เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป
หลินหันเยียนคลายแววตาอันมุ่งมั่นลง นางคิดถึงใบหน้าของหวงฝู่อวี้ แล้วยิ้มพลางหลับตา และนอนหลับไปอย่างสบายใจ
“คุณหนูหลินเหนื่อยแล้ว ให้นางพักผ่อนเถอะ พวกท่านพยายามอย่าเข้าไปรบกวนนางเลยนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกนอกห้องไป พูดกับครอบครัวหลินในลานบ้าน
ทุกคนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้หลินฉงเหวิน “ยาเม็ดนี้ดีต่อแผลของท่าน ท่านทานลงไปแล้วก็กลับไปพักผ่อนเถิด”
หลินฉงเหวินไม่ได้รับไว้ “ขอบคุณซื่อจื่อเฟย แต่ข้าไม่ต้องการ”
ฮูหยินหลินกลับเดินขึ้นหน้า รับไว้ให้แทน แล้วกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณซื่อจื่อเฟย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เสด็จพ่อ อี้เซวียน เรากลับกันเถอะ”
อ๋องฉีหันหลังเดินออกไป หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังไป
หลังจากกลับถึงเรือนของตนพวกเขาก็นั่งลง เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเล่าสถานการณ์ของหลินหันเยียนให้ทั้งสองฟัง
อ๋องฉีไม่พูดอะไร
หวงฝู่อี้เซวียนลุกขึ้นเดินไปข้างโต๊ะแล้วเริ่มฝนหมึก
เมื่อเขียนเสร็จ กำลังจะเรียกโจวอันส่งคนให้ส่งจดหมายไปที่เมืองหลวง ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาถูกตนส่งไปตรวจสอบเรื่องเจ้าของเบื้องหลังหอนางโลมชิงเฟิงแล้ว ส่วนองครักษ์ลับก็ถูกส่งตัวกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ก่อนจะพบหวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว
“ส่งทางศาลาพักม้าเถอะ ส่งเร่งด่วนแปดร้อยลี้” เมิ่งเชี่ยนโยวเสนอ
“ไม่ได้ ศาลาพักม้าเป็นสถานที่ที่ไว้ส่งสาส์นสำคัญของการทหาร เรื่องส่วนตัวเช่นนี้จะใช้เป็นเรื่องเร่งด่วนแปดร้อยลี้ได้อย่างไร” อ๋องฉีคัดค้าน
หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่เห็นด้วย หากมีหนึ่งย่อมมีสอง หากต่อไปผู้อื่นมีเรื่องส่วนตัวก็จะทำเช่นนี้ด้วย จะทำเอาวุ่นวายและลำบากกันไปหมด เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า “ส่งไปที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งเถอะ ให้เถ้าแก่คิดหาวิธีส่งจดหมายกลับเมืองหลวงให้ได้ภายในสามวัน”
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านบะหมี่มันฝรั่งเป็นคนสามัญชนทั้งนั้น ไม่สามารถเร่งการเดินทางอย่างไม่รู้วันรู้คืนอย่างองครักษ์ลับ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนำจดหมายสอดเข้าไปในอ้อมอกของตนอย่างไม่มีทางเลือก “เมืองชิงหยางไม่ไกลนัก ข้าไปเองได้ จะรีบกลับมาก่อนค่ำเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อี้เซวียนไม่วางใจ “ข้าไปกับเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “มิต้องหรอก พวกเจ้าพักผ่อนเถอะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ต้องเจอศึกหนักอีก ข้าจะรีบไปรีบกลับ”
หลังจากที่เกิดเรื่องการลักลอบเข้าพรมแดนของท่าป๋าหั่นมู่ จนหวงฝู่เย่าเย่ว์เกือบถูกลักพาตัวไปอีกครั้ง หวงฝู่อี้เซวียนยังคงไม่สามารถวางใจลงได้อยู่ดี เขาจึงยืนกรานจะไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตอบตกลง
ทั้งสองจูงม้าออกจากกองบัญชาการ มุ่งไปทางเมืองชิงหยาง
