ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 62 ทุกอย่างผ่านไปแล้ว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อวี้เดินโซซัดโซเซ แล้วปล่อยตัวล้มนั่งลงบนเก้าอี้ เขาก้มศีรษะลง น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงบนพื้น  

 

 

เขาไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อถึงเช้าวันที่สอง หลังจากกินข้าวเช้าแล้ว ทุกคนก็เร่งเดินทางกลับ เมื่อถึงช่วงบ่าย โจวอันก็นำคนตามมาถึง เมื่อเห็นโลงศพก็ตกใจ เขารีบกวาดตามองคนในจวน เมื่อเห็นว่าอยู่กันครบ ไม่ขาดใครไป ก็วางใจลง แต่เมื่อเห็นคนที่ขี่รถม้าคือหวงฝู่อวี้ เขาก็ตกใจมากกว่าเดิม แต่ก็ไม่กล้าปริปากถาม ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เขาเดินขึ้นหน้า รายงานเรื่องเจ้าของเบื้องหลังหอนางโลมชิงเฟิงที่เขาไปสืบมาหลายวันนี้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ 

 

 

เมื่อหวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ ก็เงียบ 

 

 

โจวอันถอยหลัง  

 

 

การเดินทางผ่านไปด้วยดี หลังจากผ่านไปสิบวัน คนทั้งขบวนก็มาถึงเมืองหลวง โชคดีที่อากาศหนาวเย็น ร่างของหลินหันเยียนจึงแข็งตัว ไม่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่พึงประสงค์  

 

 

คนในเมืองหลวงไม่ทราบข่าว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นจวนอ๋องฉีลากโลงศพกลับมาด้วย ก็เริ่มคาดเดากันไปต่างๆ นานา เพียงเวลาครู่หนึ่ง เรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วราวกับติดปีก จนถึงหูของหวงฝู่ซวิ่น 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นคิดว่าคนในจวนอ๋องเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาตกใจจนหนังสือในมือร่วงหล่นลงบนพื้น รีบสั่งขันทีผู้ดูแลวังว่า “เร็วเข้า รีบไปสืบข่าวมา ใครเป็นอะไรกันแน่” 

 

 

เมื่อถึงประตูเมือง อ๋องฉีก็สั่งคนให้กลับจวนไปรายงานพระชายาฉีก่อนแล้ว  

 

 

เมื่อทุกคนถึงหน้าประตูจวน พระชายาฉีก็ยืนรอตาแดงก่ำกับเจียงจิ่นอยู่หน้าประตูจวนแล้ว  

 

 

ประตูจวนเปิดอ้ากว้าง  

 

 

หวงฝู่อวี้หยุดรถม้า  

 

 

เจียงจิ่นเห็นใบหน้าทรุดโทรมของเขา ก็อยากเข้าไปถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง  

 

 

หลังจากหวงฝู่อวี้หยุดรถม้าแล้ว ก็แนบมือไปที่โลงศพ พูดเสียงเบาว่า “เยียนเอ๋อร์ เราถึงบ้านแล้ว” เมื่อเจียงจิ่นเห็นภาพตรงหน้า ขาที่ยื่นออกไปก็ค่อยๆ ยื่นกลับมา นางเม้มปาก ยืนอยู่ข้างหลังพระชายาฉี  

 

 

หวงฝู่อวี้หันหลังไปคารวะพระชายาฉี “เสด็จแม่ ข้าและเยียนเอ๋อร์แต่งงานไหว้ฟ้าดินกันแล้วขอรับ บัดนี้นางเป็นภรรยาที่แต่งงานกันถูกต้องตามประเพณีแล้ว ได้โปรดท่านอนุญาตให้โลงศพของนางเข้าทางประตูหลักด้วยเถอะขอรับ” 

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อวี้ได้รับจดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวและจากไปอย่างเร่งรีบ เจียงจิ่นก็นำจดหมายให้พระชายาฉีดูแล้ว พระชายาฉีรู้ว่าหลินหันเยียนตายเพราะช่วยหวงฝู่เฮ่าไว้ เมื่อได้ยินหวงฝู่อวี้พูดเช่นนี้ นางก็พอเดาอะไรได้บ้างแล้ว จึงพยักหน้า “เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว ข้าให้คนตระเตรียมห้องเซ่นไหว้ไว้แล้ว จะสั่งให้คนยกโลงศพเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” 

 

 

“ขอบพระคุณเสด็จแม่ขอรับ” 

 

 

บ่าวรับใช้ในจวนเดินขึ้นหน้า ค่อยๆ ยกโลงศพลงมาแล้วยกเข้าไปข้างใน วางไว้ในห้องเซ่นไหว้ 

 

 

หวงฝู่อวี้คอยเดินตามตลอด  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์ และหวงฝู่เฮ่าเดินขึ้นมาคารวะพระชายาฉี  

