ในห้องหอเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าเศร้าสลด แม้แต่สี่ผอและคนใช้ในจวนก็เศร้าเสียใจ
หลินจ้งมองแผ่นหลังของหวงฝู่อวี้ที่กำลังอุ้มหลินหันเยียนจากไปด้วยตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตา เขาอยากจะวิ่งเข้าไปทำอะไรสักอย่าง แต่เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฝืนบังคับตนเองไม่ให้พุ่งตัวออกไป สิ่งที่น้องเล็กปรารถนาและรอคอยมาทั้งชีวิต คือ ณ เวลานี้ บัดนี้นางได้มันมาแล้ว เขาห้ามเข้าไปรบกวน ห้ามเข้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวตาร้อนผ่าว นางเม้มปากแน่น บาปบุญหลายปีมานี้ของอวี้เอ๋อร์และหลินหันเยียนจบลงแล้ว ณ เวลานี้ เป็นเพียงความทรงจำของหลินหันเยียน จดจำลงในใจของหวงฝู่อวี้ คนตายได้ตายจากไป แต่อวี้เอ๋อร์…เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ถอนหายใจยาว
หลังจากหวงฝู่อวี้เดินออกจากห้องหอ น้ำตาที่กลั้นมานานก็ไหลลงมา หยดลงบนตัวของหลินหันเยียน จนเสื้อนางเปียกชุ่ม แต่กลับแผดเผาใจนางไม่ได้อีกต่อไป มีแต่จะเย็นลงเมื่อสัมผัสถูกตัวนางที่ค่อยๆ เย็นลง
น้ำตาทำให้สายตาพร่ามัวไปหมด จนเขามองทางที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัดเจน แต่ภาพอันงดงามในตอนนั้นกลับปรากฎต่อหน้าเขาอย่างชัดเจน เมื่อครั้นตอนที่พวกเขาโกรธกัน ทะเลาะกัน หยอกล้อกัน ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ร่างของคนที่อยู่ในอ้อมอกค่อยๆ เย็นลงและกำลังเตือนเขาว่าจะไม่มีห้วงเวลาเหล่านั้นอีก ชั่วชีวิตชาตินี้จะไม่มีคนที่รักเอ็นดูเขา ในสายตามีเพียงเขาคนเดียว และเคารพเขา ภูมิใจในตัวเขาอย่างนางอีกแล้ว
เขาเดินซวนเซจนถึงเรือนหอ ค่อยๆ วางนางลงบนเตียง แล้วยื่นมือไปลูบใบหน้าที่ขาวซีดของนาง น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง
ตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ลับฟ้า หวงฝู่อวี้อยู่ในเรือนหอตลอดไม่ได้ออกมา
ฮูหยินหลินทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้จนสลบไป
เมิ่งเชี่ยนโยวจัดยาให้นาง สองสามีภรรยาหลินจ้งเฝ้าอยู่ข้างหน้านาง
เพียงวันเดียวหลินฉงเหวินก็แก่ตัวลงไปมาก เขานั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ในห้องของเขาและฮูหยินหลิน
อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนในค่ายทหารได้ข่าวนี้ ก็ทอดสายตามองไปที่เมืองชายแดน แล้วถอนหายใจยาว
ภายในวันเดียวกัน จดหมายเร่งด่วนแปดร้อยลี้ก็ถูกส่งถึง ฉู่เหวินเจี๋ยเปิดออก ในนั้นเขียนไว้สองสามประโยคว่า ‘ตัวข้าอยู่ในเมืองหลวงห่างไกลจากชายแดน ไม่ทราบสถานการณ์ชัดเจน ให้พวกเจ้าตัดสินใจเองได้ จะไปต่อหรือสงบศึกข้าก็ไม่มีความเห็นคัดค้าน’
นี่เท่ากับว่ามอบอำนาจไว้ในมือพวกเขา ฉู่เหวินเจี๋ยรีบนำจดหมายให้อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนดู
หลังจากพวกเขาปรึกษากันแล้ว สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าให้รัฐอิงอยู่ใต้การปกครองจะเป็นการดี อย่ามีศึกสงครามอีกเลย
