ตอนที่ 1396 ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ โดย Ink Stone_Fantasy
การโจมตีของปีศาจถูกหยุดเอาไว้
ถึงแม้เสาหินสีดำจะใหญ่จนน่าตใกจ แต่เมื่อดูจากโครงสร้างที่ซับซ้อนภายในแล้ว ปีศาจแมงมุมขนาดเล็กที่มันพามาได้นั้นต้องมีอยู่อย่างจำกัดแน่นอน บวกกับทีมโจมตีเตรียมอาวุธมาอย่างครบครัน ปืนกลเอนกประสงค์ก็มีอยู่ 20 กว่ากระบอก การยิงในระยะนี้เรียกได้ว่าปีศาจไม่สามารถเล็ดรอดผ่านเข้ามาได้เลย
ภายใต้สถานการณ์ที่มีความได้เปรียบเช่นนี้ ไม่นานจำนวนทหารที่ถอยมารวมกันจึงมีมากกว่า 300 คนอย่างรวดเร็ว นี่เกือบจะเท่ากับจำนวนรวมทั้งหมดของทีมโจมตีต่อต้านแล้ว มีทหารเพียงบางส่วนที่ได้รับบาดเจ็บในตอนที่หนีเสาหิน หลังจากเสาหินที่ถูกยิงเข้ามาในแนวรบแตกออก คนที่ได้รับความกดดันมากที่สุดก็คือคนที่อยู่ห่างจากทางลงเขาค่อนข้างไกลเหล่านั้น นอกจากจะเจอปีศาจแมงมุมคอยโจมตีแล้ว กระสุนของเพื่อนทหารที่ปลิวว่อนก็เต็มไปด้วยอันตรายเหมือนกัน พวกเขาได้แต่ต้องพยายามก้มตัวให้ต่ำเอาไว้เพื่อหลบกระสุนของเพื่อนแล้ววิ่งอ้อมมา
ที่โชคดีก็คือหลังจากกระสุนส่องวิถีถูกใช้อย่างแพร่หลาย ประสิทธิภาพและความแม่นยำในการสกัดศัตรูของหน่วยปืนกลก็พัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมีแสงคอยนำทาง พลยิงก็สามารถเลือกเป้าหมายที่ตัวเองต้องยิงได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยก็ไม่มีทางยิงเบี้ยวออกไปไกลแต่ก็ยังไม่รู้เหมือนเมื่อก่อน
แต่ตอนนี้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคือการแจ้งเตือนของไลต์นิ่งที่มาทันเวลา — ถ้าพวกเขาถูกเสาหินยิงเข้าใส่ในตอนที่กำลังยิงปืนใหญ่อยู่ ตัวเลขผู้เสียชีวิตคงไม่ได้มีแค่นี้แน่
ด้วยเหตุนี้ในตอนที่เธอบินลงมา ทุกคนจึงส่งเสียงปรบมือให้เธอดังสนั่น
แต่สีหน้าของไลต์นิ่งกลับไม่ได้ดูผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย “ผู้บังคับบัญชาของทีมอยู่ที่ไหน?”
“ข้าแคทคลอว์เป็นผู้รับผิดชอบปฏิบัติการครั้งนี้ขอรับ” แคทคลอว์ก้าวออกมาทำวันทยหัตถ์ “ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านมากขอรับ”
“เจ้าต้องรีบพาทุกคนถอยออกมาเดี๋ยวนี้” ไลต์นิ่งรีบพูดขึ้นมา “ในเสาหินสีดำที่โจมตีแนวรบปลอมก่อนหน้านี้ก็มีปีศาจแมงมุมอยู่เหมือนกัน พวกมันกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ นอกจากนี้บนแผ่นดินลอยฟ้ายังมีเสาหินพร้อมยิงอยู่อีกจำนวนมาก ศัตรูอาจจะยิงเสาหินมาใหม่ได้ทุกเมื่อ!”