 

 

พระชายาฉีพยักหน้า ถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่หวงฝู่อวี้ตบแต่งหลินหันเยียนเป็นผิงชี และให้หวงฝู่เฮ่าเรียกนางว่าแม่ให้นางฟังทั้งหมด  

 

 

“นี่…” พระชายาฉีมองไปที่เจียงจิ่น  

 

 

เจียงจิ่นได้ยินดังนั้น คลื่นที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจของนางก็ทำให้นางไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ แต่เมื่อเห็นพระชายาฉีมองมาที่นาง นางจึงฝืนฉีกยิ้มออกมา พูดอย่างใจกว้างว่า “เสด็จแม่ ในเมื่อท่านพี่ตบแต่งคุณหนูหลินเป็นผิงชีแล้ว ก็ไม่ควรจัดงานศพอย่างสะเพร่านะเจ้าคะ คนอื่นเขาจะหัวเราะเยาะเอาได้เจ้าค่ะ” 

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ “จิ่นเอ๋อร์ ชาตินี้ที่อวี้เอ๋อร์แต่งเจ้าเป็นเมียได้ ไม่รู้ว่าเขาต้องสั่งสมบุญมากี่ชาติ” 

 

 

เจียงจิ่นฝืนฉีกยิ้มไว้ เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดกว่าสีหน้าร้องไห้เสียอีก  

 

 

หลังจากโลงศพถูกยกเข้าไปในจวนอ๋องฉี ผู้คนก็คาดเดาไปต่างๆ นานา บ่าวรับใช้ใส่ปลอกแขนไว้ทุกข์เดินออกมาทีละกลุ่มสองกลุ่ม เพื่อไปแจ้งข่าวมรณกรรมแก่จวนอื่นๆ ว่าผิงชีของคุณชายรองเสียชีวิตเพราะเจ็บป่วย  

 

 

เรื่องของหวงฝู่อวี้และหลินหันเยียนในตอนนั้นแพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่มีใครไม่รู้ ตอนนี้หวงฝู่อวี้ก็ลากโลงศพของหลินหันเยียนกลับเข้าเมืองอีก บอกว่าเป็นผิงชี ผู้คนจึงคาดเดากันไปต่างๆ แต่ก็ทำได้เพียงคาดเดา จวนน้อยใหญ่ต่างก็มาแสดงความเสียใจอยู่ดี  

 

 

 

 

 

ณ จวนเจียง  

 

 

เมื่อหมอหลวงเจียงได้ยินคำพูดของคนแจ้งข่าว ก็คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว จึงได้ยินไม่ชัดเจน เขาถามขึ้นอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตนเอง “เจ้าบอกว่าใครเสียแล้วนะ” 

 

 

“ผิงชีของคุณชายรอง หลินหันเยียนคุณหนูใหญ่ของบ้านหลินขอรับ” บ่าวรับใช้พูดซ้ำตามที่หวงฝู่อวี้แจ้งมาอีกครั้ง  

 

 

“เหลวไหล!” เป็นครั้งที่สองที่หมอหลวงเจียงพ่นคำไม่สุภาพออกมาอย่างไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของตน “ข้าไม่เห็นได้ยินว่าคุณชายรองตบแต่งผิงชีเมื่อไหร่เลย” 

 

 

บ่าวรับใช้ตกใจ ขยับเท้าเล็กน้อย จนห่างจากหมอหลวงเจียงมากขึ้น แล้วจึงตอบกลับว่า “พ่อบ้านสั่งให้ข้าน้อยพูดเช่นนี้ขอรับ” 

 

 

หมอหลวงเจียงเบิกตาโต หนวดเคราที่ปรกอยู่กระตุก “เขาให้เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าไม่ได้เอาตระกูลเจียงของเราไว้ในสายตาเลยใช่ไหม” 

 

 

บ่าวรับใช้ไม่กล้าพูดอะไร  

 

 

พ่อของเจียงจิ่นขึ้นหน้าไปไกล่เกลี่ย “ท่านพ่อ อย่าโกรธเลย ลูกจะส่งคนไปสืบความ และถามจิ่นเอ๋อร์ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะขอรับ” 

 

 

“พวกเจ้าไม่ต้องไปหรอก ข้าไปเอง ข้าอยากรู้เหลือเกินว่า หลานสาวของข้าเจอข้าแล้วจะอธิบายอย่างไร นี่มันรังแกกันเกินไปหน่อยแล้ว ตอนนั้นเขาตบแต่งจิ่นเอ๋อร์เป็นเมียของเขา หลายปีมานี้ก็รักและดูแลจิ่นเอ๋อร์อย่างดี ไม่คิดว่าตอนนี้กลับทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมา หรือเห็นว่าตระกูลเจียงของเราไม่มีชีวิตแล้วหรือ รังแกกันสนุกนักรึ” 

