บทที่ 646 ภูเขาเอ้อหลงที่หายไป

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

หลงเฉินดีใจเป็นอย่างมากที่หลิงตู้ฉิงยอมแวะภูเขาเอ้อหลงตามคำขอของเขา แต่ในระหว่างที่พวกเขาออกจากอาณาเขตสุสานกระบี่ได้พักใหญ่ และเข้าสู่เหวมรณะที่อยู่ใกล้กับอาณาเขตอุดรทมิฬ พวกเขาก็ได้พบกับคนคุ้นหน้า

คนที่พวกเขาพบก็คือ ฉีหานหยู ผู้คุมกฎสำนักวารีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในตอนนี้กำลังคุยอยู่กับชายปริศนาที่ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

ทางด้านของฉีหานหยู เมื่อเขาเห็นกลุ่มของหลิงตู้ฉิงที่กำลังผ่านมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมากทันที

“หยุดก่อน!” หลิงตู้ฉิงสั่งหลงเฉินให้หยุดรถ

เมื่อรถหยุด หลิงตู้ฉิงก็มองไปที่ฉีหานหยู และชายปริศนาผู้ซึ่งมีกลิ่นอายสังหารรุนแรง

ชายปริศนาผู้ซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้ามองมาที่พวกข้าหาอะไร?”

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ “มันนานมากแล้วตั้งแต่ที่ข้าได้พบกับมือสังหารจากตำหนักดับเซียนครั้งล่าสุด ข้าเลยหยุดแวะมองสักหน่อย!”

สำหรับเขาและตำหนักดับเซียนนั้นถือได้ว่ามีบ่วงกรรมที่ลึกซึ้งเชื่อมกันอยู่

ในชีวิตที่แล้ว หลิงตู้ฉิงได้สังหารเทพแห่งความตายลำดับที่ 9 ของตำหนักดับเซียนไปและเป็นเพราะไม่มีใครรู้ที่ตั้งที่แท้จริงของตำหนักดับเซียน หลิงตู้ฉิงจึงยังไม่สามารถคิดบัญชีมือสังหารเหล่านี้ได้จนครบ

แต่ในตอนนี้เขากลับได้พบกับมือสังหารของตำหนักดับเซียนอีกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าเป็นใครกันที่ฉีหานหยูต้องการจ้างวานให้มือสังหารผู้นี้ไปสังหาร?

มันจะเป็นพวกเขาหรือเปล่า?

“เจ้าต้องการที่จะพบกับมือสังหารของตำหนักดับเซียน?” มือสังหารถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยท่าทีไร้กังวล “เจ้ามันก็แค่ ‘ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณ’ ยังไม่ได้เป็น ‘ผู้พิพากษา’ ซะด้วยซ้ำ ท่าทีข่มขู่ของเจ้ามันไร้ค่าในสายตาของข้า”

เขาคือคนที่เคยสังหารกระทั่งผู้ที่มีตำแหน่งเป็น ‘เทพแห่งความตาย’ ของตำหนักดับเซียน ดังนั้นแค่ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณธรรมดานั้น หลิงตู้ฉิงไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาเลย

เมื่อมองไปที่ฉีหานหยูอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขาสั่งให้หลงเฉินออกเดินทางต่อเพื่อไปยังภูเขาเอ้อหลง

ส่วนทางด้านของฉีหานหยู เมื่อเขาเห็นว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงจากไปแล้ว เขาจึงพูดกับมือสังหารว่า “ในตอนนี้เมื่อพวกเราถูกพบเห็นแล้ว ดังนั้นภารกิจที่เสนอให้เจ้าทำข้าขอยกเลิก!”

มือสังหารเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ถ้างั้นพวกเราก็แค่ฆ่าไอ้คนกลุ่มเมื่อกี้นี้ซะ แค่นั้นมันก็ถือว่าไม่มีใครเห็นพวกเราแล้วจริงไหม?”

ฉีหานหยูส่ายหัว “เขาคือลูกเขยของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่มากไปด้วยกลวิธีอันแข็งแกร่งมากมาย แถมเขายังมีคนคุ้มกันที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิอยู่ข้างกายอีก พวกเราไม่ควรเสี่ยง”

มือสังหารหัวเราะ “เป็นลูกเขยของเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์แล้วมันยังไง? มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิคุ้มกันแล้วมันน่ากลัวตรงไหน? ใช่ว่าตำหนักดับเซียนของข้าจะไม่เคยสังหารตัวตนแบบนี้มาก่อนซะหน่อย”

ฉีหานหยูส่ายหัวอีกครั้ง “อยากพูดอะไรก็พูดไป แต่ข้ายังยืนยันคำเดิมว่าข้าจะยกเลิกคำขอ”

เนื่องจากในตอนนี้เขาได้ถูกพบเห็นกับมือสังหารแล้ว มันจึงเป็นเรื่องงปกติที่ฉีหานหยู จะยกเลิกภารกิจสังหาร ไม่เช่นนั้นในอนาคตเขาอาจจะเกิดปัญหาใหญ่ได้

หลังจากพูดจบ ฉีหานหยูก็จากไปในทันที

มือสังหารมองไปยังทิศทางที่หลิงตู้ฉิงจากไปพร้อมกับบ่นพึพำด้วยสีหน้าโกรธเคือง “ไอ้สารเลวเอ้ยทำลายธุรกิจของข้าซะย่อยยับไม่มีชิ้นดีแบบนี้มันให้อภัยไม่ได้!”

