“นาง…” หวงฝู่อวี้ปริปาก น้ำเสียงแหบแห้ง แต่หลังจากพูดไปคำเดียว ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะถามต่อไป
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ “เจ้าไปดูเองเถอะ”
ขอบตาหวงฝู่อวี้แดงก่ำ แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปในจวน
หวงฝู่เฮ่าเดินตามข้างๆ นำทางเขาไปห้องของตน
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาวอีกครั้ง แล้วสั่งทหารที่เฝ้าอยู่หน้าประตูว่า “ประคองพวกเขาเข้ามาและจัดแจงให้เรียบร้อย”
เหล่าทหารขานรับ เดินหน้าไปประคองเฮ่ออีและคนอื่นๆ เข้ามาในจวน
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นำมาเสร็จ ก็แต่งตัวจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ดื่มน้ำไปสองแก้วให้คอที่แหบแห้งทรมานของตนชุ่มชื้น เมื่อรู้สึกว่าเสียงที่เปล่งออกมาของตนไม่แหบแห้งแล้ว หวงฝู่อวี้ก็สั่งหวงฝู่เฮ่า “ไปเถอะ พาข้าไปหานาง”
หวงฝู่เฮ่าเดินนำหน้า หวงฝู่อวี้ตามหลัง ทั้งสองมาถึงเรือนของหลินหันเยียน
หลินจ้งปิดบังสถานการณ์ของหลินหันเยียนกับฮูหยินหลิน ก่อนหน้านี้มีหลายครั้งที่เขาปริปากอยากบอกนาง แต่เมื่อเห็นผมขาวหงอกและใบหน้าที่หยาบกระด้างของนางแล้ว คำพูดที่ถึงปากแล้วก็กลืนกลับไปอีกครั้ง ในใจแอบตั้งความหวังอยู่ลึกๆ ว่าเผื่อโชคจะเข้าข้าง ไม่แน่ว่าหลังจากหวงฝู่อวี้มาเจอหลินหันเยียนแล้วนางจะดีใจ แล้วอาการบาดเจ็บจะหายไป
วันนี้ราวกับว่าฟ้าได้ยินสิ่งที่เขาคิด หลินหันเยียนลืมตาแต่เช้าตรู่ ดูสดใสกว่าปกติ นางไม่เพียงแต่กินข้าวต้มไปหนึ่งถ้วยเล็ก ยังมีแรงพูดคุยกับครอบครัวอยู่ครู่หนึ่ง
หลินจ้งดีใจมาก ฮูหยินหลินดีใจยิ่งกว่าเขา ถึงขั้นถามหลินหันเยียนไว้แล้วว่าหลังจากหายแล้วอยากทานอะไร นางจะได้ให้คนตระเตรียมของไว้เลย รอเมื่ออาการนางดีแล้ว จะทำให้นางกินทุกวัน
สองสามีภรรยาหลินจ้งก็เออออตามด้วย
หลินหันเยียนยิ้มน้อยๆ ครั้นกำลังจะพูดอะไรขึ้น สาวใช้ก็เปิดม่านประตูเข้ามา หลังจากคารวะทุกคนแล้ว ก็พูดกับฮูหยินหลินว่า “ฮูหยินหลิน คุณชายรองจวนอ๋องฉีขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
ฮูหยินหลินไม่เชื่อ ถามอย่างไม่มั่นใจอีกครั้ง “ใครนะ?”
