ทั้งสองขี่ม้าขึ้นไปข้างหน้า
เมื่อหลินจ้งเห็น ก็รีบเดินไปหา “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเฟยท่านแม่ทัพฉู่สั่งคนส่งข่าวกลับมา บอกว่ารัฐอิงยอมจำนนและยอมอยู่ใต้การปกครองของเราแล้วขอรับ”
“เสนอเงื่อนไขอะไรหรือไม่” หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดลงจากม้า แล้วถามขึ้น จากนั้นก็ยื่นมือไปรับเมิ่งเชี่ยนโยวลงมา
หลินจ้งส่ายศีรษะ “ไม่มีขอรับ ไม่ได้เสนอเงื่อนไขใดๆ เลยขอรับ” พูดจบ แล้วนึกอะไรขึ้นได้ รีบพูดแก้ว่า “บอกว่าให้พวกเราส่งคืนศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ มีเพียงเรื่องนี้ขอรับ”
“ท่านแม่ทัพฉู่ว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านแม่ทัพฉู่คิดว่าน่าสงสัย เพราะรู้สึกง่ายดายเกินไป จึงส่งทหารมาเชิญท่านและท่านอ๋องไปที่ค่ายทหารขอรับ”
“เสด็จพ่อของข้าล่ะ”
“รออยู่ในจวนขอรับ”
“เจ้าไปเชิญท่านอ๋องมา ข้าจะรออยู่หน้าประตูจวนรอเขา”
หลินจ้งขานรับ วิ่งเหยาะๆ เข้าไป
“เจ้ารอในจวนนะ ดูแลลูกๆ และคุณหนูหลิน ข้าจะไปที่นั่นกับเสด็จพ่อ” หวงฝู่อี้เซวียนสั่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
อ๋องฉีเดินออกมา พร้อมทหารนายหนึ่งจูงม้าออกมา
พ่อลูกทั้งสองขึ้นควบม้าพร้อมกัน แล้วสะบัดบังเ**ยนไปที่ค่ายทหาร
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูพวกเขาจากไปไกล จึงมองกลับมา หันหลังกลับเข้าไปในจวน
“ซื่อจื่อเฟยขอรบกวนเวลาสักครู่ขอรับ”
หลินจ้งเรียกนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน หันศีรษะกลับมา
หลินจ้งยืนอยู่ข้างหน้าที่ห่างจากนางหนึ่งฟุต ถามเสียงทุ้มต่ำว่า “ขอถามซื่อจื่อเฟยขอรับ น้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร มองไปที่เขา
หลินจ้งสูดหายใจเข้าลึกแล้วพ่นออกมา “ซื่อจื่อเฟยได้โปรดพูดตามความจริงเถอะขอรับ ข้ารับได้”
“ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว”
เพียงประโยคเดียวก็บอกทุกสิ่งแล้ว
แม้ตอนนั้นที่เจอหลินหันเยียน จะทำใจไว้บ้างแล้ว แต่ตัวของหลินจ้งยังคงอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง เขาหลับตาลง “ยังเหลืออีกกี่วันขอรับ”
“ข้าส่งจดหมายให้อวี้เอ๋อร์ไปแล้ว เขาจะมาถึงภายในสิบวัน นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของหลินหันเยียน นางอาจจะรอถึงวันนั้นได้”
หลินจ้งเผยสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา ปริปากอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาประสานมือ ขอบคุณ “ขอบพระคุณซื่อจื่อเฟยขอรับ”
“ที่คุณหนูหลินบาดเจ็บสาหัส ก็เป็นเพราะพวกเรา ที่ข้าทำเช่นนี้ โปรดถือเสียว่าช่วยให้นางได้สมความปรารถนา หวังว่าผู้บัญชาการหลินจะไม่ถือโทษ”
“ซื่อจื่อเฟยพูดเกินไปแล้วขอรับ น้องเล็กคอยเฝ้าคะนึงหาถึงคุณชายรองมาสิบกว่าปี หากได้พบกันอีกครั้ง คงหลับตาไปพร้อมรอยยิ้มขอรับ” เมื่อหลินจ้งพูดถึงตรงนี้ ขอบตาก็แดงขึ้นมา น้ำเสียงก็สะอื้นเล็กน้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไป อยากจะตบไหล่ปลอบใจเขา แต่คิดถึงสถานะของตนไม่เหมาะสม จึงดึงมือกลับ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าขอโทษ”
