GGS:บทที่ 1039 ขโมยเมล็ดพันธุ์

 

“ลูกพี่ฮัวครับ” ชายหนุ่มท่าทางสุขุมคนหนึ่งได้ยืนที่หน้าประตูร้านขายข้าวสีน้ำเงินได้โทรหาฮัวหยุนชู

“เกิดอะไรขึ้น มีใครไปซื้อข้าวสีน้ำเงินนั่นหรือไงกัน” ฮัวหยุนชูถามออกมา

“ใช่ครับ”

“ก็คงจะเป็นถังฮ่าว อันจือฮ่าว และก็พวกคนสนิทๆทั้งหลายนั่นแหล่ะที่จะยอมซื้อเพื่อจะสนับสนุนกิจการของซูจิ้ง”

“ไม่เชิงครับ นอกจากตระกูลถังที่ซื้อไปรวมๆกันแล้วหลายร้อยชั่งก็ยังมีคนรวยอีกจำนวนหนึ่งอย่างอันจือฮ่าวและผู้อาวุโสหวู่ที่ซื้อกันคนละร้อยชั่ง

นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ซื้อแบบเป็นกิโลไปเหมือนกัน เท่าที่ดูๆแล้ววันนนี้ที่ร้านน่าจะขายไปได้สักประมาณ สามสิบล้านหยวน

แถมตอนนี้คนก็เริ่มหลั่งไหลมาซื้อกันจนผมนับไม่ทันแล้ว ทำให้ผมไม่แน่ใจแล้วว่ายอดขายในตอนนี้น่าจะสักเท่าไหร่”

“เป็น…ไปได้ยังไงกัน” ฮัวหยุนชูที่ได้ยินก็เกือบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแล้ว แต่เขาได้ยินเสียงจากปลายสายจึงนำกลับมาฟังต่อ

“ผมเองตอนแรกก็คืดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนกันผมก็เลยซื้อไปลองหนึ่งถุงเล็ก หลังจากได้ลองแล้วผมก็ไม่กล้าจะพูดคำว่าเป็นไปไม่ได้อีกเลย

รสชาติของมันนั้นอร่อยจริงๆ และยังมีบางคนบอกว่ามันดีต่อสุขภาพด้วย”

“เข้าไปซื้อมาให้ฉันครึ่งชั่ง แล้วก็ลองหาวิธีซื้อเมล็ดที่ยังไม่ได้สีหรือฉายฆ่าเชื้อมาด้วย”

“ได้ครับ” เมื่อได้ยินว่าฮัวหยุนชูอยากได้ข้าวนั้นชายมาดสุขุมก็เข้าใจในทันทีว่าฮัวหยุนชูต้องการอะไร

ข้าวสารนั้นก็คือเมล็ดข้าวที่ได้รับการเสียดสีจนสูญเสียความสามารถในการเป็นเมล็ดพันธุ์ไปแล้ว แต่กับเมล็ดข้าวที่ยังไม่ได้สีและฉายแสงฆ่าเชื้อนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

หากว่าได้เมล็ดข้าวที่ยังไม่ได้สีและฉายแสงมา นั่นก็ไม่ต่างจากก็ปล้นธุรกิจมาได้อย่างง่ายดาย

 

ขณะเดียวกัน ฟูฮงซิ่วกำลังอยู่ไม่สุข นั่นก็เพราะเรื่องรถยนต์กาลเวลาของซูจิ้งทำให้กิจการของเขาได้รับความเสียหายหนักเกินกว่าที่คิดไว้

ความจริงแล้วไม่เพียงแค่กลุ่มทุนฮงเหอเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย ต้องเรียกว่าล้มคืนกันทั้งวงการรถยนต์กันเลยก็ว่าได้

ผลกระทบจากรถยนต์ของกลุ่มทุนห้วงเวลานั้นช่างใหญ่หลวงนัก และแทบจะกลืนกินทั้งตลาดรถยนต์ในทันทีที่วางจำหน่ายเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้น รถยนต์กาลเวลายังได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างมาก เพราะรถกาลเวลาเป็นรถที่เรียกได้ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การคงอยู่ของรถนี่ทำให้รถยนต์ที่ยังใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ไร้หนทางไปอย่างสิ้นเชิง

