ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 60 ตายตาหลับ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ และดึงให้นางลุกขึ้นมา “ฮูหยินหลิน ไม่ใช่ข้าไม่ยอมช่วย แต่ร่างกายคุณหนูหลินถึงขีดสุดแล้วจริงๆ แม้จะใช้ยาที่วิเศษที่สุดก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว” 

 

 

“ข้าไม่เชื่อ!” ฮูหยินหลินกรีดร้องใส่นาง “เมื่อครู่เยียนเอ๋อร์ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ไม่ไหวแล้วล่ะ เจ้าโกหกข้า เจ้าโกหกข้า!” 

 

 

“นางแค่สดใสขึ้นเหมือนแสงสายันณ์ตะวันรอน ข้าบอกอาการของคุณหนูหลินให้ผู้บัญชาการหลินนานแล้ว ที่นางอดทนได้จนถึงวันนี้ เพียงเพราะอยากเจออวี้เอ๋อร์” เสียงของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ดัง แต่เป็นประโยคบอกเล่าที่ห้ามไม่ให้มีข้อโต้แย้งใดๆ  

 

 

ฮูหยินหลินมองลูกชายของตน เมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา ก็รู้ว่าเขารู้นานแล้ว นางจึงเชื่อที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด นางเจ็บแปลบในใจ ฟุบลงข้างเตียงแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น “เยียนเอ๋อร์ ลูก เจ้ายังไม่ได้แต่งงานเลยนะ เจ้ายอมทิ้งแม่ไปแบบนี้ได้อย่างไร…” 

 

 

แม้ม่านตาหลินหันเยียนจะถูกบดบังไปด้วยน้ำตา นางก็ยังปรากฏรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปจับมือของฮูหยินหลินไว้ ปลอบประโลมนางว่า “ท่านแม่ ลูกโตมาได้ขนาดนี้ ทำท่านเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลย หลังจากลูกไปแล้ว ท่านอย่าจมปลักกับความเศร้านัก ดูแลตัวเองดีๆ และใช้ชีวิตบั้นปลายกับท่านพ่ออย่างสุขสงบนะเจ้าคะ” 

 

 

ฮูหยินหลินร้องไห้พลางส่ายศีรษะ “เยียนเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของแม่ เอาชีวิตของแม่ไปแทนเถอะ” 

 

 

หลินหันเยียนใช้ความพยายามยื่นแขนเสื้อไปเช็ดน้ำตาให้ฮูหยินหลิน “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้เลย สิ่งที่ลูกปรารถนามาหลายปี วันนี้ลูกได้สมปรารถนาแล้วล่ะ ลูกจากไปด้วยรอยยิ้ม ท่านอย่าเสียใจเกินไปเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินหลินร้องไห้จนพูดอะไรไม่ออก  

 

 

หลินจ้งต่อยหมัดลงบนโต๊ะอย่างแรง น้ำตาฮูหยินหลินจ้งหยดลงบนพื้น  

 

 

หวงฝู่อวี้หยุดร้องไห้ หลังจากค่อยๆ ลุกยืนตัวตั้งตรงแล้ว ก็ทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าฮูหยินหลิน เสียงสะอึกสะอื้น แต่กลับแจ่มชัดและมีน้ำหนัก “วันนี้หวงฝู่อวี้ คุณชายรองจวนอ๋องฉีขอตบแต่งคุณหนูหลินเป็นผิงชีต่อหน้าฮูหยินหลิน ท่านได้โปรดอนุญาตด้วยขอรับ” 

 

 

ทุกคนในห้องตกตะลึง  

 

 

ฮูหยินหลินหยุดร้องไห้ มองเขาอย่างตะลึงงัน  

 

 

หลินหันเยียนกลับมีสติมากที่สุดในเวลานี้ นางรีบห้ามปราม “พี่อวี้ ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไรกันเจ้าคะ หลังจากข้าตายไป ศพก็อยู่ที่นี่ บนทะเลทรายผืนกว้างใหญ่ พายุทรายตลบไปทั่ว ฝังทุกอย่างไว้ จบสิ้นชีวิตชาตินี้ ไม่มีสิ่งใดให้อาวรณ์ นี่เป็นสิ่งที่ข้าปรารถนามาตลอด” 

 

 

หวงฝู่อวี้ไม่สนใจนาง เขาโขกหัวลงบนพื้นให้ฮูหยินหลิน ขอร้องอีกครั้ง “ขอท่านได้โปรดอนุญาตขอรับ” 

 

 

ฮูหยินหลินปากอ้าๆ หุบๆ พูดอะไรไม่ออก  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเงียบๆ  

 

 

หลินจ้งก็เข้าใจเจตนาของหวงฝู่อวี้ เขาอดห้ามปรามไม่ได้ “คุณชายรอง…” 