พูดจบ ก็หันหลังเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ
หลินจ้งยังคงยืนอยู่ที่เดิม ผ่านไปนานกว่าจะเคลื่อนฝีเท้าอันหนักอึ้งของตนกลับเข้าไปในจวน
หลังจากที่อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนไปถึงค่ายทหาร และได้ตั้งสมมติฐานและการคาดเดากับฉู่เหวินเจี๋ยและเมิ่งชิงอยู่นาน ก็เดาไม่ออกว่าฮ่องเต้ของรัฐอิงมีอะไรในกอไผ่กันแน่ เหตุใดจึงยอมจำนนง่ายเช่นนี้ แต่ว่าเมื่อไม่มีศึกสงคราม เหล่าทหารก็ไม่ต้องเจ็บตัวอีกแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจมากอยู่ดี จึงเขียนจดหมายส่งไปเมืองหลวงเร่งด่วนแปดร้อยลี้ เพื่อสอบถามความประสงค์ของหวงฝู่ซวิ่น ในระหว่างนั้นก็คืนศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ให้รัฐอิงก่อน และเมตตาให้พวกเขาจัดงานศพแล้วค่อยมาเจรจาเรื่องหลังจากนั้นต่อ
หลังจากผ่านไปสี่วัน เวลาเที่ยงคืน ประตูเมืองเพิ่งเปิดไม่นาน
จู้จื่อที่เสื้อผ้าถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นจนมองไม่ออกว่าสวมใส่ชุดอะไรก็มาถึงหน้าจวนอ๋องฉี ลำตัวที่ซวนเซไปมาล้มลงมาจากม้า พลุบ ร่วงหล่นบนพื้น
นายประตูกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าประตูจวนตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นดังนั้น ก็เดินเข้ามา เขาก้มหน้าลง ถามคนที่อยู่ต่ำกว่าตนว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
จู้จื่อล้มจนหน้ามืดตามัว เขาสะบัดศีรษะครู่หนึ่ง เมื่อเห็นนายประตูชัดเจนแล้ว ก็ถามขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้งดั่งฆ้องแตกว่า “เจ้าคือนายประตูจวนอ๋องฉีหรือไม่”
นายประตูมองสำรวจเขาอย่างสงสัย ตอบว่า “ใช่ เจ้าคือ…”
จู้จื่อควานหาป้ายแขวนเอวออกมา แต่ไม่มีแรงยกขึ้นมา เขาจึงวางลงบนหน้าอกตน เพื่อแสดงให้นายประตูเห็นชัดเจน แล้วเสียงแหบแห้งของเขาก็ดังขึ้น “พาข้าไปหาคุณชายรองหน่อย นายหญิงมีจดหมายให้ข้ามาส่งให้เขา”
เมื่อนายประตูเห็นป้ายหยก และได้ยินสิ่งที่เขาพูดชัดเจนแล้ว ก็รีบทิ้งไม้กวาดในมือลงทันที เขาโค้งลำตัวลง ใช้แรงประคองจู้จื่อขึ้นมาเดินเข้าไปในจวน
บ่าวรับใช้ในจวนตื่นกันหมดแล้ว ต่างทยอยกันออกมาเดินผ่านหน้าเขาและใช้สายตามองจู้จื่อด้วยความประหลาดใจ
จู้จื่อฝืนตัวเองตามนายประตูเข้ามาจนถึงด้านหน้าเรือนของหวงฝู่อวี้ แต่ถูกเฮ่ออีดักไว้
“องครักษ์เฮ่อ คนนี้คือคนที่ซื่อจื่อเฟยส่งมาขอรับ บอกว่ามีจดหมายส่งให้คุณชายรองขอรับ” นายประตูพูดกับเขาอย่างนอบน้อม
เฮ่ออีพยักหน้า ยื่นมือออกมา
จู้จื่อยังไม่ทันตั้งสติได้
นายประตูรีบพูดเตือน “รีบนำจดหมายออกมาให้องครักษ์เฮ่อสิ ให้เขาส่งให้คุณชายรอง”
จู้จื่อเพิ่งตั้งสติได้ แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่นิดเดียวแล้วจริงๆ เขาหอบหายใจพูดว่า “อยู่ในอกข้า รบกวนท่านหยิบออกมาเองเถอะขอรับ”
เมื่อเฮ่ออีเห็นสภาพของเขา ก็รู้ว่าร่างกายเขาคงถึงขีดสุดแล้ว จึงยื่นมือสอดเข้าไปในอกหยิบจดหมายออกมา แล้วเดินถือเข้าไปในเรือนทันที
หวงฝู่อวี้และเจียงจิ่นเพิ่งตื่นไม่นาน หลังจากอาบน้ำแต่งตัวแล้ว กำลังจะไปทักทายและทานอาหารเช้ากับพระชายาฉี