ได้การที่มีลมที่เรียกได้ว่ารัฐพัดพาแบบนี้ เรือใหญ่อย่างกลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็แทบจะแล่นผ่านไปได้ทุกน่านน้ำแล้ว และทำให้ชื่อเสียงของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯโด่งดังขึ้นไปอีก

ด้วยสถานการณ์แบบนี้จะให้รถยนต์ที่ไม่ใช้ไฟฟ้าคงอยู่ได้อย่างไร โดยเฉพาะรถยนต์ของกลุ่มฮงเหอที่มียอดขายดีที่สุดในจีนต้องไปไม่เป็นกันเลยแม้แต่น้อย

 

“ลูกพี่ฟุ ซูจิ้งในตอนนี้ตกเป็นข่าวอยู่ครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาในออฟฟิศเพื่อบอกข่าวซูจิ้ง

“เกิดอะไรขึ้น” ฟูฮงซิ่วได้ยกหัวขึ้นมาก่อนที่จะเอามือนวดหน้าผากอย่างหนัก นั่นก็เพราะช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับธุรกิจทั้งวัน

ที่สำคัญที่สุดคือเขาอย่างจะขยันเพราะกลัวพ่อของเขาโมโหที่เขาปล่อยสุดยอดหัวกะทิให้ตกอยู่ในมือซูจิ้งไป

นี่ทำให้เขานั้นทำงานจนไม่รู้ข่าวสารภายนอกเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ข้าวสีน้ำเงินเอง เขาก็ไม่รู้จักเลยสักนิด

“เมื่อวานนี้ข้าวสีน้ำเงินได้วางขายในตลาด ราคาข้าวเกรดธรรมดานั้นอยู่ที่ชั่งและหมื่นหยวน ส่วนเกรดคัดพิเสษราคาอยู่ที่ช่างละหนึ่งแสนหยวน….” ชายหนุ่มพูดออกมา

“หึ แล้วยังไง ไม่มีใครไปซื้อพวกมันหรอกน่า” ฟูฮงซิ่วสบถออกมา

“ไม่เลยครับ แค่ยอดขายวันแรกเขาก็ทำยอดได้ยี่สิบล้านหยวนไปแล้ว ในวันที่สองพวกเขาทำยอดได้ถึงสามสิบล้านหยวนแล้ว แถมถ้าดูจากแนวโน้มล่ะก็คาดว่าจะมียอดขายสูงขึ้นกว่านี้ครับ”

“ว่าไงนะ” ฟูฮงซิ่วกระตุกปลายเท้าของเขาในทันทีนั่นก็เพราะเรื่องนี้มันยากเกินที่จะยอมรับได้

แค่ธุรกิจยานยนต์นั่นซูจิ้งก็เรียกได้ว่าขโมยเงินจากเขาไปจนทำให้แทบจะไม่ได้อะไรเข้ามาจากธุรกิจช่างทางนี้เลยแล้ว

นี่หมอนั่นยังไปวงการการเกษตรด้วยการขายข้าวแถมยังทำเงินได้มากซะขนาดนั้น หากว่าเมื่อได้ยินแบบนี้แล้วฟูฮงซิ่วยังนิ่งเฉยได้ก็คงแปลกพิลึก

“ไอ้ลูกสำส่อนนี่มันมีพระเจ้าหนุนหลังอยู่รึไงกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าหากแกมีพระเจ้าหนุนนำแล้วปีศาจจะส่งเสริมน่ะ แก…..ไปที่ร้านแล้วหาทางเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินมาให้ได้”

ทันทีที่ฟูฮงซิ่วคิดวิธีนี้และสั่งออกไป เขาก็เหมือนนึกอะไรได้ก่อนที่จะพูดออกมาทันทีว่า “เดี๋ยวก่อน ต่อสายฮัวหยุนชูให้ฉันก่อนจะทำอะไรไป”

ด้วยการที่มีพื้นฐานเหมือนกันทำให้เขาเองก็คิดว่าฮัวหยุนชูก็คงจะมีความคิดไม่ต่างไปจากเขา เขาเชื่อว่าในตอนนี้ฮัวหยุนชูได้ก้าวเท้านำหน้าเขาไปก่อนหน้านี้แล้วอย่างแน่นอน

ในเมื่อทั้งสองเป็นพันธมิตรกันเพราะเรื่องซูจิ้งแล้ว อย่างน้อยๆกับเรื่องนี้ก็น่าจะพอแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้บ้าง

