสื้อของผู้ติดตามอย่างไม่เชื่อ ถามเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าคือศพขององค์ชายใหญ่จริงๆ หรือ 

 

 

ผู้ติดตามนั่งกองบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง เขากอดศพของท่าป๋าหั่นมู่ไว้และร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ  

 

 

ทหารนายหนึ่งที่เกรี้ยวกราดเห็นดังนั้นก็พุ่งเข้าไปถีบเขาทีหนึ่ง จนเขาล้มหงายหลังลงบนพื้น “ร้องหาพระแสงอะไร นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

ผู้ติดตามที่นอนอยู่บนพื้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พวกเขาฟัง  

 

 

เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งได้ยินดังนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถลกแขนเสื้อขึ้น พร้อมออกคำสั่งให้นำกองทัพโจมตีกลับไป “สู้กับรัฐอู่ให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลย มากสุดก็แค่ล้มตายกันไปทั้งสองรัฐ อย่าคิดจะได้ความสงบสุขอีกเลย” 

 

 

เหล่าทหารอีกลุ่มหนึ่งที่มีสติก็รีบห้ามปรามขึ้นว่า “องค์ชายใหญ่ประสบภัย แม้แต่ศีรษะยังถูกตัดไป เรื่องนี้รีบไปกราบทูลฮ่องเต้ก่อนเถิด” 

 

 

ผู้ติดตามเพิ่งนึกคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนได้ ก็ลุกขึ้นพลางร้องไห้อย่างเจ็บปวด เขากอดร่างของท่าป๋าหั่นมู่เดินโซซัดโซเซกลับไปบนม้า ขี่ม้าไปเมืองหลวง  

 

 

องครักษ์เฝ้าเมืองได้ยินว่าร่างที่เขากอดอยู่คือร่างของท่าป๋าหั่นมู่ สีหน้าก็ซีดเผือดทันที แล้วรีบวิ่งเข้าในวังอย่างรวดเร็วปานสายลมเพื่อทูลฮ่องเต้  

 

 

ฮ่องเต้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทม เมื่อได้ยินดังนั้น ก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งทันที ตะคอกถามว่า “เจ้าว่าอย่างไรนะ” 

 

 

องครักษ์ทูลกล่าวอีกครั้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ  

 

 

“ไร้สาระ!” ฮ่องเต้ไม่เชื่อ เขาโมโห เปิดผ้าห่มออก แล้วลงจากเตียงไปถีบองครักษ์ที่เข้ามารายงาน พูดหอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “กล้าดีอย่างไรมาสาปแช่งองค์ชายใหญ่ ข้าจะลงโทษเจ้าทั้งบ้าน” 

 

 

องครักษ์ตกใจจนล้ม พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น เขาก้มศีรษะลง ไม่กล้าพูดอะไรอีก  

 

 

ฮ่องเต้หอบหายใจหนัก ออกคำสั่งว่า “ทหาร นำตัวคนกระพือข่าวเข้ามา เราอยากเห็นเหลือเกิน ว่าใครบังอาจสร้างความเท็จเช่นนี้” 

 

 

องครักษ์ขานรับ คุกเข่าถอยออกไป แล้วขานเรียกผู้ติดตามเข้ามา  

 

 

จากเมืองชายแดนของรัฐอู่จนถึงเมืองหลวงของรัฐอิง ตลอดทางนี้ตัวก็กระแทกไปมาบนม้า เลือดในตัวของท่าป๋าหั่นมู่ก็ไหลจนหมดตัวไปนานแล้ว บัดนี้ผู้ติดตามกอดศพที่แห้งกรังเข้ามา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ องครักษ์ที่ขานเรียกก็จำเขาได้ทันที เขาตกใจจนขาอ่อน เสียงก็สั่นไปหมด พูดกับผู้ติดตามว่า “ฮ่อง ฮ่องเต้สั่งให้เจ้าเข้าไป” 

 

 

ผู้ติดตามอุ้มศพของท่าป๋าหั่นมู่เข้าไป จนถึงห้องบรรทมของฮ่องเต้ เมื่อเข้าไปถึงก็ล้ม พลุบ คุกเข่าลงบนพื้น แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น “ทูลฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ องค์ องค์ชาย องค์ชายใหญ่…” 

 

 

ฮ่องเต้จะจำลูกชายที่ตนเองรักใคร่เอ็นดูมากที่สุดไม่ได้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเขาก็หน้ามืด ลำตัวอ่อนเปลี้ย ล้มหงายหลังลงไป  

 

 

องครักษ์ในห้องบรรทมวุ่นวายไปทั่ว แม้เห็นร่างของท่าป๋าหั่นมู่ที่ไร้ศีรษะก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวใดๆ แล้ว  

 

 

ผู้ติดตามตกใจจนเบิกตาโต มองดูฮ่องเต้ที่หมดสติไปจนลืมร้องไห้  

 

 