เมืองชิงหยางอยู่กึ่งกลางระหว่างชายแดนและตำบลชิงหยาง ระยะทางประมาณห้าสิบลี้ ไม่ห่างกันมากเกินไป ตอนนั้นเถ้าแก่เมืองชิงหยางไปสมัครงานที่เมืองหลวง เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตั้งใจจะเปิดร้านในแดนไกลแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ค่าใช้จ่ายที่เหวินเปียวต้องส่งมันฝรั่งมา ก็พอๆ กับรายได้ห้าสิบในร้อยของร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว หักค่าเช่าร้านและค่าจ้างของเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์อีก รวมๆ แล้วหนึ่งปีก็แทบจะไม่ได้กำไร แต่หวงฝู่อี้เซวียนโน้มน้าวนางไว้ “เมืองชิงหยางใกล้กับชายแดนมาก เมืองชายแดนก็เปิดตลาดกับรัฐข้างเคียงแล้ว ไม่แน่ว่าบะหมี่มันฝรั่งนี้จะแพร่หลายไปที่รัฐอื่นก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะได้กำไรมหาศาลเลยล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวจึงยอมตกลง และไม่คิดว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์จากร้านนี้ด้วย
เถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งของเมืองชิงหยางแซ่เฉิง ตอนนั้นที่เข้าเมืองหลวง เขาก็แค่คิดในใจว่าจะลองดู ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากมาย แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายกลับสำเร็จ เมื่อตนได้เป็นเถ้าแก่ก็เป็นมาสิบกว่าปี นอกจากเงินเดือนที่สูงและมั่นคงแล้ว ซื่อจื่อเฟยก็ไม่เคยแข็งกร้าวกับเสี่ยวเอ้อร์ เขาจึงได้ทำงานอย่างสบายใจและมีแรงกายที่ดี มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าทุกวัน
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่อี้เซวียนมาถึง ก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว ผ่านพ้นเวลาเที่ยงช่วงเวลาที่คนหนาแน่นมากที่สุดไปแล้ว มื้อเย็นก็ยังไม่ถึงเวลา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเถ้าแก่หรือว่าเสี่ยวเอ้อร์ต่างก็นั่งพักผ่อนอยู่ในร้าน
ทั้งสองหยุดม้าไว้หน้าร้านบะหมี่มันฝรั่ง เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์คิดว่ามาเป็นลูกค้าที่มากินบะหมี่มันฝรั่ง พลันมีแรงขึ้นมาทันที เถ้าแก่รับเดินไปหลังโต๊ะเก็บเงิน ส่วนเสี่ยวเอ้อร์ก็วิ่งเหยาะออกมา ยิ้มต้อนรับ “เรียนเชิญทั้งสองขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปข้างในพลางถามว่า “เถ้าแก่ของพวกเจ้าล่ะ”
เสี่ยวเอ้อร์ชะงักเล็กน้อย ตะโกนเข้าไปในร้าน “เถ้าแก่ มีคนมาหาขอรับ”
เถ้าแก่เงยหน้า ยิ้มถามว่า “ลูกค้าหาข้ามีธุระ…” แต่เมื่อเห็นว่าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็รีบเดินออกมาจากข้างหลังโต๊ะรับเงิน ถามอย่างประหลาดใจว่า “นายหญิง เหตุใดจึงมาขอรับ”
เถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งทุกคนจะต้องเข้าเมืองหลวงปีละครั้งก่อนถึงวันขึ้นปีใหม่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า นางถามขึ้นทันทีว่า “ในร้านมีเสี่ยวเอ้อร์ที่ร่างกายกำยำแข็งแรงไหม”
เถ้าแก่ชะงัก ถามหยั่งเชิงว่า “นายหญิง ท่านหมายถึง…”
“ช่วยข้าส่งจดหมายไปเมืองหลวง ระยะทางกว่าพันลี้ ต้องส่งให้ถึงภายในสามวัน ร่างกายต้องแข็งแรงพอ”
เถ้าแก่เข้าใจทันที รีบสั่งเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่ง “ไป เข้าไปเรียกจู้จื่อมา”
เสี่ยวเอ้อร์รีบวิ่งไปข้างหลัง ผ่านไปครู่หนึ่งชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผิวคล้ำก็เดินตามเขาออกมา
เถ้าแก่แนะนำ “นายหญิง นี่คือจู้จื่อขอรับ เป็นหลานของข้า ตอนเด็กเคยฝึกฝนวรยุทธ์มาบ้าง ร่างกายก็แข็งแรง ให้เขาไปภายในสามวันรับรองว่าส่งให้ท่านได้แน่นอนขอรับ”