ในพระราชวังรัฐอิง ศีรษะของท่าป๋าหั่นมู่ถูกส่งคืน หลังจากจัดพิธีศพทั่วทั้งรัฐแล้ว ฮ่องเต้ก็ล้มป่วยหนัก ในวันนั้นเขาฝืนพระวรกายที่เหลือลมหายใจเพียงเฮือกสุดท้ายเรียกท่านป๋าหั่นหลินองค์ชายสิบที่ยังเป็นหนุ่มแน่นของตนมาข้างเตียงตน หลังจากให้ทุกคนในห้องบรรทมออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรไป รู้เพียงว่าตอนที่องค์ชายสิบออกมาจากห้องบรรทม เขาเม้มปากแน่น สีหน้าหนักแน่น ทอดสายตามองไปที่รัฐอู่อยู่แสนนาน
ในวันนั้น ฮ่องเต้ประกาศสละบัลลังก์ องค์ชายสิบสืบราชบัลลังก์ต่อ
เมื่อองค์ชายท่านอื่นได้ยินก็ตกใจ
วันที่สอง องค์ชายสิบสืบราชบัลลังก์ เรื่องแรกที่ทำคือส่งจดหมายยอมจำนนต่อฉู่เหวินเจี๋ย แสดงความจำนนว่าประชาราษฎรชั่วอายุคนทั้งรุ่นลูกรุ่นหลานของรัฐอิงจะยอมเป็นเมืองขึ้นของรัฐอู่ และรับรองว่ารัฐอิงจะเป็นรัฐที่อยู่ใต้การปกครองของรัฐอู่เพียงรัฐเดียว
ฉู่เหวินเจี๋ยได้รับจดหมายยอมจำนน จึงออกคำสั่งให้ถอยทัพกลับเข้าเมืองชายแดนรัฐอู่
วันที่สาม ฮ่องเต้สวรรคต ทั้งรัฐไว้อาลัย ฮ่องเต้ที่ถูกแต่งตั้งใหม่ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
ในเมืองชายแดน
หวงฝู่อวี้อยู่ในเรือนหอมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว เช้าวันที่สอง เขาเดินออกมาจากห้องด้วยร่างเสมือนไร้วิญญาณที่เสื่อมโทรม มีสีหน้าที่ซีดเซียว เขาพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างเป็นห่วงด้วยเสียงแหบแห้งกว่าเดิมว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านช่วยเตรียมโลงศพให้เยียนเอ๋อร์หน่อยขอรับ ข้าและเฮ่าเอ๋อร์จะส่งนางกลับเมืองหลวง”
“เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อยู่หน้าประตูใหญ่”
“ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”
พูดจบ ก็หันไปหาหวงฝู่เฮ่า “เฮ่าเอ๋อร์ ไปเก็บของของเจ้าให้เรียบร้อย ส่งแม่ของเจ้ากลับเมืองหลวงพร้อมข้า”
“ขอรับ ท่านพ่อ” หวงฝู่เฮ่าขานรับ หันกลับไปห้องของตัวเอง แล้วเก็บสัมภาระของตนจนเสร็จ แบกขึ้นหลัง เดินออกไปประตูใหญ่
หวงฝู่อวี้หันหลังกลับเข้าไปในห้อง อุ้มร่างที่แข็งทื่อของหลินหันเยียนออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่ รบกวนท่านนำทางขอรับ ข้าและเยียนเอ๋อร์จะไปกล่าวอำลาท่านพ่อและท่านแม่ขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำเขามาจนถึงเรือนของฮูหยินหลิน
หวงฝู่อวี้อุ้มหลินหันเยียนคุกเข่าลงบนพื้นลานบ้าน โขกหัวลงสามครั้ง พูดเสียงดังว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าและเยียนเอ๋อร์กลับเมืองหลวงวันนี้นะขอรับ ท่านทั้งสองโปรดดูแลสุขภาพด้วยขอรับ”
ฮูหยินหลินที่ร้องห่มร้องไห้มาทั้งวันทั้งคืน เมื่อได้ยินคำพูดของเขาก็ร้องอย่างทุกข์ทรมานอีกครั้ง
หลินฉงเหวินที่นั่งเหม่อลอยมาตลอดก็ตั้งสติได้ เขาลุกขึ้น แล้วเดินออกไปข้างนอก จนถึงข้างหน้าหวงฝู่อวี้
หวงฝู่อวี้คุกเข่าอย่างนอบน้อม ขานเรียก “ท่านพ่อ!”