หลังจากความวุ่นวายผ่านไป ฮ่องเต้ที่ถูกยกไปบนเตียงมังกรแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ร้องเรียกเสียงดังว่า “ท่าป๋าหั่นมู่ โถ่ ลูกข้า!” เขารู้สึกเจ็บปวดเกินคำบรรยาย น้ำตาไหลพราก  

 

 

องครักษ์ไม่กล้าเข้าไปปลอบ ต่างคุกเข่าหมอบตัวลงข้างเตียง  

 

 

ฮ่องเต้ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยลำตัวโซซัดโซเซ องครักษ์ขึ้นไปประคองจนมาถึงข้างศพของท่าป๋าหั่นมู่ ฮ่องเต้คุกเข่าลงบนพื้น ยื่นมือไปลูบตัวของเขาเบาๆ ด้วยมือที่สั่นระริก  

 

 

ในห้องบรรทมนั้นเงียบสงัด องครักษ์ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ  

 

 

ฮ่องเต้ร้องไห้น้ำตานองหน้า เสียงสะอึกสะอื้นดังไปทั่ว  

 

 

หนุ่มน้อยคนหนึ่งอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบวิ่งเข้ามาจากนอกห้องบรรทม “เสด็จพ่อ พวกเขาบอกว่าพี่ใหญ่…” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เห็นศพบนพื้น จึงตกใจรีบกระโจนเข้าไป ขานเรียกเสียงดังอย่างเจ็บปวดใจว่า “เสด็จพี่!” 

 

 

ฮ่องเต้หยุดร้องไห้ ลุกขึ้นยืนซวนเซไปมา สภาพของเขากลับมาน่าเกรงขามอีกครั้ง ถามผู้ติดตามว่า “เจ้าว่ามาซิ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” 

 

 

ผู้ติดตามเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ  

 

 

ฮ่องเต้ฟังจบ ก็เงียบไม่พูดอะไร  

 

 

หนุ่มน้อยทนเก็บความเดือดดาลไว้ไม่อยู่ “เสด็จพ่อ ห้ามยอมพวกเขาเด็ดขาดนะขอรับ เราต้องแก้แค้นให้เสด็จพี่ด้วยกำลังทั้งหมดที่รัฐเรามี” 

 

 

ฮ่องเต้มองดูหนุ่มน้อยตรงหน้า เงียบไม่พูดอะไร  

 

 

 

 

 

ในเมืองชายแดน 

 

 

หลังจากที่หลินหันเยียนหมดสติไปหนึ่งชั่วยาม ท้ายที่สุดก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้น เมื่อนางลืมตาที่หนักอึ้งทั้งสองข้าง ก็เห็นแม่ของตนที่ดวงตาบวมแดงมองนางด้วยสายตาร้อนรนอยู่ข้างเตียง  

 

 

“เยียนเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” เมื่อเห็นนางตื่น ฮูหยินหลินก็ดีใจมาก นางถามพลางยิ้มทั้งน้ำตา  

 

 

หลินหันเยียนผืนยิ้มให้ “ท่านแม่ ทำให้ท่านเป็นห่วงแย่เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

“ฟื้นก็ดีแล้ว ฟื้นก็ดีแล้วล่ะ” ฮูหยินหลินพูดซ้ำไปมา  

 

 

หลินฉงเหวินก็ลุกขึ้นยืน เดินสาวเท้าเข้าไปไปข้างเตียง มองดูหลินหันเยียน  

 

 

“ท่านพ่อ” หลินหันเยียนเรียก  

 

 

หลินฉงเหวินพยักหน้า  

 

 

สายตาหลินหันเยียนหันไปมอง “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่” 

 

 

สองสามีภรรยาหลินจ้งพยักหน้า  

 

 

“น้องเล็ก เจ้าเพิ่งตื่น อย่าเพิ่งพูดเยอะเลย ข้าจะไปเชิญซื่อจื่อเฟยเข้ามาดูอาการเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ” เมื่อหลินจ้งพูดจบ ก็หันหลังกำลังจะออกไปเรียกเมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาแล้ว นางเปิดม่านลูกปัดเข้ามา เดินไปข้างเตียง มองใบหน้าที่ซีดเผือดไร้ซึ่งเลือดหล่อเลี้ยงตรงหน้า นางฝืนยิ้มให้ทีหนึ่ง “คุณหนูหลิน ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” 

 

 

“หนาวเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนตอบตามตรง  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกหนักอึ้งทันที แต่ยังคงสีหน้าเดิมไว้ “เจ้าเสียเลือดไปมาก เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกหนาวไปทั้งตัว รักษาตัวสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้วล่ะ” 

 

 

“อย่างนั้นหรือ” หลินหันเยียนยิ้มพลางถามเสียงเบา  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าไม่ลง ได้แต่ก้มศีรษะจับมือนางขึ้นมาตรวจชีพจรให้ 

 

 