 

 

อาจจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้น ยิ่งแก่ก็ยิ่งกลับไปน้อยใจโวยวายเหมือนเด็ก หรืออาจจะเป็นเพราะหลายปีมานี้คนจวนอ๋องฉีนอบน้อมต่อเขาเกินไป จนทำให้เขาลืมตัว หมอหลวงเจียงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถลกแขนเสื้อขึ้น บอกว่าจะไปจวนอ๋องฉีคิดบัญชีกับหวงฝู่อวี้ให้ได้ 

 

 

พ่อของเจียงจิ่นรั้งเขาไว้ไม่อยู่ แต่ก็กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป จึงทำได้เพียงติดตามเขามาด้วย  

 

 

ผิงชีของคุณชายรองเสียชีวิต คนส่วนใหญ่ที่มาแสดงความเสียใจคือผู้หญิง ทุกคนรวมตัวกันหน้าประตูจวน เมื่อเห็นพ่อลูกหมอหลวงเจียงมา เสียงซุบซิบก็ดังเซ็งแซ่  

 

 

พ่อบ้านจวนอ๋องยืนอยู่หน้าประตู คอยต้อนรับคนที่มาแสดงความเสียใจ เมื่อเห็นพ่อลูกหมอหลวงเจียงก็ชะงัก แล้วรีบเดินไปต้อนรับทันที “นายท่านเจียง ท่าน…” 

 

 

แม้จะโกรธเพียงใด หมอหลวงเจียงก็ยังมีสติอยู่ เมื่อเห็นผู้คนมากมายหน้าประตู ก็ข่มความโกรธในใจไว้ ถามขึ้นว่า “คุณชายรองของพวกเจ้าล่ะ ให้เขาออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้” 

 

 

“นี่…” พ่อบ้านไม่กล้าพูดว่าหวงฝู่อวี้เฝ้าอยู่หน้าโลงศพของหลินหันเยียนตลอดเวลา 

 

 

แต่ก็กลัวว่าจะทำให้หมอหลวงเจียงโกรธ จึงรีบกดเสียงต่ำพูดว่า “นายท่านเจียง ข้างนอกมีคนมากมาย ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การพูดคุยขอรับ ท่านเข้าไปในจวนก่อน มีอะไรให้ฮูหยินรองบอกท่านเถอะขอรับ” 

 

 

หมอหลวงเจียงไม่ได้พูดอะไร เดินตามเขาเข้าไปในจวน  

 

 

พ่อบ้านจวนนำพวกเขาพ่อลูกจัดแจงไว้ในเรือนรับรอง และรีบสั่งคนให้ไปเชิญเจียงจิ่นมา  

 

 

เจียงจิ่นได้ยินบ่าวรับใช้รายงาน ก็รีบมาทันที เมื่อเห็นสีหน้าไม่รับแขกของท่านปู่ ก็ชะลอฝีเท้าลง พูดต่อหน้าเขาอย่างระมัดระวังว่า “ท่านปู่” 

 

 

“ว่ามาซิ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” หมอหลวงเจียงไม่พูดพล่าม เขาถามขึ้นทันที  

 

 

เจียงจิ่นเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทั้งหมดให้เขาฟังอย่างไม่ปิดบังใดๆ  

 

 

เมื่อหมอหลวงเจียงได้ยินว่าหลินหันเยียนตายเพราะช่วยเหลนชายของตนไว้ เขาก็นั่งเงียบอยู่นาน 

 

 

เจียงจิ่นถามหยั่งเชิงว่า “ท่านปู่ เรื่องของคุณหนูหลินและท่านพี่ ท่านก็รู้ดี ผ่านมาหลายปี คุณหนูหลินไม่ได้ออกเรือนเลย ที่เขาทำเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดใหญ่หลวง ท่านอย่าโกรธเลยนะเจ้าคะ” 

 

 

หมอหลวงเจียงถลึงตาใส่นาง “ปู่ของเจ้าไม่ได้เลอะเลือน ข้าไม่ใช่คนที่แยกแยะไม่ออกเสียหน่อย หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องฉุกละหุกแบบนี้ และไม่มีคนแจ้งเราล่วงหน้าก่อน ข้าคงไม่มาหาเจ้าถึงที่นี่หรอก” 

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ ท่านปู่เป็นคนปราดเปรื่องที่สุดในตระกูลเลยเจ้าค่ะ” เจียงจิ่นรีบยิ้มแล้วพูดยอ  

 

 

หมอหลวงเจียงถลึงตาใส่นางอีกครั้ง “อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงแค่นี้นะ หลังจากเสร็จพิธีแล้ว เจ้าและคุณชายรองกลับบ้านเสียหน่อย ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า” 

 

 