 

 

หวงฝู่อวี้ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด เขาพูดกับฮูหยินหลินว่า “ในเมื่อท่านไม่คัดค้าน ย่อมแปลว่าเห็นด้วยแล้วนะขอรับ” พูดจบ ก็หันไปขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยว “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านช่วยเตรียมให้พวกเราด้วยขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์จะไหว้ฟ้าดินเดี๋ยวนี้ขอรับ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ก้าวเท้าเดินออกไป  

 

 

“เฮ่าเอ๋อร์ เจ้ามานี่” หวงฝู่อวี้เรียกหวงฝู่เฮ่า  

 

 

หวงฝู่เฮ่าเดินขึ้นมา  

 

 

“คุกเข่า คารวะแม่ของเจ้า” 

 

 

ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว หวงฝู่เฮ่าก็คุกเข่าลงข้างเตียงแล้ว เขาโขกหัวแรงๆ ลงบนพื้น “ลูกขอคารวะท่านแม่ขอรับ” 

 

 

หลินหันเยียนยื่นมือออกมาอย่างยากลำบาก นางโบกมือให้หวงฝู่เฮ่า เพื่อส่งสัญญาณให้เขาเดินขึ้นมา  

 

 

หวงฝู่เฮ่าคุกเข่าเดินไปข้างเตียงอย่างรู้สัมมาคารวะ  

 

 

มือของหลินหันเยียนแตะลงลนศีรษะของเขา ลูบอย่างเบามือ น้ำตาแห่งความสุขและความพึงพอใจไหลลงมา “เด็กดี ข้าดีใจมากที่ช่วยเจ้าไว้ได้ แค่คำว่า ‘แม่’ จากปากลูก ก็เติมเต็มความฝันของข้าแล้ว ข้าตายตาหลับแล้วล่ะ” 

 

 

“ลูกขอบคุณแม่ที่ช่วยชีวิตลูกไว้ ต่อไปลูกคือลูกชายโดยแท้ของท่าน ขอให้ท่านเห็นแก่ลูก พยายามและอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป เพื่อให้ลูกได้มีโอกาสตอบแทนท่านขอรับ” 

 

 

มือขอหลินหันเยียนเลื่อนลงมาบนหน้าของหวงฝู่เฮ่า พูดพึมพำว่า “หลังจากเจ้ากลับเมืองหลวงไปแล้ว ช่วยพูดคำขอโทษให้แม่เจ้าแทนข้าด้วย ต่อไปป้ายวิญญาณของข้าจะอยู่ในจวนอ๋องฉี กลายเป็นผิงชีของพี่อวี้ คงทำให้แม่เจ้าลำบากใจไม่น้อย นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าเรียกร้อง แต่ก็เป็นความใฝ่ฝันของข้ามาเสมอ ข้าต้องขอโทษนางจากใจจริงด้วย” 

 

 

ทุกคนในห้องน้ำตาไหล ฮูหยินหลินร้องจนเกือบเป็นลมไปหลายครั้ง  

 

 

หวงฝู่เฮ่าขอบตาแดง “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกล่าวขอโทษหรอกขอรับ แม่เจียงจิ่นไม่ถือโทษท่านหรอก” 

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้าเบาๆ ช้าๆ “ข้ารู้ แม่ของเจ้าเป็นคนดี แต่คำขอโทษเป็นสิ่งที่ข้าติดค้างนางไว้ ไม่เพียงเรื่องในวันนี้ แต่รวมถึงเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย” 

 

 

หวงฝู่เฮ่าขานรับสะอึกสะอื้น “ลูกรู้แล้วขอรับ ลูกจะช่วยบอกต่อนางขอรับ” 

 

 

หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มดีใจ ราวกับยกภูเขาออกจากอก แล้วนางก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกต่อไป นางค่อยๆ ปิดตาลงช้าๆ  

 

 

“เยียนเอ๋อร์ เจ้าฟังแม่นะ…” ฮูหยินหลินรีบกระโจนเข้าไปที่นาง “หลายปีมานี้เจ้าคิดรอคอยที่จะตบแต่งกับคุณชายรองไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะแต่งงานไหว้ฟ้าดินกันแล้ว เจ้าต้องอดทนไว้ อย่าหลับตาลงนะ” 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น หลินหันเยียนก็กลับมามีสติอีกครั้ง นางฝืนลืมตาขึ้น พึมพำกับตนเองว่า “ใช่ ข้ากำลังจะแต่งงานกับพี่อวี้แล้ว ข้าจะตายตอนนี้ไม่ได้ ข้าต้องอดทนไว้” 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งทนไม่ไหวอีกต่อไป นางกัดมือตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้ของตนดังออกมา  

 

 