ชีพจรแผ่วเบาเป็นไปตามคาด จนแทบจะตรวจจับไม่ได้  

 

 

ทุกคนในห้องมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรอคอย 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก วางมือของหลินหันเยียนกลับไปในผ้าห่ม “อาการคงที่แล้ว พักผ่อนเยอะๆ อย่าพูดอะไรเยอะ” 

 

 

“ใช่ๆๆ อย่าพูดเยอะ อย่าพูดเยอะ พักผ่อนเยอะๆ” ฮูหยินหลินพูดสำทับ แล้วช่วยสอดมุมผ้าห่มเข้าไปให้หลินหันเยียน  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น  

 

 

หลินหันเยียนยื่นมือออกมาจับมือนางไว้  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองนาง  

 

 

หลินหันเยียนถอนหายใจยาว พูดกับฮูหยินหลินว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับซื่อจื่อเฟย พวกท่านออกไปก่อนได้ไหมเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินหลินตะลึง มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อเห็นนางไม่ได้คัดค้านอันใด ก็หันไปมองสีหน้าซีดเผือดของหลินหันเยียน “ได้ๆ พวกเจ้าคุยกัน แม่จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” 

 

 

พูดจบ ก็พูดกับหลินฉงเหวินว่า “นายท่าน เราออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินฉงเหวินพยักหน้า หันหลังเดินออกไป ฮูหยินหลินเดินตามหลังไป สองสามีภรรยาหลินจ้งก็ตามข้างหลังไป  

 

 

ทุกคนออกจากห้องไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียน  

 

 

หลินหันเยียนถอนหายใจยาว เอ่ยปากด้วยเสียงอ่อนแรงว่า “ซื่อจื่อเฟย ใกล้จะหมดเวลาของแล้วใช่ไหมเจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร มองไปที่นาง  

 

 

หลินหันเยียนหัวเราะเบาๆ ปล่อยมือนางออก “ท่านไม่ต้องตกใจหรอก ข้ารู้ร่างกายข้าดี ว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว” 

 

 

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามขึ้นว่า “เจ้ามีความปรารถนาอะไรหรือไม่” 

 

 

นัยน์ตาหลินหันเยียนมีแสงประกายแวบผ่าน จากนั้นก็ดับวูบไป นางค่อยๆ ส่ายศีรษะ “หลายปีมานี้ที่ข้ามาอยู่ชายแดนก็คิดได้ตั้งนานแล้ว และปล่อยวางได้แล้ว หากข้าเป็นอะไรไป สิ่งเดียวที่ข้ารู้สึกผิดด้วยก็คือท่านพ่อท่านแม่ พวกเขาเลี้ยงข้าจนเติบใหญ่ ยังไม่ทันรอให้ข้าได้ตอบแทน พวกเขาก็ต้องส่งคนผมดำไปก่อนเสียแล้ว” 

 

 

“ข้าขอโทษ ข้าเองก็มีส่วนที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้ ข้า…” 

 

 

“ซื่อจื่อเฟยอย่าพูดเช่นนั้นเลย…” หลินหันเยียนรีบพูดตัดบท อาจจะเป็นเพราะนางพูดเร็วเกินไป จึงไอขึ้นสองที จนมุมปากมีเลือดไหลออกมา  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ก้มศีรษะลง เช็ดเลือดให้นางอย่างเบามือ  

 

 

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หลังจากหลินหันเยียนกล่าวขอบคุณอย่างอ่อนแรงแล้ว ก็ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อเฟยอย่าโทษตนเองเลย ทั้งหมดนี้ข้าเต็มใจทำ โบราณเขาว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต อาจจะเป็นเพราะฟ้าคิดว่าข้าเคยทำผิดมามากพอแล้ว บัดนี้ถึงเวลานำชีวิตข้ากลับคืนแล้ว ไม่เกี่ยวกับพวกท่านหรอก” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พูดว่า “หากเจ้าอยากเจออวี้เอ๋อร์ ข้าส่งคนส่งจดหมายให้เขาได้ แต่ว่าระยะทางจากชายแดนถึงเมืองหลวงห่างกันพันลี้ แม้จะขี่ม้าเร็วก็ต้องใช้เวลาประมาณสิบวัน” 

 

 

หลินหันเยียนปรากฏแววตาแห่งความสุข นางไม่ปฏิเสธพูดว่า “ข้าจะรอ ข้ารอ ข้าจะรอจนกว่าได้เจอเขาอีกครั้งเจ้าค่ะ” 

 

 

“ได้ เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำนะ เจ้าจะต้องอดทนไว้ ข้าจะส่งคนส่งสาส์นไปให้เขาเดี๋ยวนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวขอบตาเริ่มแดง นางพูดพลางอดกลั้นความเสียใจไว้ 

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้าช้าๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้า “ท่านวางใจเถอะ ข้าจะอดทนรอจนกว่าพี่อวี้จะมาเจ้าค่ะ”