 

ไม่เพียงแค่ฮัวหยุนชูและฟุฮงซิ่วเท่านั้น กับเรื่องการขโมยพันธุ์ข้าวนี้ก็ได้มีหลายๆคนที่เริ่มดำเนินการแล้วเช่นเดียวกัน เพียงแค่ขายข้าวก็ได้เงินมากมายขนาดนี้ มีหรือที่จะไม่มีคนโลภที่อยากได้

ด้วยการที่พื้นที่เพาะปลูกเมล็ดข้าวสีน้ำเงินนี้ค่อนข้างใช้พื้นที่กว้าง แน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้ชาวนาและคนงานไม่น้อยอย่างแน่นอน

แต่ให้ซูจิ้งจะระวังขนาดไหนก็ตาม แต่ยังซะก็ต้องใครบางคนยอมหักหลังยอมปล่อยเมล็ดพันธุ์ข้าวนี้ออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยการนี้ทำให้เริ่มมีคนยอมทุ่มเงินเพื่อลอบซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้ได้ แน่นอนว่าคนที่ทุ่มทุนกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่ว

 

พวกเขาทุ่มทุนขนาดดึงตัวสุดยอดนักเพาะพันธุ์ของประเทศจีนให้มาร่วมงานโดยหวังว่าจะทำให้ต้นข้าวสีน้ำเงินนี้ ออกดอกออกผลให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด

แต่ทันทีที่เริ่มต้นการเพาะพันธุ์พวกเขาก็ต้องพบเรื่องน่าฉงนในทันที เมล็ดพันธุ์ข้าวพวกนี้สามารถงอกได้ก็จริง แต่เพียงมันปริแตกออกจาเมล็ด พวกมันก็เหมือนจะตายในทันที

ถึงแม้จะจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมให้ดีขนาดไหนก็ตามแต่นั่นก็แทบจะไม่ได้ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์พวกนี้อยากจะออกมาดูโลกเลยสักนิด

สุดยอดนักเพาะพันธุ์พืชเองก็ได้ลองหลากหลายวิธีการจนในที่สุดก็มีต้นหนึ่งที่รอดมาได้ แต่ต้นที่รอดมานั้นก็แคระแกนจนประเมินได้เลยว่าการที่มันจะอยู่จนออกรวงข้าวได้นั้นยากเกินกว่าจะเป็นไปได้

เรื่องนี้นั้นแม้แต่สุดยอดนักเพาะพันธุ์พืชก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าด้วยเหตุใดทำไมต้นพันธุ์เมล็ดข้าวสีน้ำเงินนั้นถึงไม่สามารถรอดอยู่ได้

หากพวกเขารู้ว่าซูจิ้งต้องทุ่มเทไปกับดินจอมเขมือบไปมากมายขนาดไหนถึงสามารถเพาะพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินได้แบบนี้ล่ะก็ เขาจะยิ่งไม่เข้าใจหนักขึ้นไปอีก

 

ฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วเองก็ยังไม่ได้ละความพยายามแต่อย่างใด พวกเขายังคงหาวิธีซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินมามากขึ้น และได้ดึงตัวผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในโลกมาเลยทีเดียว เรียกได้ว่าทุ่มจนแทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว

แต่ถึงพวกเขาจะทุ่มทุนกันขนาดนั้นแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยทำให้ต้นพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินอยู่รอดเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย นี่กลับแทบจะเป็นการตอกย้ำสำหรับความคิดของพวกเขาเข้าไปอีกว่าไม่มีทางสำเร็จได้เลย

ถึงแม้ว่าจะมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่ยอมจะตัดใจจากเรื่องนี้ แต่ เมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินเองก็ไม่ใช่ว่าจะราคาถูกแต่อย่างใด นี่ทำให้พวกเขานั้นต้องยอมตัดใจไปโดยปริยาย

ด้วยเรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่อิจฉาซูจิ้งนอกจากจะต้องถอดใจแล้ว พวกเขานั้นยังได้รู้จักซูจิ้งมากขึ้นว่าคนอย่างเขานั้นที่ไม่เคยกลัวว่าใครจะขโมยของๆเขาอย่างเมล็ดพันธุ์นี้ไปนั้น