หลินหันเยียนมองไปที่นาง “พี่สะใภ้ใหญ่” 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งปล่อยมือลง เดินขึ้นมาข้างหน้า ขานรับเสียงสะอื้น “น้องเล็ก” 

 

 

“พี่สะใภ้ช่วยแต่งหน้าให้ข้าหน่อย ข้าอยากแต่งกับพี่อวี้ด้วยหน้าตาที่สะสวย” 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งร้องไห้จนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ  

 

 

“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” 

 

 

“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนมองไปที่หลินจ้ง แล้วเรียกเขา 

 

 

หลินจ้งผู้ชายคนหนึ่งร้องห่มร้องไห้จนกลายเป็นคนเจ้าน้ำตา เขาเดินโซเซจนมาถึงหน้าเตียง “น้องเล็ก” 

 

 

“พี่ช่วยประคองข้าขึ้นมาเถอะ” 

 

 

“อื้ม ได้!” หลินจ้งออกเสียงได้เพียงคำนี้คำเดียว 

 

 

แล้วหลินหันเยียนก็หันไปมองหวงฝู่เฮ่าที่ยังคงคุกเข่าอยู่หน้าเตียง “เด็กดี ลุกขึ้นเถอะ ช่วยท่านลุงของเจ้าประคองข้าขึ้นมานะ” 

 

 

หวงฝู่เฮ่าลุกขึ้น โค้งตัวลงพร้อมกับหลินจ้ง ค่อยๆ ประคองหลินหันเยียนลุกนั่งขึ้น  

 

 

หลินหันเยียนหอบหายใจครู่หนึ่ง 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งนำผ้าชุบน้ำหมาดมาเช็ดหน้าให้นางก่อนที่จะค่อยๆ สางผมและม้วนผมให้สวยงามอย่างเบามือและอ่อนโยน นางหยิบเครื่องประทินโฉมมาแต่งหน้าให้นางด้วยมือที่สั่นเทาและสายตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตา 

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่” หลินหันเยียนยิ้มเรียกนาง น้ำเสียงหยอกเล่นว่า “ในชีวิตนี้ข้ามีโอกาสเพียงวันนี้วันเดียวที่ได้แต่งงานไหว้ฟ้าดิน พี่สะใภ้แน่ใจหรือว่ามือพี่สั่นแบบนี้ จะไม่แต่งให้หน้าอันงดงามดั่งดอกไม้ของข้ากลายเป็นคนน่าเกลียด?” 

 

 

มือของฮูหยินหลินจ้งหยุดสั่น มองหลินหันเยียนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริกไปมา ไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา  

 

 

“พี่สะใภ้ใหญ่ วันนี้เป็นวันมงคลของข้า พี่สะใภ้ต้องดีใจสิ พี่สะใภ้ร้องไห้แบบนี้คนนอกเห็นเข้า จะคิดว่าพี่สะใภ้ไม่อยากให้น้องคนนี้ออกเรือน จะได้อยู่ในจวนกับพี่สะใภ้ต่อไปเสียนะเจ้าคะ” หลินหันเยียนยังคงยิ้มพูดเสียงเบา เมื่อพูดจบ ก็หอบหายใจครู่หนึ่ง  

 

 

ฮูหยินหลินไม่ได้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่นางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาตน นางสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มพลางสะอื้นพูดว่า “เจ้าพูดถูก พี่สะใภ้ไม่อยากให้เจ้าออกเรือน ในจวนขาดเจ้าไป คงไม่มีใครช่วยหนุนหลังข้าแล้ว” 

 

 

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่กลับนำเครื่องประทินโฉมแต่งลงบนใบหน้าของหลินหันเยียนอย่างประณีต  

 

 

เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคนี้ก็กินกำลังของของหลินกันเยียนไปมากแล้ว ตอนนี้นางไม่มีแรงปริปากพูดอีก จึงหลับตาลง ปล่อยให้ฮูหยินหลินจ้งประทินโฉมให้นางต่อไป  

 

 

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฮูหยินหลินจ้งแต่งหน้าให้หลินหันเยียนเสร็จ สาวใช้ก็เดินย่องเข้ามารายงาน “ฮูหยินหลิน คุณชายใหญ่ ซื่อจื่อเฟยบอกว่าเตรียมเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อหลินหันเยียนได้ยินดังนั้น ก็ฝืนตนเองไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้หยิบกระจกให้หน่อยเจ้าค่ะ” 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งรู้ว่านางคิดจะทำอะไร จึงยกกระจกให้นางส่อง  

 

 

ในกระจก ปรากฏหญิงงามผู้หนึ่ง ยกเว้นสีหน้าที่ขาวซีดไปหน่อยแล้ว ตลอดสิบปีที่ผ่านมานี้กลับไม่ได้ทิ้งร่องรอยแห่งกาลเวลาใดๆ บนใบหน้านางเลย นางยังคงงดงาม โดดเด่น และน่าเอ็นดู  