หลังจากสำรวจดูจู้จื่อครู่หนึ่ง เห็นว่าเขาร่างสูงใหญ่และแข็งแรงดี เมิ่งเชี่ยนโยวก็พยักหน้า “ได้ เขาเลยแล้วกัน ให้เขานำเศษเงินตำลึงและตั๋วเงินเล็กน้อยติดตัวไปด้วย หลังจากเก็บของเสร็จแล้วออกมาพบข้า”
เถ้าแก่ขานรับ นำจู้จื่อไปหลังเรือน ขณะที่เก็บของจำเป็นให้เขาไป ก็พูดกำชับเรื่องที่เขาต้องทำไปด้วย “นายหญิงมาด้วยตัวเองแบบนี้ แสดงว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่ จำที่ข้าพูดไว้ เจ้าต้องทำให้ดี”
จู้จื่อพยักหน้า ขานรับเสียงทุ้มใหญ่ว่า “ขอรับ ท่านลุง ข้ารู้แล้ว ข้าจะส่งจดหมายให้ถึงมือ ไม่ทำให้ท่านขายหน้าขอรับ”
หลังจากทั้งสองเก็บของเสร็จแล้วเดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นจดหมายไปให้จู้จื่อ
จู้จื่อรับมา ค่อยๆ สอดเข้าในอ้อมอก
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยื่นป้ายแขวนเอวให้เขา “หลังจากเจ้าเข้าเมืองแล้ว ให้ไปจวนอ๋องทันที แล้วแสดงป้ายหยกชิ้นนี้ให้คนเฝ้าประตู บอกว่ามาหาคุณชายรอง เขาจะนำเจ้าเข้าไปเอง”
จู้จื่อขานรับอย่างนอบน้อม
“อีกอย่าง จำไว้ว่าอย่าไปทางลัด เมื่อรู้สึกว่าม้าไปต่อไม่ไหวแล้ว ก็รีบซื้อใหม่อีกตัว ไม่ต้องเสียดายเงิน ให้รีบส่งจดหมายให้ถึงมือเร็วที่สุดจะเป็นการดี”
“ขอรับ นายหญิง ข้าเข้าใจแล้ว”
“หลังจากส่งจดหมายแล้ว เจ้าพักผ่อนในเมืองหลวงก่อนสองสามวันค่อยกลับมาก็ได้ หากอยากเดินเล่นในเมืองหลวงก็ย่อมได้ คนจวนอ๋องจะช่วยจัดแจงให้เจ้าเอง”
นัยน์ตาจู้จื่อพลันมีแสงประกายวาววับ โตมาขนาดนี้ อย่าว่าแต่ไปเมืองหลวงเลย แม้แต่เมืองชายแดนที่อยู่ใกล้เมืองชิงหยางเขาก็ยังไม่เคยไปเลย ครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะได้ไปเมืองหลวง ยังได้ไปเที่ยวเล่นที่นั่นด้วย นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยแม้แต่จะฝัน เขาจึงดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น แล้วรีบกล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณนายหญิง ขอบคุณนายหญิงขอรับ”
“ไปเถอะ ข้างนอกมีม้าอยู่” จู้จื่อขานรับ วิ่งออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็วปานสายลม ถือบังเ**ยนแล้วขึ้นควบม้า ขี่ม้าจากไป
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านมองเขาด้วยความอิจฉา
“นายหญิงเชิญนั่งขอรับ ข้าจะสั่งคนไปยกชามาเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์ก็ตั้งสติได้ รีบไปต้มน้ำที่หลังร้าน ในร้านจึงว่างเปล่าอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวมีเรื่องอยากคุยด้วยพอดี จึงนั่งลงกับหวงฝู่อี้เซวียน หลังจากกวาดตามองในร้าน เห็นว่าสะอาดสะอ้านไปทั่ว ไม่มีแม้แต่ฝุ่น ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบจากพายุในทะเลทรายจนทำให้ร้านสกปรกเละเทะเลย นางจึงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยปากชม “ร้านสะอาดมาก ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย ลำบากเถ้าแก่เฉิงมาแล้ว”
เถ้าแก่ได้รับคำชมเชยอย่างไม่คาดฝันจนรู้สึกประหลาดใจ เขารีบตอบกลับทันที “นายหญิง ท่านก็พูดไปขอรับ ร้านนี้ข้าก็มีส่วน แม้จะไม่ทำเพื่อท่าน แต่ทำเพื่อข้าเอง ก็ต้องดูแลให้ดีขอรับ”
เมื่อครั้นรับสมัครงานก็บอกไว้แล้วว่าจะแบ่งกำไรให้กับเถ้าแก่ทุกๆ ร้าน เถ้าแก่ทุกคนจึงตั้งใจทำงานอย่างขยันขันแข็ง