นั่นเป็นเพราะว่าซูจิ้งได้เตรียมการมาเป็นอย่างดีแล้ว ราวกับคนที่จะขโมยของจากพระเจ้าสูงสุดที่ต่อให้ขโมยไปได้แต่ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี

 

ในขณะที่เรื่องราวของข้าวสีน้ำเงินยังเป็นที่พูดถึงกันอย่างร้อนแรงจนทำให้ผู้คนมากมายต้องอิจฉาซูจิ้งนั้น

ในระหว่างนี้ก็ได้มีข่าวใหม่ออกมา นั่นก็คือ ในที่สุดบุหรี่ของซูจิ้งก็ได้วางจำหน่ายในท้องตลาดสักที แถมบุหรี่ของซูจิ้งยังมีการแบ่งเกรดอีกด้วย

ราคาบุหรี่ของซูจิ้งนั้นถูกสุดอยู่ที่ห้าสิบหยวนและแพงสุดอยู่ที่หนึ่งแสนหยวน ถึงแม้ว่าราคาบุหรี่ซองละห้าสิบหยวนนั้นจะดูแพงกว่าบุหรี่ธรรมดาก็จริง

แต่ราคานี้ก็ไม่ได้แพงมากเกินกว่าที่คนธรรมดาจะเอื้อมถึง นั่นก็เพราะว่าบุหรี่มียี่ห้ออย่างแพนด้าซองอ่อนนั้นก็ราคาซองละหกสิบหยวนเข้าไปแล้ว

และราคานี่จะว่าซูจิ้งก็ไม่ได้เพราะธุรกิจยาสูบนี้ไม่เหมือนกับข้าวสีน้ำเงินที่ตั้งได้ตามใจ ด้วยการที่ธุรกิจยาสูบนั้นรัฐเป็นคนกำหนดราคา

นี่จึงทำให้ต่อให้ภาครัฐพยายามที่จะเข้าไปควบคุมราคาข้าวสีน้ำเงินก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีรัฐเข้ามาควบคุม แต่ซูจิ้งก็ยังมีการแบ่งเกรดโดยตั้งราคาไว้สูงสุดที่หนึ่งแสนหยวนแบบนี้

นี่จึงทำให้หลายๆคนอดจะสงสัยไม่ได้ว่าภาครัฐควบคุมราคาแล้วจริงๆรึเปล่า ถ้าจะต้องสูงขนาดนี้ไม่ตั้งไปสักล้านนึงซะเลยล่ะ

แต่ถึงจะมีหลายๆคนจะคิดแบบนั้นแต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรออกมาโดยตรง นั่นก็เพราะเรื่องข้าวสีน้ำเงินก่อนหน้านี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะบอกว่ามันคุ้มค่าสมราคาแล้ว

ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครกล้าออกมาว่าเขาแต่อย่างใด ทำได้เพียงแค่มองอยู่เฉยๆเท่านั้น

“เห้อ…หนึ่งแสนหยวนเหรอ คงได้แค่คิดเท่านั้นแหล่ะ แต่แค่ห้าสิบหยวนนี่ฉันสบายๆอยู่แล้ว”

“เห็นเขาว่ากันว่าตอนนี้รัฐได้พัฒนาสายพันธุ์ยาสูบใหม่ขึ้นมาโดยมีซูจิ้งเป็นคนผลักดัน ด้วยเหตุนี้ทำให้ภาครัฐตอบแทนซูจิ้งโดยให้ส่วนแบ่งจากผลกำไรถึง10%เลยนะ ฉันอยากรู้จริงๆว่าบุหรี่นี่จะดีขนาดไหนกัน”

“ฉันได้มาซองนึงแล้วลองดูเรียบร้อยแล้วล่ะ ความรู้สึกมันเหมือนกับฉันได้กินของหรูๆเลยทีเดียว”

 

ด้วยการที่บริษัทยาสูบนั้นเป็นธุรกิจของภาครัฐ แน่นอนว่ารัฐย่อมดำเนินการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้แพร่กระจายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

ตอนแรกนั้นนอกจากข้าวสีน้ำเงินแล้วก็ไม่ได้มีใครสนใจกับการซื้อบุหรี่ของซูจิ้งแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่ในวงการก็เลยไม่ได้ติดตาม

แต่ด้วยการที่บุหรี่นี้มีราคาที่พอจะเข้าถึงได้ เลยทำให้หลายๆคนได้ทดลองดู