“คุณชายรองของจวนอ๋องฉีเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอีกครั้ง
ฮูหยินหลินลุกพรวดทันที ถามเสียงแหลม “เขามาทำอะไร”
“ไม่ ไม่ทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้ตกใจจนถอยหลัง ตอบอย่างหวาดกลัว
“ไม่พบ” ฮูหยินหลินปฏิเสธอย่างแน่วแน่ แต่น้ำเสียงราบเรียบมาก เรื่องราวทั้งหมดเมื่อตอนนั้นผ่านไปหลายปีแล้ว นางปล่อยวางได้นานแล้ว
แต่ตอนนี้เขามีภรรยาและลูก แล้วหมายความว่าอย่างไรกันที่มาเยี่ยมเยียนเอ๋อร์ หากเพียงเพราะว่าช่วยลูกชายเขาไว้ ก็ละไว้เถอะ เยียนเอ๋อร์ไม่ต้องการ ครอบครัวพวกเขาก็ไม่ต้องการ
เยียนเอ๋อร์กลับปรากฏสีหน้าตื่นเต้น สิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดจะได้เจอพี่อวี้แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะหน้าตาเปลี่ยนไปเหมือนที่ตนเป็นหรือไม่
หลินจ้งกินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง เขาลุกขึ้น พูดโน้มน้าวว่า “ท่านแม่ ข้าเองที่ส่งจดหมายให้คุณชายรองมาหาเยียนเอ๋อร์ เรื่องที่ผ่านไปแล้วท่านอย่านำมาคิดอีกเลยนะขอรับ ให้เยียนเอ๋อร์…”
“เจ้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่อง เยียนเอ๋อร์และเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ตั้งแต่ที่เรามาชายแดนกันแล้ว”
หลินจ้งปริปากจะพูด แต่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“ท่านแม่!” หลินหันเยียนเรียกนาง
ฮูหยินหลินหันศีรษะกลับ
สายตาหลินหันเยียนเต็มไปด้วยความหวัง นางพูดวิงวอน “ข้าอยากพบเขาเจ้าค่ะ”
“เจ้า…” ครั้นหลินหันเยียนกำลังจะตำหนินางว่าลำบากเพื่อผู้ชายคนนั้นยังไม่พออีกหรือ แต่เมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของนาง ก็กลืนคำพูดกลับไป นางยื่นมือไปปัดผมที่ปรกอยู่ข้างหน้าไปข้างหลัง ถอนหายใจยาว แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เพื่อสิ่งใดกันเล่าลูก”
หลินหันเยียนยื่นมือไปจับปกเสื้อฮูหยินหลินไว้ น้ำตาเอ่อ “ท่านแม่ เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวของชีวิตข้านะเจ้าคะ”
ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่เคยรัก ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่นางอยากจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต ผู้ชายเพียงหนึ่งเดียวที่นางคอยเฝ้าคะนึงหามาตลอดสิบกว่าปีและไม่มีวันลืมได้ลง
“ลูกโง่” ฮูหยินหลินเข้าใจคำพูดของนาง น้ำตาเริ่มคลอเบ้า หลังจากว่านางไปคำเดียวก็ลุกขึ้น ไปอ่างล้างหน้าชุบผ้าให้เปียกหมาด แล้วเช็ดหน้าให้หลินหันเยียนอีกครั้ง และหวีผมให้เพื่อให้นางดูสดใสขึ้นกว่าเดิม แล้วจึงถอนหายใจยาว “เพื่อสิ่งใดกันเล่าลูก ได้เจอกันครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปเจ้า…”
ฮูหยินหลินไม่ได้พูดประโยคถัดมา หลินหันเยียนก็เข้าใจว่านางคงกลัวว่าหลังจากตนพบหวงฝู่อวี้แล้ว จะปล่อยวางเขาไปไม่ได้ตลอดชีวิต แต่นางไม่รู้ว่าตนเองเหลือชีวิตอีกเพียงไม่กี่วันแล้ว การได้พบกับพี่อวี้อีกครั้ง เป็นความปรารถนาสุดท้ายก่อนตายของนาง
หลินจ้งรู้ดี ขอบตาเขาแดงก่ำ
ฮูหยินของหลินจ้งก็รู้ นางเกือบจะปล่อยโฮ จึงรีบหันศีรษะไป ไม่ให้ฮูหยินหลินเห็นสีหน้าอารมณ์ของตนเอง
“ให้คุณชายรองเข้ามาเถอะ” ฮูหยินหลินตบมือหลินหันเยียนเบาๆ แล้วหันศีรษะไปสั่ง
สาวใช้ขานรับ เดินออกไป หลังจากรายงานกลับอย่างนอบน้อมแล้ว สาวใช้ก็ยืนอยู่ข้างประตู เปิดม่านประตูให้