“เจ้าค่ะ ข้าจะบอกเขาให้ ท่านปู่วางใจเถอะเจ้าค่ะ” เจียงจิ่นขานรับ  

 

 

ใครจะไปรู้ว่านางตอบตกลงไปดิบดี แต่ก็ไม่ได้กลับไปเลย เพราะว่าหลังจากหวงฝู่อวี้ฝังศพหลินหันเยียนไปแล้ว เขาก็นอนซมอยู่บนเตียง และไข้ขึ้นสูงตลอดสามวัน เมิ่งเชี่ยนโยวคิดหาทุกวิถีทาง แต่ไข้ก็ไม่ลดลง นางร้อนใจจนปากเป็นแผลร้อนในแล้ว  

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ๋องฉีและพระชายาฉี โดยเฉาพะอ๋องฉี เขาสั่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงมา ขู่คำรามให้พวกเขาคิดหาวิธี  

 

 

หัวหน้าสำนักหมอหลวงตกใจกลัวจนขาอ่อน ตัวสั่นไปหมด เหงื่อบนหน้าผากก็ไหลลงมาไม่ขาดสาย อย่าพูดถึงรักษาไข้ให้หวงฝู่อวี้เลย ตอนนี้แม้แต่ยืนเขายืนยังยืนไม่นิ่งเลย  

 

 

อ๋องฉีโกรธจนถีบเขาไปทีหนึ่ง แล้วก่นด่าว่า “พวกสวะ ไร้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เลี้ยงพวกเจ้าไว้เพื่ออะไรกัน” 

 

 

เมื่อเขาก่นด่าเสร็จ หัวหน้าสำนักหมอหลวงก็ตัวสั่นเทิ้มมากกว่าเดิม  

 

 

ในขณะที่ทุกคนไม่สามารถให้ความช่วยเหลือใดๆ ได้ และต่างก็ร้อนใจจนเหมือนกับมดที่วิ่งวุ่นอยู่ในหม้อร้อน วันที่สี่ ไข้ของหวงฝู่อวี้ก็ลดลงไปอย่างปาฏิหาริย์  

 

 

ทุกคนดีใจ หัวหน้าสำนักหมอหลวงที่ถูกอ่องฉีก่นด่าอย่างสาดเสียเทเสียก็โล่งอก เขารู้สึกราวกับว่าตนเอาชีวิตรอดกลับมาได้  

 

 

ในห้อง ทุกคนยืนรายล้อมเตียง กลั้นลมหายใจมองหวงฝู่อวี้ ตั้งตารอเขาลืมตาขึ้น  

 

 

เป็นไปตามคาด ขนตาของหวงฝู่อวี้กระตุกไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น  

 

 

“อวี้เอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ” พระชายาฉีถามอย่างดีอกดีใจ  

 

 

หวงฝู่อวี้ค่อยๆ เคลื่อนสายตามองไปที่ทุกคน อ้าปากกำลังจะพูด แต่กลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา  

 

 

เจียงจิ่นรีบรินน้ำให้แก้วหนึ่ง ประคองตัวเขาไว้ แล้วค่อยๆ ให้เขาดื่มน้ำลงไป  

 

 

หวงฝู่อี้เลียริมฝีปากที่แห้งกระด้างอยู่ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำอันแหบแห้งที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดจึงดังขึ้น “เสด็จแม่ ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ ท่านเป็นห่วงแย่เลย” 

 

 

“ฟื้นก็ดีแล้วล่ะ ฟื้นก็ดีแล้ว” พระชายาฉีขอบตาแดงก่ำ แล้วพูดขึ้น  

 

 

หวงฝู่อวี้หันไปที่คนอื่นๆ แล้วขานเรียกทีละคน “เสด็จพ่อ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ขอโทษที่ทำให้พวกท่านเป็นห่วงขอรับ” 

 

 

เมื่ออ๋องฉีเห็นว่าเขาหายดีแล้ว ความร้อนรนใจตลอดหลายวันมานี้ก็ค่อยคลายลง แล้วเขาก็ร้อง ฮึ ขึ้นมา ถามอย่างน่าเกรงขามว่า “ดีขึ้นแล้วจริงๆ ใช่ไหม ผ่านไปแล้วใช่ไหม” 

 

 

หวงฝู่อวี้พยักหน้า “ขอรับ ผ่านไปแล้วขอรับ” 

 

 

แม้คำพูดของทั้งสองจะสั้นกระชับ แต่ทุกคนรู้ดีว่าหมายถึงอะไร เจียงจิ่นตาร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง นางรีบก้มศีรษะลง เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นสีหน้าของนาง  

 

 

หวงฝู่อวี้ยื่นมือออกไป กุมมือนางไว้ ให้สัญญาต่อหน้าทุกคนที่เฝ้าอยู่ว่า “จิ่นเอ๋อร์ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะรักเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าสัญญา”