หลังจากพูดจบมือสังหารก็หายตัวไปจากเหวมรณะเช่นกัน

ในอีกด้านหนึ่ง หลงเฉินก็ได้ลากรถมังกรออกจากเหวมรณะแล้ว ซึ่งพวกเขาก็ได้เจอกับหมิงยู่ที่มาดักรออยู่ก่อนหน้า เพื่อตามกลับมารับใช้หลิงตู้ฉิงเหมือนเดิม เนื่องจากนางได้ทำความเข้าใจเนื้อหาของเต๋าที่หลิงตู้ฉิงได้บรรยายจนครบแล้ว

ในขณะที่พวกเขาอยู่ไม่ห่างจากภูเขาเอ้อหลงสักเท่าไหร่ หลงเฉินก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น “นายท่าน อาณาเขตเอ้อหลงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว เมื่อพวกเราเข้าไปในอาณาเขตเอ้อหลงเมื่อไหร่ พวกเราก็จะใช้เวลาอีกไม่นานก็จะถึงภูเขาเอ้อหลง”

“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า

เขาไม่ใช่คนเย็นชาเหมือนเช่นเคยอีกแล้ว ดังนั้นปัจจุบันเมื่อเขาได้รับการบอกเล่าอะไรบางอย่างที่ไม่มีความหมายอะไรสำคัญ หลิงตู้ฉิงก็จะตอบรับแบบง่าย ๆ กลับไปให้ฝั่งตรงข้ามรับรู้ แตกต่างจากเมื่อก่อนที่ส่วนใหญ่เขาจะไม่พูดอะไรหรืออย่างมากที่สุดเขาก็เหล่ตามองเป็นสัญญาณให้รับรู้แทน

ทางด้านของหลงเฉิน ในเวลานี้ยิ่งเขาเข้าใกล้กับภูเขาเอ้อหลงมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากเท่านั้น เขากำลังพยายามคิดหาคำพูดหว่านล้อมต่าง ๆ ให้กับบรรดาญาติพี่น้องของเขาเพื่อชักชวนให้มาลากรถมังกรด้วยกัน

แน่นอนว่าเขาต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับบรรพบุรุษของเขาให้เข้าใจด้วยเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นมันจะเกิดปัญหาแน่นอน เพราะโดยปกติแล้วมังกรอย่างพวกเขาจะหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ๆ และไม่มาลากรถให้ใครแบบนี้เด็ดขาด

ดังนั้นหัวข้อที่เขาจำเป็นต้องใช้ในการโน้มน้าวมันก็จะเป็นในเรื่องของผลประโยชน์ต่าง ๆ พื้นฐานที่เขาเคยได้รับมา แต่ส่วนเรื่องความลับอื่น ๆ ที่สำคัญเช่นเรื่องวีรกรรมความยิ่งใหญ่ของหลิงตู้ฉิงที่ถล่มสันเขาทรราชซะยับเยิน อันนี้เขาคงไม่อาจเล่าได้แน่นอน

เมื่อเวลาผ่านพักใหญ่ ในที่สุดหลงเฉินก็พูดขึ้น “นายท่าน เดี๋ยวเลยภูเขาลูกนี้ไป ท่านก็จะเห็นภูเขาเอ้อหลงของข้า…”

ก่อนที่หลงเฉินจะได้ทันพูดจบประโยค สายตาของเขาก็แข็งค้าง เนื่องจากเมื่อเขาลากรถม้าบินพ้นยอดเขา ภาพตรงหน้าของเขาที่มันควรจะเป็นภูเขาเอ้อหลง กลับเป็นที่ว่างโล่งไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยซะอย่างนั้น!

เสี่ยวเย่วเฟิงเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “หลงเฉิน เจ้าแน่ใจเหรอว่าตรงจุดนี้คือที่ตั้งของภูเขาเอ้อหลงของเจ้า?”

หลงเฉินตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขาพูดขึ้นอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ “นะ นะ ในความทรงจำของข้ามันอยู่ตรงนี้จริง ๆ นะ บ้านของข้าอยู่ตรงนี้จริง ๆ!!”

เสี่ยวเยว่เฟิงขมวดคิ้ว “แล้วไหนล่ะภูเขา? ตอนนี้ข้าเห็นแต่ทุ่งโล่ง ๆ เนี่ย! หรือว่าภูเขาเอ้อหลงของเจ้าลอยอยู่บนฟ้า? ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะไม่ได้กลับมาที่ภูเขาเอ้อหลงนานมากจนเจ้าจำตำแหน่งผิดรึเปล่า?”

