เฉินโม่ยิ้มบาง ๆ “คุณชายหลิ่ว คุณอย่าประหม่า ผมมาที่นี่เพื่อขอยืมของบางอย่างกับคุณเท่านั้น”
หลิ่วจื่อเฉิงกล่าวด้วยความเย็นชา “ของอะไร?”
รอยยิ้มเย็นชาปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินโม่ “ผมต้องการยืมชีวิตของคุณชายหลิ่ว!”
หลิ่วจื่อเฉิงตบโต๊ะ และกล่าวด้วยความโมโห “เจ้าหนู คุณอย่ารังแกคนมากเกินไป! ถ้าคุณกล้าทำร้ายผมแม้แต่ปลายเล็บ ตระกูลหลิ่วจะไม่ปล่อยคุณไปแน่นอน!”
“จริงเหรอ?” เฉินโม่ยิ้มแปลก ๆ “ถ้าเช่นนั้นคุณก็ฟังให้ดี คนที่ฆ่าคุณคือเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง พวกคุณสามารถไปแก้แค้นผมได้ตลอดเวลา!”
หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่ปล่อยหมัดออกไป สีหน้าของหลิ่วจื่อเฉิงเปลี่ยนไปอย่างมาก “ปรมาจารย์!”
หลิ่วจื่อเฉิงตายแล้ว ตายภายใต้สามกระบวนท่า
ฮู่เชียนเสวี่นและคนอื่นๆ มองหลิ่วจื่อเฉิงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว และเรียกเบา ๆ ว่า “คุณชายหลิ่ว คุณชายหลิ่ว?”
เฉินโม่มองพวกเขาด้วยความเย็นชา “ตอนแรกผมคิดจะฆ่าพวกคุณด้วย แต่ผมไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจคนธรรมดาอย่างพวกคุณจริง ๆ จำไว้ว่าคนที่ฆ่าเขาคือเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง หากมีความสามารถ ก็ให้คนในครอบครัวของหลิ่วจื่อเฉิงไปหาผม!”
หลังจากกล่าวจบ เฉินโม่ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่เขตแดนของอำเภอเฟิ่งซาน ผู้หญิงสวมชุดดำยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ ลมพัดทำให้กระโปรงของเธอสะบัด ยกผ้าคลุมหน้าสีดำที่ปิดหน้าขึ้น สามารถมองเห็นได้ลาง ๆ ว่าหน้าตาของเธอสวยมาก
ขณะนี้ มีร่างหนึ่งบินมาจากทิศทางของอำเภอเฟิ่งซานอย่างรวดเร็ว ร่อนลงตรงหน้าผู้หญิงสวมชุดดำด้วยระยะห่างสามเมตร โค้งคำนับด้วยความเคารพ “เจ้าสำนัก ปฏิบัติตามคำสั่งของคุณเรียบร้อยแล้ว! แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เข้าใจ!”
“พูดมาเลย!” หญิงสวมชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หลิ่วจื่อเฉิงเป็นแค่คนไม่เอาถ่าน แล้วทำไมพวกเราถึงได้เลือกเขา!”
หญิงสวมชุดดำกล่าวว่า” ถึงแม้ว่าหลิ่วจื่อเฉิงจะเป็นคนไม่เอาถ่าน แต่เขาก็เป็นคนไม่เอาถ่านของโลกบู๊โบราณ แล้วเขายังเป็นลูกคนเดียวของผู้นำตระกูลหลิ่วอีกด้วย”
“ดังนั้น ถ้าฆ่าหลิ่วจื่อเฉิงตาย ตระกูลหลิ่วจะไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน!” ผู้หญิงอีกคนกล่าว
“ฆาตกรคือเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง พวกเราคอยดูตระกูลหลิ่วไปแก้แค้นเฉินไต้ซือเถอะ ไปกันเถอะ!”
วันต่อมา ตอนที่ฮู่เชียนเสวี่นให้คนนำศพของหลิ่วจื่อเฉิงกลับไปถึงตระกูลหลิ่วที่หลานไห่ หลิ่วสือ ผู้นำตระกูลหลิ่ว พ่อของหลิ่วจื่อเฉิงรู้สึกโกรธมาก
“ใคร ใครฆ่าลูกชายของผม” หลิ่วสือมองฮู่เชียนเสวี่นด้วยดวงตาแดงก่ำ และคำรามเสียงดัง
ฮู่เชียนเสวี่นตกใจจนคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับคนของโลกฝึกบู๊แล้ว คนของโลกบู๊โบราณกำเริบเสิบสานมากกว่า
คนของโลกฝึกบู๊จะพะว้าพะวังข้อตกลงกับโลกมนุษย์ และจะไม่ลงมือทำร้ายคนธรรมดาง่าย ๆ แต่คนของโลกบู๊โบราณเหล่านี้ กลับไม่พะว้าพะวังอะไรมากนัก อยากจะลงมือก็ลงมือทันที และฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น
“ผู้นำตระกูล ฆาตกรคือเฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง ตอนแรกพวกเราต้องการสู้ตายกับเฉินไต้ซือ แต่พวกเราด้อยกว่า พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ผู้นำตระกูล โปรดยกโทษพวกเราให้ด้วย!” ฮู่เชียนเสวี่นกล่าวและร้องไห้ด้วยความขมขื่น
ในที่สุดหลิ่วสือก็ได้ระบายความโกรธแค้นออกมา เขากัดฟัน กำหมัดทั้งสองไว้แน่น และคำรามขึ้นไปบนฟ้า “เฉินไต้ซือแห่งฮ่านหยาง ฉันจะฉีกแกเป็นชิ้นๆ!”
สวีจื่อหาวส่งเฉินโม่กลับบ้าน และขณะที่กำลังแยกทางกัน เขาก็กล่าวกับเฉินโม่ว่า “เฉินโม่ ฉันบอกเสี่ยวเชี่ยนว่านายกลับมาแล้ว เดาว่าไม่นานเธอคงจะมาหานาย”
เฉินโม่พยักหน้า “ไม่ใช่ง่าย ๆ ที่จะได้กลับมาสักครั้ง ประจวบเหมาะที่จะได้เห็นว่าเสี่ยวเชี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง”
“โอเค งั้นพวกเรากลับก่อน!” สวีจื่อหาวกล่าว
“ขับรถช้าหน่อย!” เฉินโม่กำชับ
“ลาก่อน!”
หลังจากแยกกันแล้ว เฉินโม่ก็เดินเข้าบ้าน เฉินจิงเย่ยังไม่นอน เมื่อเห็นเฉินโม่กลับดึก สีหน้าของเขาแย่เล็กน้อย
“เสี่ยวโม่ กำลังจะเปิดเทอมแล้ว ควรจะเลิกเที่ยวสนุกได้แล้ว!” เฉินจิงเย่กล่าว
“คุณพ่อ วางใจเถอะ ผมมีขอบเขต!” เฉินโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉินจิงเย่มองเขาด้วยสายตาดุดัน “พ่อรู้ว่าลูกเก่งมาก แต่ยังไงลูกก็ไม่สามารถละทิ้งการเรียนได้ ตอนนี้เป็นยุคเทคโนโลยี ถึงแม้ว่าลูกจะเก่ง แต่ลูกจะแข็งแกร่งกว่าอาวุธนิวเคลียร์ได้อย่างไร?”