หวงฝู่อวี้เดินเข้ามา
ทุกคนมองไป ไม่ได้พานพบมาหลายปี หวงฝู่อวี้แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เขายังคงเหมือนเดิม เพียงแต่รอบตัวมีรังสีแห่งความหนักแน่นและเฉลียวฉลาดมากขึ้น
เมื่อเข้าประตู สายตาของหวงฝู่อวี้ก็มองไปที่หลินหันเยียนทันที
หลินหันเยียนก็มองไปที่เขาอย่างซึ้งใจ นางขยับตัวคล้ายพยายามจะลุกขึ้นนั่ง
หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ คิดจะห้ามปรามนาง
ฮูหยินหลินไอกระแอมขึ้นมา
หวงฝู่อวี้ตั้งสติได้ มองกลับมา คารวะอย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยินขอรับ”
ฮูหยินหลินเบี่ยงตัวหลบ พูดจาเหน็บแนม “มิบังอาจเจ้าค่ะ สามัญชนอย่างข้า มิสมควรให้คุณชายรองคารวะหรอกเจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ยืดตัวตั้งตรง เขาเม้มปาก ไม่ได้พูดอะไร
สองสามีภรรยาหลินจ้งคารวะ “คารวะคุณชายรองขอรับ/เจ้าค่ะ”
หวงฝู่อวี้ยื่นมือไปแตะประคองเบาๆ “ทั้งสองไม่ต้องเกรงใจกันเช่นนี้หรอก”
“ท่านแม่ เราออกไปกันเถอะ ให้น้องเล็กและคุณชายรองคุยกันสองคนสักครู่เถอะขอรับ” หลินจ้งพูดกับฮูหยินหลิน
ฮูหยินหลินไม่ยอม “ไม่ได้ คุณชายรองมีลูกมีภรรยาข้าไม่สนใจ แต่เยียนเอ๋อร์ของเรายังไม่แต่งงาน หากพวกเขาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง จะถูกคนอื่นนินทาเอา”
คำพูดของฮูหยินหลินเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจของหวงฝู่อวี้ เขาเจ็บจนลำตัวแทบจะหักงอลง
“ท่านแม่ คุณชายรองและน้องเล็กไม่ได้เจอกันหลายปี มีเรื่องเล่าจะคุยกันมากมาย เราออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ฮูหยินหลินจ้งเค้นรอยยิ้มออกมา พูดโน้มน้าวฮูหยินหลิน และเดินไปกอดแขนของนางไว้ กึ่งลากกึ่งดึงนางพลางพูดโน้มน้าวนางออกไปข้างนอก
หลินหันเยียนเป็นลูกสาวของตนเอง ฮูหยินหลินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสิบกว่าปีมานี้นางคิดอะไรอยู่ นางก็แค่ปากร้ายไปอย่างนั้น จริงๆ แล้วนางก็ดีใจที่หวงฝู่อวี้มาหา นางจึงไม่ได้คัดค้านและเดินตามออกไปแต่โดยดี
หลินจ้งสั่งคนใช้ที่อยู่ในห้อง “พวกเจ้าก็ออกไปเถอะ”
สาวใช้ในห้องออกไป หลินจ้งรั้งอยู่ท้ายสุด แล้วปิดประตูให้อย่างเบามือ
ในห้องเหลือเพียงหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนสองคน
ทั้งสองจ้องตากัน หลินหันเยียนน้ำตาไหลพราก ส่วนหวงฝู่อวี้ขอบตาแดงก่ำ
หลินหันเยียนยื่นมือออกไป เรียกเสียงเบาว่า “พี่อวี้”
หวงฝู่อวี้เดินขึ้นหน้าสองสามก้าว จนถึงข้างหน้านาง กุมมือนางไว้แน่น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เยียนเอ๋อร์”
ความคะนึงหาสิบกว่าปี กว่าจะได้มาพานพบกันในวันนี้ หลินหันเยียนน้ำตาไหลพรากราวกับเขื่อนที่พังทลาย จนผมข้างใบหูเปียกชุ่มไปหมด และกำลังแผดเผาดวงใจของหวงฝู่อวี้
เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา ช่วยเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยนเหมือนเมื่อครั้นหนุ่มสาว แต่ยิ่งเช็ดน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมามากกว่าเดิม
“พี่…อวี้…” เสียงของหลินหันเยียนสั่นเครือ
หวงฝู่อวี้พยักหน้า เปล่งเสียงสะอึกว่า “พี่อยู่นี่”
หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มจากใจจริง พูดทั้งน้ำตาว่า “พี่มาหาข้าได้ ดีจัง! ข้าตายตาหลับแล้วล่ะ!”