ริมฝีปากหลินฉงเหวินขยับ หนวดเคราสีขาวที่ปกคลุมก็กระตุกตาม ผ่านไปนานจนพูดออกมาว่า “เรากลับเมืองหลวงไม่ได้แล้ว เยียนเอ๋อร์…ข้าขอฝากไว้กับเจ้านะ”
“ท่านพ่อพูดอะไรกัน เยียนเอ๋อร์เป็นภรรยาที่ข้าตบแต่งถูกต้องตามประเพณี งานศพของนาง ข้าต้องจัดอย่างเปิดเผยอยู่แล้วขอรับ” หวงฝู่อวี้ให้สัญญา
หลินฉงเหวินตบไหล่เขาเบาๆ แล้วหันหลังไป เพื่อไม่ให้เขาเห็นดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ไปเถอะ ระวังตัวด้วย”
“ขอรับ ท่านพ่อดูแลตนเองด้วยขอรับ”
หวงฝู่อวี้ขานรับ ลุกขึ้นแล้วหันหลัง อุ้มหลินหันเยียนออกจากจวนไป
หน้าประตูมีโลงศพหรูหราวางอยู่บนรถม้า
หวงฝู่อวี้เดินขึ้นหน้า นำร่างหลินหันเยียนวางลงในนั้น แล้วยกฝาโลงปิดโลงศพด้วยตนเอง จากนั้นก็รับสายบังเ**ยนจากคนขับรถม้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าและเยียนเอ๋อร์กลับก่อนนะขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หวงฝู่อวี้ตวัดบังเ**ยนขึ้น พร้อมตะเบ็งเสียงให้ม้าออกตัว แล้วขี่ม้ามุ่งไปทางประตูเมือง
หวงฝู่เฮ่าขี่ม้าตามข้างหลัง
เฮ่ออีและองครักษ์เงาสองสามนายตามอยู่หลังสุด
หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนอยู่หน้าประตู มองดูรถม้าที่จากไปไกล
หวงฝู่เย่าเย่ว์ค่อยๆ เอียงตัวไปไปด้านหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว เรียกเสียงหวาดกลัวว่า “ท่านแม่!”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาว ยื่นมือมาลูบศีรษะนาง แล้วกำชับว่า “กลับไปเก็บของกับเมิ่งเอ๋อร์เถอะ อีกสองสามวันเราต้องกลับเมืองหลวงกันแล้วล่ะ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ขานรับ แล้วกลับห้องพร้อมหวงฝู่สือเมิ่งไป
วันที่สาม หลังจากจัดการเรื่องของรัฐอิงเสร็จ อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้ามาในเมือง เมื่อได้ยินสิ่งที่หวงฝู่อวี้ทำ ก็เงียบไม่พูดอะไร
ผ่านไปนาน อ๋องฉีก็ถอนหายใจยาว “เก็บของแล้วรีบกลับเมืองหลวงกันเถอะ”
ทหารที่ราชวังส่งมายังมาไม่ถึง ฉู่เหวินเจี๋ยจึงต้องอยู่ชายแดนก่อน ยังไม่สามารถนำกองทัพกลับเมืองหลวงได้
ฉู่เหยาที่ตามมาฝึกฝนตนเองในสนามรบ บัดนี้สงบศึกแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยจึงให้เขากลับเมืองหลวงพร้อมอ๋องฉี
วันที่สี่ อ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนทั้งบ้านก็ขี่ม้ากลับเมืองหลวง พร้อมด้วยฉู่เหยา
หลินฉงเหวินและฮูหยินหลินไม่ได้ออกมาส่ง สองสามีภรรยาหลินจ้งส่งทุกคนออกจากเมืองอย่างนอบน้อม และในเย็นวันนี้เอง โจวอันผู้ออกไปสืบความได้กลับมาแล้ว เมื่อได้ยินว่าหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเมืองหลวงไปแล้ว เขาก็รีบนำผู้ติดตามสองสามคนตามไปโดยไม่สนใจแม้นเวลาจะมืดค่ำ
แม้หวงฝู่อวี้จะล่วงหน้ากลับไปก่อนหนึ่งวัน แต่เขาขี่รถม้า และยังไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นขี่ให้ เขาที่ไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันหลายคืน จึงขี่ได้ช้ากว่าปกติ ในเย็นวันแรก ทุกคนก็ตามพวกเขาทันแล้ว
เมื่ออ๋องฉีเห็นลำตัวของหวงฝู่อวี้ที่ซวนเซไปมาเหมือนร่างที่วิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาก็พูดเสียงต่ำว่า “อวี้เอ๋อร์ หยุดรถม้าเถอะ พักก่อนหนึ่งคืนค่อยกลับ”
อ๋องฉีรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดเขาไว้ จึงถอยออกมา
ราวกับว่าหวงฝู่อวี้ไม่ได้ยิน เขายังคงสะบัดบังเ**ยนเร่งม้าเดินต่อไปดั่งเครื่องจักร