แคทคลอว์ตกใจทันทีที่ได้ฟัง
ตอนนี้ภารกิจการยิงปืนใหญ่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แผนการต่อไปหลังจากนี้คือการถอยออกไปจากที่นี่ แต่จะถอยออกไปอย่างไรนี่สิคือปัญหา — เดิมเขาคิดจะกำจัดปีศาจที่หลงเหลืออยู่บนสนามรบให้หมดก่อน แล้วค่อยพาเพื่อทหารทุกคนออกไปจากเทือกเขาสิ้นวิถีไม่ว่าพวกเขาจะเป็นหรือตาย แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว สถานการณ์เหมือนจะแย่กว่าที่เขาคิดเอาไว้
แนวรบทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้นตรงเชิงเขายังมีถนนเชื่อมต่อเอาไว้ด้วย ถ้าข่าวของไลต์นิ่งนั้นไม่ผิดพลาด อย่างนั้นยิ่งพวกเขาอยู่บนเขานานเท่าไร โอกาสที่จะเจอกับปีศาจแมงมุมระหว่างทางก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เส้นทางบนภูเขานั้นไม่ได้เรียบเหมือนพื้นแนวรบที่แม่มดกลบให้มันเรียบ ช่วงที่แคบๆ ก็กว้างพอแค่ให้ทหารยืนเรียงแถวหน้ากระดานแค่สองคนเท่านั้น บวกกับหิมะที่ทับถมและความสูงของเนิน ทำให้พวกเขาแทบจะไม่สามารถตั้งแนวป้องกันขึ้นมาได้เลย ทางเลือกนั้นมีอยู่แค่สองทางเท่านั้น หนึ่งคือรีบพาทีมหนีลงเขาไป หนีไปได้เท่าไรก็เท่านั้น พยายามรีบไปยึดพื้นที่ตรงเชิงเขาเอาไว้ให้ได้ก่อนที่ปีศาจแมงมุมจะมาถึง สองคือเรียกกองหนุนให้มาสกัดศัตรูแทนพวกเขา
ปัญหาคือ ‘เสาหินพร้อมยิง’ ที่ไลต์นิ่งบอกมานั้นไม่ได้มีแค่สองหรือสามอัน ถ้าตำแหน่งของกองหนุนถูกเปิดเผน พวกเขาอาจจะต้องเป็นเป้าหมายโจมตีของศัตรูได้ เพราะจำนวนคนในกองหนุนนั้นมีมากกว่า 800 คน ดูเผินๆ แล้วเหมือนเป็นกองกำลังหลัก ด้วยเหตุนี้วิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดคือแจ้งพวกเขาให้อยู่กับที่อย่าขยับไปไหน แล้วก็ใช้กำลังของตัวเองในการหยุดศัตรูเอาไว้
แต่เหตุผลมันก็ส่วนเหตุผล เวลาที่ต้องทำการตัดสินใจจริงๆ นั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ตอนนี้ยังมีคนหายไปอีก 20 – 30 คน พวกเขาบางทีอาจจะได้รับบาดเจ็บขยับไปไหนไม่ได้ หรือไม่ก็คอยหาโอกาสอยู่ด้านหลังเสาหิน ถ้าทีมถอยหนีไป คนเหล่านี้ก็ได้แต่ต้องหาทางรอดด้วยตัวเองเท่านั้น
อีกทั้งโพเมโล่ก็ยังไม่โผล่มาด้วย…
แคทคลอว์สับสนขึ้นมาทันที
“หัวหน้า!” ข้างๆ มีเสียงทหารดังขึ้นมา
แคทคลอว์ได้สติกลับมาทันที ใช่แล้ว ตัวเองเป็นผู้รับผิดชอบของทีมนี้ ไม่ว่าจะเป็นยังไง การทำภารกิจให้เรียบร้อยคือสิ่งที่เขาต้องคิดถึงเป็นอันดับแรก และภารกิจในตอนนี้ก็คือพยายามทหารของกองทัพที่หนึ่งหนีออกไปจากเทือกเขาสิ้นวิถีให้ได้มากที่สุด
“ทหารสื่อสาร ใช้โทรศัพท์แจ้งไปยังกองหนุน บอกให้พวกเขาซ่อนตัวเอาไว้เหมือนเดิม” แคทคลอว์กัดฟันออกคำสั่ง “คนอื่นๆ ให้รีบถอยไปจากที่นี่ พวกเราไปเจอกันตรงปากทางเชิงเขา!”