มือของหวงฝู่อวี้สั่นระริกจนแทบจะจับผ้าเช็ดหน้าไว้ไม่อยู่ น้ำตาเม็ดโตไหลหยดลงมา ริมฝีปากก็สั่นเทา พูดอะไรไม่ออกสักคำ
หลินหันเยียนกลับยิ้มปลอบใจเขา “พี่อวี้ พี่ไม่ต้องเสียใจเจ้าค่ะ ข้าดีใจมากเลยที่ได้ช่วยคุณชายใหญ่ไว้ ถือว่าตอบแทนความรักที่พี่เคยมีให้เมื่อหลายปีก่อน แม้จะตาย ข้าก็ไปสู่สุคติแล้วเจ้าค่ะ”
ในที่สุดหวงฝู่อวี้ก็เปล่งเสียงขึ้น แต่เสียงสะอึกสะอื้นไปหมด “เยียนเอ๋อร์ แม้เจ้าจะโกรธพี่ แค้นพี่ พี่ก็อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ถึงแม้ ถึงแม้ผมเจ้าจะขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย พี่ก็อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ ดังนั้น เจ้าสัญญากับพี่นะ อดทนไว้ มีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลินหันเยียนยิ้มพลางส่ายศีรษะ “พี่อวี้ ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่เคยโกรธแค้นพี่เลย…”
“เยียนเอ๋อร์ ขอร้องล่ะ โกรธพี่ แค้นพี่เถอะนะ สาปแช่งให้พี่ตายทุกวันก็ได้” หวงฝู่อวี้รีบพูดขัดนาง “พี่ขอแค่เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลินหันเยียนน้ำตาเอ่อล้นจนตาพร่ามัวอีกครั้ง จนนางมองคนที่อยู่ข้างหน้าไม่ชัดเจน น้ำเสียงก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง “พี่อวี้ เพียงได้ฟังที่พี่พูดมาทั้งหมด ข้าก็ตายตาหลับแล้วเจ้าค่ะ”
“เยียนเอ๋อร์!” หวงฝู่อวี้ร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวด
หลังจากฮูหยินหลินออกไป นางก็ยืนอยู่หน้าเรือนตลอด เมื่อได้ยินเสียงหวงฝู่อวี้ผิดปกติไป ก็รีบผลักประตูบุกเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นสภาพตรงหน้า ก็รู้สึกถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น นางรีบเดินสาวเท้าไปข้างเตียง ผลักหวงฝู่อวี้ออก เรียกเสียงตกใจว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรไป”
สองสามีภรรยาฮูหยินหลินก็เดินตามเข้ามา
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่เฮ่าเดินตามหลังสุด
หลินหันเยียนรู้สึกว่าลำตัวของตนเริ่มหนาวเย็นขึ้น ก็รู้ว่าตัวเองจะไม่ไหวแล้ว นางเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนแรงให้ พูดว่า “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยมากแล้ว อยากพักผ่อนแล้วล่ะ”
“ไม่ได้!” ฮูหยินหลินกรีดร้องอย่างแตกตื่น “เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ หากเจ้าทิ้งแม่และพ่อไป เจ้าเป็นลูกอกตัญ…”
หลินจ้งก็ไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขามองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างกระวนกระวาย พูดขอร้อง “ซื่อจื่อเฟย…”
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก เดินสาวเท้าไปข้างเตียง จับมือหลินหันเยียนขึ้นมา ตรวจชีพจร แม้จะเตรียมใจไว้เนิ่นนานแล้ว แต่ในใจก็ยังรู้สึกหนักอึ้งมากอยู่ดี นางปล่อยมือลงเบาๆ แล้วส่ายศีรษะ
ลำตัวฮูหยินหลินโซเซไปมา ส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อ และรีบจับมือเมิ่งเชี่ยนโยว “ไม่นะ ไม่ เมื่อครู่เยียนเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่เลย ทำไมถึง…” พูดจบ ก็คุกเข่าลงไป ขอร้องวิงวอนอย่างร้อนรนว่า “ขอร้องล่ะ ซื่อจื่อเฟย ความโกรธแค้นที่ผ่านมาเป็นความผิดของเราเอง ท่านอย่าถือโทษคนต่ำต้อยเลย ช่วยเยียนเอ๋อร์ด้วยเถิด”