“เถ้าแก่เฉิงพูดเช่นนี้ข้ายินดีนัก แต่วันนี้ที่มากะทันหันเช่นนี้ นอกจากจะให้ช่วยส่งจดหมายไปเมืองหลวงแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่อยากถามเจ้า”
“นายหญิงเชิญถามขอรับ”
เถ้าแก่มีท่าทีนอบน้อม ยืนโค้งลำตัวให้
“เจ้านั่งเถอะ ไม่ต้องวางตัวนอบน้อมขนาดนั้นหรอ” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่ง
หลังจากเถ้าแก่กล่าวขอบคุณแล้ว ครึ่งหนึ่งของก้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ของเสี่ยวเอ้อร์
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมอง พูดว่า “เจ้าเป็นเถ้าแก่ในเมืองชิงหยางมาสิบกว่าปีแล้ว ตามที่เจ้ารู้ หากเราขยับขยายร้านไปที่รัฐอื่น จะมีความเป็นไปได้แค่ไหน”
เถ้าแก่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ถามอย่างประหลาดใจ “นายหญิง คิดได้แล้วหรือว่าอยากจะเปิดร้านในรัฐอื่น”
“เถ้าแก่พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือเจ้ามีความคิดเช่นนี้มานานแล้ว”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เถ้าแก่ก็เกิดความสนอกสนใจทันที เขาไม่วางตัวนอบน้อมอีกแล้ว และนำเรื่องที่ตนได้สำรวจมาตลอดหลายปีมานี้ รวมถึงคนต่างรัฐที่มาทานบะหมี่มันฝรั่งกันเล่าให้เมิ่งเชี่ยนโยวฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังอย่างตั้งใจ คอยพยักหน้าเป็นพักๆ
เถ้าแก่ได้รับกำลังใจเหลือล้น ชั่วขณะที่ดีใจนั้น ก็นำแผนการที่ตนเคยคิดไว้เมื่อครั้นไม่มีอะไรทำพูดออกมาว่า “นายหญิง ข้าคิดว่าการไปเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งในรัฐอื่นนั้นมีความเสี่ยงสูงนัก ท่านหาวิธีอื่นเสียน่าจะดีกว่าขอรับ นั่นก็คือหาพ่อค้าที่มีความสามารถและมีชื่อเสียงในรัฐอื่นไว้ ให้พวกเขาไปเปิดร้านของตนเอง ส่วนพวกเรา ก็แค่ให้สูตรและบะหมี่มันฝรั่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เถ้าแก่เฉิง เจ้ามีความตั้งใจมาก นี่เป็นวิธีที่ดี ข้าจะกลับไปคิดดู”
เมื่อได้รับคำชม เถ้าแก่ก็ดีใจมาก
จากนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวก็ถามถึงวัฒนธรรมของเมืองชายแดนและรัฐใกล้เคียงอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์จึงส่งพวกเขากลับไปด้วยความนอบน้อม นางขึ้นควบม้าตัวเดียวกันกับหวงฝู่อี้เซวียนกลับไป
จดหมายถูกส่งออกไปแล้ว ทั้งสองจึงกลับไปอย่างไม่เร่งรีบ นั่งคุยกันบนม้า
“วิธีที่เถ้าแก่เฉิงเสนอมาก็ดี หากเจ้าอยากให้ร้านบะหมี่มันฝรั่งเป็นที่รู้จักของคนใต้หล้า เจ้าทำเช่นนี้ก็ดีนะ” หวงฝู่อี้เซวียนพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายศีรษะ “ข้าต้องการให้มีชื่อเสียงไปทั่วรัฐข้างเคียง ไม่ใช่เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้ ที่เมื่อเกิดเรื่องขึ้นในรัฐอื่น แม้แต่ที่หลบภัยยังไม่มี”
หวงฝู่อี้เซวียนชะงัก รีบพูดทันที “เรื่องของเย่ว์เอ๋อร์นั้นเป็นข้อยกเว้น ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
เมื่อคิดถึงสายตาที่ไท่จื่อรัฐหมิงมองหวงฝู่สือเมิ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางใจลงไม่ได้ นางถอนหายใจยาว “ใครจะไปรู้ล่ะ เรื่องในอนาคตมีใครจะคาดเดาได้งั้นหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนก็คิดถึงเรื่องนี้ เขาสะบัดบังเ**ยนทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสองกลับเข้ามาในเมืองชายแดน ค่อยๆ เดินทางกลับกองบัญชาการ ยังไม่ทันถึงประตู ก็เห็นหลินจ้งเดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูอย่างกระวนกระวายแล้ว