หวงฝู่อี้เซวียนกระโดดไปข้างหลังเขา ใช้สันมือกระแทกลงไปบนศีรษะเขาเพื่อให้เขาสลบ จากนั้นก็รับร่างของเขาไว้แล้วนำขึ้นมาวางบนม้าของตน ขี่ม้าไปโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด
เฮ่ออีรีบกระโดดลงจากม้า เร่งรถม้าตามด้านหลัง
คนทั้งขบวนสวมเสื้อผ้าราคาแพง แต่กลับลากโลงศพมาด้วย เจ้าของร้านรู้สึกเป็นอัปมงคล จริงๆ ไม่อยากให้พวกเขาพักที่นี่ แต่ก็เสียดายเงินทองมากมาย เขาจึงตัดสินใจเสนอเงื่อนไขว่า คนอยู่ที่นี่ได้ แต่โลงศพต้องย้ายไปสถานที่ที่ไกลจากโรงเตี๊ยมของพวกเขาเสียหน่อย ห้ามอยู่หลังเรือน หากทำเอาแขกผู้อื่นเห็นแล้วไม่กล้าเข้าพัก จะกระทบโรงเตี๊ยมของเขาเอา
อ๋องฉีกำลังจะโมโห เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามปรามเขาไว้ สั่งเฮ่ออีขี่รถม้าไปร้านบะหมี่มันฝรั่งที่อยู่ในเมือง และส่งตราประทับให้เขา
เมื่อเถ้าแก่ร้านบะหมี่มันฝรั่งเห็นตราประทับ ก็ให้เฮ่ออีขี่รถม้าเข้าไปในเรือนทันที
ทุกคนนอนพักในโรงเตี๊ยม
หวงฝู่อี้เซวียนลงมือหนักไปหน่อย หวงฝู่อวี้ไม่ตื่นเลยจนถึงมื้ออาหารเย็น
หลังจากทุกคนกินข้าวเย็นกันแล้ว ก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน หวงฝู่อี้เซวียนและหวงฝู่อวี้พักห้องเดียวกัน กลางดึก หวงฝู่อวี้ค่อยๆ ตื่นขึ้น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา
“เจ้าตื่นแล้วหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้นอน เขานั่งบนเก้าอี้ในห้องตลอด เมื่อเห็นเขาลุกนั่งขึ้น ก็เอ่ยถาม
หวงฝู่อวี้หันศีรษะที่แข็งเกร็งมองไปที่เขา เรียกด้วยเสียงที่แทบจะไม่มีเสียงออกมาว่า “พี่ใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำให้แก้วหนึ่ง ยื่นให้เขา
หวงฝู่อวี้รับไว้ เงยหน้าขึ้น แล้วกระดกน้ำลงไปหมดแก้ว
หวงฝู่อี้เซวียนรินน้ำให้เขาอีกแก้วหนึ่ง
หวงฝู่อวี้ดื่มหมดแก้วไปสามแก้ว กว่าเขาจะรู้สึกคอกระชุ่มกระชวยขึ้น จากนั้นก็กวาดตามองรอบๆ เมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ถามขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า “เยียนเอ๋อร์ล่ะ”
“โรงเตี๊ยมไม่อนุญาตให้นำโลงศพไว้ที่นี่ พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าสั่งเฮ่ออีขี่รถม้าไปไว้ในร้านบะหมี่มันฝรั่งแล้ว”
“ข้าจะไปอยู่กับนาง” พูดจบ ก็ลงจากเตียง สวมรองเท้าเสร็จ กำลังจะเดินออกไป
“อวี้เอ๋อร์!” หวงฝู่อี้เซวียนเรียกเขา
หวงฝู่อวี้ชะงักฝีเท้าลง หันศีรษะกลับไป
“เจ้ายังมีเมีย พ่อและแม่นะ”
หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ขอรับ ข้ารู้ แต่ข้ามีเวลาอยู่กับนางอีกไม่นานแล้ว ข้าอยากใช้เวลาอยู่กับนางให้มากที่สุดขอรับ”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจ เดินมาตบไหล่เขาเบาๆ “พี่เข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่คนตายได้ตายไปแล้ว สภาพเจ้าแบบนี้ต้องการให้คุณหนูหลินที่ตายไปแล้วต้องไม่สบายใจหรือ”
หวงฝู่อวี้น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง พูดเสียงสะอื้นว่า “พี่ใหญ่ ข้า…”
หวงฝู่อี้เซวียนลอบถอนหายใจอีกครั้ง “เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย เรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นไม่ใช่เจ้าฝ่ายเดียวที่ทำผิดต่อนาง นางก็มีส่วนผิดเหมือนกัน จวนอ๋องฉีของเรานั้นก็ซาบซึ้งใจที่นางสละชีวิตเพื่อช่วยเฮ่าเอ๋อร์ไว้ ข้าเชื่อว่าคุณหนูหลินที่ตายไปแล้วก็ไม่อยากเห็นเจ้าในสภาพเช่นนี้หรอก”