เมื่อได้ยินเฮ่ออีรายงาน ก็สั่งให้เขาเข้ามา
เฮ่ออีส่งจดหมายในมือให้อวงฝู่อวี้อย่างนอบน้อม “คุณชายรอง นี่เป็นจดหมายที่ซื่อจื่อเฟยสั่งให้คนเร่งม้าส่งให้ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งคนส่งมา หวงฝู่อวี้เริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดี เขารีบรับไว้และเปิดออกทันที ในจดหมายเมิ่งเชี่ยนโยวนำเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบและเรื่องที่หลินหันเยียนบาดเจ็บเพราะช่วยลูกๆ ไว้ รวมถึงเรื่องที่ตัวนางไม่สามารถช่วยหลินหันเยียนได้เล่าให้เขาฟัง และยังบอกเขาว่า อาการของหลินหันเยียนสาหัสมาก หากเขาอยากเจอนางเป็นครั้งสุดท้าย ให้รีบมาเมืองชายแดนให้เร็วที่สุด แต่หากไม่อยากเจอ จะไม่ต้องมาก็ได้
เมื่อหวงฝู่อวี้อ่านจบ ก็ล้มนั่งลงบนเก้าอี้
เจียงจิ่นเห็นสีหน้าเขาผิดปกติไป นางเดินขึ้นหน้า ถามเสียงเบาว่า “ท่านพี่ เป็นอะไรไป”
หวงฝู่อวี้นำจดหมายในมือให้นาง
เรื่องของหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนครานั้น เป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว คนในเมืองหลวงรู้กันทั้งหมด เจียงจิ่นก็เช่นกัน หลังจากแต่งงาน หวงฝู่อวี้ก็ไม่ได้ปิดบังนาง เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฟัง เจียงจิ่นรู้ว่าในใจของหวงฝู่อวี้ยังคงอาลัยหลินหันเยียนอยู่ลึกๆ เมื่อนางอ่านจดหมายเสร็จ ก็ไม่ได้พูดอะไร นางเดินไปข้าง**บเสื้อผ้า แล้วเปิด**บนำเสื้อผ้าสองสามตัวออกมา จากนั้นก็เปิด**บเล็กออกเพื่อนำตั๋วเงินสองสามใบใส่ไว้ในสัมภาระ เมื่อห่อเสร็จ ก็เดินไปข้างหน้าหวงฝู่อวี้ ส่งให้เขา “ท่านพี่ ไปเถอะเจ้าค่ะ อำลาความรักของพวกเจ้าและขอบคุณคุณหนูหลินที่สละชีวิตช่วยลูกของเราไว้ด้วย”
หวงฝู่อวี้เงยหน้ามองนาง ปากสั่นเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา
“ไปเถอะเจ้าค่ะ ข้าอยู่ในจวนเป็นเพื่อนเสด็จแม่เอง ข้าจะรอท่านกลับมานะ” เจียงจิ่นยัดสัมภาระให้เขา พูดโน้มน้าวเขาเสียงเบา
มือของหวงฝู่อวี้กำสัมภาระไว้แน่น น้ำตาคลอเบ้า แล้วก็ลุกพรวด เดินสาวท้าวออกไปทันที โดยไม่พูดจาสักคำ
“เฮ่ออี เราไปชายแดนกัน”
เฮ่ออีขานรับ ไปโรงม้าหลังเรือนเพื่อจูงม้ามา
หวงฝู่อวี้สาวเท้าเดินมาหน้าประตูจวน กระโดดควบม้า แล้วทะยานตัวออกไป เฮ่ออีนำองครักษ์เงาสองสามนายตามหลังไปติดๆ
เจียงจิ่นตามไปจนออกจากเรือน แล้วหยุดฝีเท้าลง เมื่อเห็นแผ่นหลังของหวงฝู่อวี้ที่ไม่มีวี่แววว่าจะหันหลังกลับ ก็ถอนหายใจยาว
“ฮูหยิน เขา…”
นายประตูที่ประคองจู้จื่อไว้อยู่ก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
เจียงจิ่นเพิ่งเห็นว่าจู้จื่อแทบจะค้ำจุนร่างตัวเองไว้ไม่ไหวแล้ว จึงรีบสั่งบ่าวรับใช้ในเรือน “รีบประคองเขาไปให้นอนดีๆ สักงีบก่อน เมื่อตื่นแล้วค่อยเตรียมซักล้างเสื้อผ้าและอาหารให้เขา”
บ่าวรับใช้สองคนขานรับ แล้วขึ้นมาประคองจู้จื่อไปเรือนรับรอง
นายประตูกลับไปที่หน้าประตูจวน หยิบไม้กวาดที่ตนทิ้งไว้ขึ้นมากวาดพื้นต่อไป
หลังจากจู้จื่อมาถึงไม่นาน มีม้าเร็วตัวหนึ่งก็วิ่งเข้าเมืองหลวง เพียงเวลาไม่นาน จดหมายเร่งด่วนแปดร้อยลี้ก็ถูกวางไว้บนโต๊ะของหวงฝู่ซวิ่นแล้ว