 

 

ร่างกายของหลินหันเยียนถึงขีดสุดแล้ว นางใช้แรงกำลังที่เหลือเฮือกสุดท้าย เงยหน้าขึ้น ยิ้มมองหวงฝู่อวี้ น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “พี่อวี้ วันนี้ข้าสวยไหมเจ้าคะ” 

 

 

หวงฝู่อวี้เดินขึ้นมาข้างหน้า จ้องมองตานาง พยักหน้าอย่างไม่ลังเล “สวย เจ้าสวยมาก” 

 

 

พูดจบ ก็ย่อตัวลง นำมือทั้งสองข้างของนางคล้องไว้ที่ลำคอของตนเอง แล้วโค้งตัวลงอุ้มนางขึ้นมา เดินออกไป 

 

 

ฮูหยินหลินจ้งประคองฮูหยินหลินตามหลังไป 

 

 

หลินจ้งอยู่ข้างหลังพวกเขา หวงฝู่เฮ่าอยู่ท้ายสุด  

 

 

คนทั้งขบวนมาถึงเรือนขนาดเล็กที่สวยงามที่อยู่ไม่ไกลจากเรือนของหลินหันเยียน หน้าประตูเรือน โคมไฟสีแดงใหญ่ที่ถูกแขวนพริ้วไหวไปตามสายลม ในเรือนติดอักษรมงคลแผ่นใหญ่ไปทั่ว 

 

 

ในห้องก็ถูกตกแต่งด้วยผ้าไหมสีแดง บรรยากาศน่าปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด  

 

 

หลินฉงเหวินนั่งที่นั่งประธาน เมื่อเห็นหวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนเข้ามา ร่างกายก็ขยับเล็กน้อย เขากำมือแน่น ใช้ความพยายามอดกลั้นไม่ให้ตนลุกยืนขึ้น  

 

 

ฮูหยินหลินร้องไห้พลางไปนั่งที่นั่งประธาน  

 

 

ส่วนคนที่เหลือยืนอยู่ข้างหลังหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียน  

 

 

ข้างหน้าทั้งสองคนมีหญิงชราคนหนึ่งที่แต่งเป็นสี่ผอยืนอยู่ เมื่อนางเห็นภาพตรงหน้า ขอบตาก็แดงระเรื่อ แล้วพูดเสียงดังว่า “หนึ่ง คำนับฟ้าดิน!” 

 

 

หวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนคุกเข่าลง โขกหัว แล้วลุกขึ้น  

 

 

“สอง คำนับบิดามารดา!” 

 

 

หวงฝู่อวี้คุกเข่าลงอีกครั้ง โขกหัว แล้วลุกขึ้น  

 

 

หลินหันเยียนในอ้อมอกยิ้มมองเขา  

 

 

“สามีภรรยาคำนับกันและกัน!” 

 

 

หวงฝู่อวี้ก้มศีรษะลง หน้าผากของเขาสัมผัสหน้าผากของหลินหันเยียน แล้วเขาก็พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เยียนเอ๋อร์ สิ้นพิธีแล้ว เจ้าเป็นภรรยาที่ถูกต้องของหวงฝู่อวี้แล้ว” 

 

 

หลินหันเยียนเผยรอยยิ้มสดใส “ใช่ พี่อวี้ ข้าเป็นภรรยาที่ถูกต้องแล้ว ดีจังเลยเจ้าค่ะ” 

 

 

พูดจบ ตาก็ค่อยๆ หลับลงช้าๆ มือก็ร่วงหล่นลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง  

 

 

“เยียนเอ๋อร์!” ฮูหยินหลินกรีดร้องอย่างไร้สติแล้วพุ่งตัวออกมา  

 

 

หลินฉงเหวินนั่งบนเก้าอี้นิ่ง แต่น้ำตากลับไหลเป็นทาง  

 

 

สีหน้าหวงฝู่อวี้สงบ น้ำเสียงราบเรียบ “ทุกท่านโปรดหลีกทางหน่อยขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์ต้องเข้าเรือนหอแล้ว” 

 

 

พูดจบ ก็อุ้มหลินหันเยียนเดินมุ่งไปทางห้องที่ติดตัวอักษรมงคลสีแดงใหญ่ๆ ไว้ 

 

 

ฮูหยินหลินร้องไห้จนล้มลงกองกับพื้น  

 

 

ฮูหยินหลินจ้งร้องพลางเรียก “ท่านแม่” อยากจะเข้าไปประคองนาง แต่ตนกลับไร้เรี่ยวแรง ล้มลงกองกับพื้นเช่นกัน