หลงเฉินตอบกลับด้วยสีหน้าสับสน “แต่ข้าจำได้จริง ๆ นะว่าภูเขาเอ้อหลงมันอยู่ตรงนี้!”

เสี่ยวเยว่เฟิงขี้เกียจจะเถียงกับหลงเฉินต่อ นางหันไปหาหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “นายท่าน ข้าคิดว่าพวกเราควรถามกับชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ นี้ดูก่อนว่าภูเขาเอ้อหลงอยู่ตรงไหนกันแน่”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเห็นด้วยและสั่งให้เสี่ยวเยว่เฟิงกับคนอื่น ๆ ออกไปถามข้อมูลกับชาวบ้านที่อยู่ในระแวกใกล้เคียง

เขาคิดว่าเรื่องนี้มันมีบางอย่างแปลก ๆ เช่นกัน

ถ้าจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว หลงเฉินไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาแถมยังไม่มีใครไปยุ่งกับห้วงความทรงจำของเขาอีกต่างหาก ดังนั้นเขาจะเลอะเลือนจนจำบ้านของตัวเองไม่ได้ ได้ยังไง?

หลังจากนั้นไม่นาน บรรคนของหลิงตู้ฉิงที่ออกไปถามข่าวเกี่ยวกับภูเขาเอ้อหลงก็กลับมาด้วยสีหน้างุนงงและบอกกับหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน หลงเฉินพูดถูกแล้วที่นี่คือที่ตั้งของภูเขาเอ้อหลงจริง ๆ แต่เมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานภูเขาเอ้อหลงมันถูกทำให้หายไป”

“ถูกทำให้หายไป?” ทุกคนที่ได้ยินเช่นนี้ต่างรู้สึกสับสน

โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าถามไปรอบ ๆ และได้รู้รายละเอียดมาว่าก่อนหน้านี้ได้มีหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมากับผู้ติดตามที่แข็งแกร่งเป็นชายชราอีกคนได้ทำการเปิดรอยแยกมิติขนาดยักษ์ และใช้รอยแยกมิตินั้นเนรเทศภูเขาเอ้อหลงทั้งลูกให้ไปอยู่ในห้วงมิติอื่น”

หลิ่งไช่หยุนตะโกนขึ้นทันที “ท่านพ่อ มันจะต้องเป็นฝีมือของพี่ห้าแน่ ๆ ก่อนหน้านี้นางก็เอาแต่บ่นถึงเรื่องจะคิดบัญชีกับภูเขาเอ้อหลงให้ได้ในสักวัน ดังนั้นเหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเป็นฝีมือของนางแน่ ๆ เลย”

หญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมากับผู้ติดตามที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นชายชรา คำบอกเล่านี้มันตรงกับกลุ่มของหลิงฟ่างหัวที่เดินทางออกมาจากทะเลชางหมางไม่มีผิดเพี้ยน

หลิงตู้ฉิงมองไปที่หลิงไช่หยุนและพูดว่า “พี่สาวของเจ้าจะไปมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดส่งภูเขาเอ้อหลงไปยังห้วงมิติอื่นแบบนี้ได้ยังไง? และอีกอย่างพวกคนของภูเขาเอ้อหลงก็ไม่ใช่กลุ่มคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าบ้านของพวกเขากำลังจะเกิดหายนะ พ่อบ้านโม่ เจ้าจงไปนำตัวคนที่ให้ข้อมูลกับเจ้ามาหาข้าที”

หลิงตู้ฉิงจำเป็นต้องสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัด เพราะเขาเข้าใจพลังของลูกสาวเขาเป็นอย่างดีว่านางไม่แข็งแกร่งเพียงพอจะทำอะไรได้ขนาดนี้ เรื่องนี้มันต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดาซ่อนอยู่

อย่างน้อย ๆ การที่นางจะมีอำนาจพอที่จะทำอะไรแบบนี้ได้ ระดับการบ่มเพาะของนางจะต้องอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิและความเข้าใจในเต๋าแห่งมิติจะต้องอยู่ในระดับสูงเป็นอย่างมาก

ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าจะเป็นฝีมือลูกสาวของเขาที่ทำอะไรแบบนี้

ไม่นานต่อมา โม่หยูถังก็ได้พาคนที่ให้ข่าวแก่เขามาหาหลิงตู้ฉิง

หลิงตู้ฉิงไม่รอช้าใช้ห้วงนิทราแห่งราชันดูภาพความทรงจำในห้วงความฝันของคนผู้นั้นทันที ซึ่งเมื่อดูเสร็จมันถึงกับทำให้เขาอดไม่ได้ต้องแสดงสีหน้าแปลกประหลาด

“เป็นฝีมือของลูกสาวข้าจริง ๆ!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