หวงฝู่ซวิ่นเปิดออก หลังจากอ่านละเอียดแล้ว ก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้พู่กันเขียนจดหมายตอบกลับ สั่งให้รีบส่งไปชายแดนให้ฉู่เหวินเจี๋ยโดยด่วน
หวงฝู่อวี้ออกจากเมืองหลวงไป เขาควบม้าตะบึงไปตลอดทาง ในหัวมีแต่ภาพของตนและหลินหันเยียนที่เกี้ยวพาราสีกันเมื่อครั้นหนุ่มสาว น้ำตาที่กลั้นมานานในที่สุดก็ไหลลงมา ปีมานี้ไม่รู้ว่าชีวิตนางอยู่สุขสบายหรือไม่ สาวน้อยที่บอบบางราวกับดอกไม้ในตอนนั้น ไปอยู่เมืองชายแดนที่เต็มไปด้วยพายุทะเลทราย ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ พอมีข่าวคราวนางมาบ้าง กลับกลายเป็นว่าถึงเวลาที่ต้องตายจากกันไป เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเจอกันในวันแบบนี้ เขายอมให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ แม้นางจะไม่สวยงามดังเดิม แม้จะถูกพายุทะเลทรายโบกพัดจนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยก็ตาม หรือ หรือแม้แต่ หรือแม้แต่นางจะเสียแขนไปข้าง ขาไปข้างก็ดี เขาก็หวังว่านางยังมีชีวิตอยู่ต่อจากใจจริง แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความหวังลมๆ แล้งๆ ไปแล้ว นางกำลังจะตาย ผู้หญิงที่เรียกเขาว่าพี่อวี้และในสายตามีเพียงเขาคนเดียวมาตลอดกำลังจะตายแล้ว
น้ำตาทำเอาสายตาเขาพร่ามัวไปหมด เสียงลมหนาวที่โหยหวนกลบเกลื่อนเสียงสะอึกสะอื้นของเขา แต่ความเศร้าเสียใจข้างในกลับซัดกระทบกันไปมาดั่งน้ำที่ไหลหลากในแม่น้ำ ปั่นป่วนจนเขารู้สึกเจ็บปวดไปหมด
สามวันสามคืน วิ่งจนม้าดีตายไปสามตัว เช้าวันที่สี่ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้น หวงฝู่อวี้ที่มีสีหน้าทรุดโทรม ดวงตาบวมแดง ร่างกายโซซัดโซเซก็มาถึงเมืองชายแดน
หากเขาจะมา ต้องมาภายในวันสองวันนี้แน่ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงส่งหวงฝู่เฮ่าไปรอหน้าประตูเมืองมาสองวันแล้ว
คนทั้งขบวนถูกฝุ่นปกคลุมไปทั้งตัวราวกับเพิ่งถูกขุดออกมาจากใต้ดิน คนที่เดินผ่านไปมาต่างมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
หวงฝู่เฮ่าก็เห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จึงเดินขึ้นไปหา ขานเรียกอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อ”
“นำทาง!” หวงฝู่อวี้แทบจะไม่มีเสียงให้เค้นออกมา
“ขอรับ ท่านพ่อ” หวงฝู่เฮ่ากระโดดขึ้นควบม้า เดินนำข้างหน้า
หวงฝู่อวี้เดินตามข้างหลังจนมาถึงกองบัญชาการ
ขาทั้งสองข้างของเขาแข็งทื่อไปหมด หลังจากที่ขี่ม้าต่อเนื่องมาหลายวัน จนเขาแทบจะลงจากม้าไม่ได้
เฮ่ออีและองครักษ์เงาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเขา พวกเขาทยอยกลิ้งตัวลงจากม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวออกมาจากจวนพอดี จึงรีบสั่งให้ทหารที่เฝ้าประตูช่วยกันประคองหวงฝู่อวี้ลงมาจากม้า
“พี่สะใภ้ใหญ่!” หวงฝู่อวี้ขานเรียก
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ไปห้องของเฮ่าเอ๋อร์อาบน้ำแต่งตัวหน่อยเถอะ คุณหนูหลินทนรอเจ้ามาได้ตั้งนาน คงไม่อยากเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้”