จากนั้นเขาก็หยิบแตรขึ้นมาเป่า นี่คือสัญญาณให้ถอยอย่างรวดเร็ว
ภายใต้คำสั่งนี้ ทหารหน่วยปืนกลที่รับผิดชอบเรื่องป้องกันจะแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ คอยคุ้มครองทหารปืนใหญ่ลงมาจากเขาจนกว่าทุกคนจะหนีออกมาจนหมด
“คุณหนูไลต์นิ่ง ข้าขอวานท่านเรื่องหนึ่งได้ไหม?” หลังจากออกคำสั่งไปแล้ว แคทคลอว์จึงหันไปมองไลต์นิ่ง “ทหารที่ไม่สามารถมาที่นี่ตอนนี้ได้…”
“วางใจได้ เดี๋ยวข้าจัดการเอง” ไลต์นิ่งมองดูสีหน้าเขาก็รู้ว่าเขาอยากจะพูดอะไร
“ฝากท่านด้วยนะขอรับ!” แคทคลอว์ทำวันทยหัตถ์อีกครั้ง ก่อนจะเริ่มสั่งให้ทหารปืนใหญ่ถอยไปยังถอยไปยังจุดถอยต่อไป
….
‘นี่คือผลงานที่เจ้าภาคภูมิใจงั้นเหรอ?’
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์หันไปสบตาเดอร์แมสก์ ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้พูดอะไร แต่นาซเพลเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะเยาะอยู่ในคำพูดอีกฝ่าย
การตอบโต้ของแมลงนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้ ถึงแม้ระยะการต่อสู้จะถูกร่นเข้ามาจนแทบจะประชิดหน้าแล้ว แต่ร่างซิมไบออนท์ ‘เอ็กซ์ติงกวิชเชอร์’ ก็ยังไม่สามารถกำจัดมนุษย์ทั้งหมดลงได้ นี่ทำให้มันรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากที่มันเพิ่งแสดงความอวดรู้ออกไปต่อหน้าอีกฝ่าย
เพราะการที่มันตั้งชื่อให้ร่างซิมไบออนท์ว่า ‘เอ็กซ์ติงกวิชเชอร์’ ก็เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผลงานที่มันสร้างขึ้นมานั้นแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะกระบอกเพลิง ลูกดอกเพลิงและฝนเพลิงของมนุษย์ได้ แต่กองกำลังของพวกแมลลงไม่เพียงแต่จะหยุดการบุกระลอกแรกของเอ็กซ์ติงกวิชเชอร์เอาไว้ได้ แต่พวกเขายังตั้งแนวป้องกันขึ้นมาตรงเชิงเขาและสกัดร่างซิมไบออนท์ขนาดเล็กที่ไล่ตามมาเอาไว้ที่ด้านนอกถนน
ผลลัพธ์นี้ทำให้นาซเพลยากที่ยอมรับได้!
เห็นๆ อยู่ว่าผลงานของตัวเองนั้นแข็งแกร่งกว่าร่างระดับต้น ไม่เพียงแต่โจมตีและป้อมกันได้ แต่มันยังไม่จำเป็นต้องพึ่งพาละอองชีวิตด้วย นอกจากนี้มันยังไม่กลัวตาย ไม่มีวันเหนื่อยล้าจนกว่าพลังเวทมนตร์จะถูกใช้ไปจนหมด เรียกได้ว่าเป็นอาวุธสงครามที่สมบูรณ์แบบ สมมติว่ามันประดิษฐ์เจ้าสิ่งนี้ออกมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกสมาพันธ์ไม่มีทางที่จะมีหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน+
แต่เมื่อนำมันมาใช้จริงในสงคราม มันกลับแสดงประสิทธิภาพออกมาไม่ได้ดีไปกว่าร่างต้นแบบเท่าไร แล้วจะไม่ให้มันโมโหได้อย่างไร?
“ร่างซิมไบออนท์ในพระผู้สร้างยังมีอยู่อีกเยอะ ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าแมลงพวกนี้มันจะทนไปได้นานแค่ไหน!” เดอะแมสก์ยกแกนเวทมนตร์ที่อยู่ในมือขึ้นมาอีกครั้ง
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์คว้าแขนของมันเอาไว้
“เจ้าอยากจะบอกว่าพลังเวทมนตร์มีจำกัดงั้นเหรอ…” นาซเพลพูดอย่างไม่พอใจ สิ่งที่มันรังเกียจมากที่สุดก็คือพวกที่ชอบใช้กำลังเข้า ‘แทรกแซง’ คนอื่น แทนที่จะพูดคุยกับด้วยเหตุนี้ บลัดดี้คองเคอเรอร์เป็นแบบนี้ สกายลอร์ดก็เป็นแบบนี้ คิดไม่ถึงว่าไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ที่ไม่พูดไม่จาจะเป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน
ถูกต้อง ที่ร่างซิมไบออนท์ ‘ลองสเปียร์’ ที่ปรับปรงขึ้นมามากสามารถยิงออกไปได้แรงขนาดนั้นเป็นเพราะพลังเวทมนตร์มหาศาลที่เสาหินโอเบลิสที่ทำการปรับปรุงให้มา การยิงแต่ละครั้งของมันจะใช้พลังเวทมนตร์เป็นจำนวนมาก ถ้ายิงติดๆ กันหลายครั้งในเวลาสั้นๆ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อการบินของพระผู้สร้างได้ นอกจากนี้มันจะทำให้สายแร่หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ด้านล่างเสาโอเบลิสหมดอายุเร็วขึ้นด้วย นั้นเป็นการทำให้อายุขัยของพระผู้สร้างลดลงในทางอ้อม “แต่ว่าถ้าไม่กำจัดแมลงพวกนี้ อย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้พวกมันได้ใจเข้าไปใหญ่น่ะสิ? อย่าลืมสิว่าแมลงที่เฮคซอดพามาก็กำลังดูศึกนี้อยู่ เพื่อแผนการต่อไปของเผ่าพันธุ์เราแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ต้องกำจัดพวกมันให้ได้!”
“ให้ข้าไป”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ตอบง่ายๆ
เดอะแมสก์มองตามนิ้วมือของมันไป ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา “เจ้าจะเข้าไปข้างในลองสเปียร์แล้วให้ข้ายิงออกไปงั้นเหรอ? ข้าเคยทำการทดลองมาแล้วหลายครั้ง พริบตาที่เจ้าสิ่งนั้นมันตกกระแทกลงไปบนพื้น แรงกระแทกของมันมากพอที่จะบดขยี้ร่างมีชีวิตที่อยู่ในท้องให้แหลกละเอียดได้เลย ต่อให้หุ้มด้วยห่อกันกระแทกเอาไว้ก็ยากที่จะมีชีวิตรอดได้ ขอแค่ร่างซิมไบออนท์มาส่วนถึงจะรับแรงกระแทกที่รุนแรงขนาดนี้ได้
“แต่เจ้าไม่เคยลองกับข้าใช่ไหมล่ะ?” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์เดินไปทางแผ่นหินที่เตรียมพร้อมโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“เฮคซอดไม่อยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ข้าช่วยเจ้าไม่ได้นะ!”
อีกฝ่ายโบกมือ เหมือนไม่ได้สนใจคำเตือนของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
เดอะแมสก์ได้แต่ต้องปรับแกนเวทมนตร์ควบคุมให้ร่างซิมไบออท์ลองสเปียร์เปิดเปลือกด้านนอกออก
ในขณะที่ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์มุดเข้าไปในแผ่นหิน เดอะแมสก์พลันเรียกมันเอาไว้
“เฮ้ อย่าตายนะ”
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ยกแขนขึ้นมา บนแขนของมันมีเศษผ้าสีขาวพันเอาไว้ชิ้นหนึ่ง นั่นเหมือนเป็นเศษผ้าจากชายกระโปรง
เดอะแมสก์ขมวดคิ้วขึ้นมา ในเผ่าพันธุ์มีปีศาจน้อยตนมากที่จะสนใจเรื่องเครื่องแต่งตัว ผ้าสีขาวที่เบาบางแบบนี้ทำให้มันอดนึกถึงภาพวัลคีรีย์ที่มักจะเห็นในหอเจ้าชีวิตอยู่บ่อยๆ ขึ้นมาไม่ได้
“ถ้ายังไม่ได้ฆ่าพวกมนุษย์จนหมด ข้าไม่มีทางตายหรอก” มันค่อยๆ พูด ก่อนที่จะหายตัวไปในแผ่นหิน
………………………………………………………….