ตอนที่ 918 เมล็ดพันธุ์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 918 เมล็ดพันธุ์

“เรื่องนี้ก็ตามนี้เถิด พวกท่านรู้ไว้ก็ดีแล้วแต่อย่าได้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด สิ่งที่ทำให้ข้ากังวลก็คือเซียงจูอวี๋ห้าวแม้บัดนี้ดูเหมือนเผิงฟางชื่อหลางกรมเกษตรจะทำได้ค่อนข้างดีมากก็ตาม”

เมื่อเอ่ยถึงประเด็นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงยื่นรายงานที่ส่งมาในวันนี้ให้จัวอี้สิงหนึ่งฉบับ “พวกท่านเห็นหรือไม่ว่าการพัฒนาเซียงจูอวี๋ห้าวเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ได้รับความนิยมไปทั่วในราชวงศ์อู๋”

“เนื้อหมูได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วไป และราคายังเพิ่มขึ้น 2 อีแปะเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนปีนี้มันเทศได้ผลผลิตเยอะพอสมควร ดังนั้นราคาเนื้อหมูอาจจะลดลงในปีหน้า”

“เหตุผลแรกคือเมื่อเห็นรายได้จากการเลี้ยงหมูแล้ว ย่อมมีคนเลี้ยงหมูมากขึ้นในปีหน้า เหตุผลที่สองคือมันเทศได้แก้ไขปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหารและช่วยลดต้นทุนในด้านของอาหารสัตว์ แต่เรื่องที่ต้องระวังก็คือจะมีคนเลี้ยงหมูมากขึ้นในคราเดียวกัน จากนั้นราคาหมูก็จะลดลงเหมือนที่เกิดขึ้นกับข้าว”

“แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เข้าไปควบคุมได้ยาก ดังนั้นโรงงานต้องสร้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด ข้าจะกลับไปที่วังหลังแล้วร่วมปรึกษากับชูหลานและคนอื่น ๆ เพราะพวกนางกำลังดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่”

เมื่อหนานกงอี้หยู่ได้ยินดังนั้น จึงทูลว่า “ทูลฝ่าบาท เนื้อหมูสามารถบรรจุในกระป๋องได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าจะเอ่ยกับพวกท่านก็คือเนื้อหมูกระป๋องมีรสชาติที่อร่อยมากยิ่งนัก เมื่อผลิตออกมาแล้วพวกท่านก็จะรู้เอง”

“อ่า…ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่า ๆ ก่อนจะถึงวันปีใหม่ สำหรับเงินรางวัลปลายปีของขุนนางในปีนี้ต้องเพิ่มเป็นจำนวนเบี้ยหวัด 2 เดือน ใต้เท้าเมิ่งท่านจงให้กรมคลังทำรายงานมาเยี่ยงปีก่อน จากนั้นก็ไปเบิกเงินที่ธนาคารซื่อทง”

“ในระหว่างทำรายงานก็ให้จัดการกับรายชื่อจิ้นซื่อทั้งหมดที่มิผ่านการสอบเคอจี่ด้วย… ข้าจำได้ว่าข้ารับจิ้นซื่อเข้ามามากกว่า 370 คนซึ่งได้กระจายไปทำหน้าที่นายอำเภอเพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น ยังหลงเหลืออีกสองร้อยกว่าคนที่ยังมิมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เช่นนั้นก็จัดทำเอกสารรับรองการเป็นเจ้าหน้าที่สมทบให้พวกเขาด้วยเถิด”

รายงานจากกรมคลังเรื่องจ่ายเงินรางวัลปลายปีให้ขุนนางเมื่อปีที่แล้วมีราว 8,000 คน ตัวเลขการใช้จ่ายปีนี้มิมากไปกว่าปีที่ผ่านมามากนัก เนื่องจากปีนี้มีการถอดถอนขุนนางส่วนท้องถิ่นไป 100 คน จากนั้นก็รับเพิ่มอีก 100 คนจำนวนจึงยังมีเท่าเดิม

ทว่าฝ่าบาททรงให้เหวินชังไห่รับจิ้นซื่อ 300 กว่าคน รวมกับขุนนางที่มาจากว่อเฟิงเต้าอีก 60 คน…จำนวน 60 คนนี้ถูกบรรจุรายชื่อลงในกรมการค้าเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นจึงมีขุนนางเพิ่มขึ้นมาใหม่สามร้อยกว่าคน

สามร้อยกว่าคนนี้ฝ่าบาททรงรับสั่งให้พวกเขาพักอยู่ในเมืองกวนหยุน บัดนี้กำลังเวียนฝึกงานในแผนกต่าง ๆ… ฝ่าบาททรงตรัสว่าเป็นการฝึกงานกลุ่มเจ้าหน้าที่สบทบ จะว่าไปแล้วการฝึกงานนี้เป็นเรื่องดี และฝ่าบาทยังขอให้กรมคลังจ่ายเบี้ยหวัดให้เป็นไปตามมาตรฐานของตำแหน่งนายอำเภออีกด้วย… ดูเหมือนว่าฝ่าบาททรงเป็นผู้ที่ร่ำรวยมากยิ่งนักเพราะเมื่อกลับมาจากการออกประพาสครานั้น ฝ่าบาทก็ได้ประทานทองคำ 10 ล้านตำลึงให้แก่กรมคลัง พระองค์ไปเอามาจากที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?

เรื่องนี้กลายเป็นปริศนาซึ่งยังมิมีผู้ใดรู้คำตอบ จัวอี้สิงและคนอื่น ๆ รู้สึกสงสัยมากยิ่งนัก ทว่าเมื่อลองหยั่งเชิงฝ่าบาทอยู่หลายครา พระองค์ก็เพียงแค่แย้มพระโอษฐ์ขึ้นเท่านั้น แต่กลับมิตรัสสิ่งใดออกมาเลย

ยังมีสมบัติที่หลิวจิ่นนำกลับมาอีก ฝ่าบาททรงรับเข้ามาไว้ในคลัง… นับว่ามีมูลค่าหลายหมื่นตำลึง ! อีกอย่างการออกทะเลของหลิวจิ่นก็ได้รับการสนับสนุนมาจากฝ่าบาท ทว่าคราต่อไปเงินสนับสนุนจะมิได้มาจากฝ่าบาทอีก เพราะหากมีการออกทะเลในอนาคต กรมคลังจะต้องรับช่วงต่อด้านค่าใช้จ่ายทั้งหมด

ส่วนเรื่องอาหารกระป๋องนั้นกรมคลังจะเป็นผู้ลงทุน โดยจะแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุนตามลำดับ

เมิ่งฉางผิงครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ จากนั้นตัดสินใจเขียนเสนอความคิดเห็นให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรแล้วสั่งการ เพราะจำเป็นต้องระบายเงินในกรมคลังออกไปด้วย มิเช่นนั้นเงินคงคลังจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล้นคลัง นี่ย่อมมิใช่การดีอย่างแน่นอน

“สำหรับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและบ้านพักคนชราทุกแห่ง วันปีใหม่ที่จะถึงนี้ก็จัดสรรเงินบางส่วนเอาไว้ด้วย” ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปยังเมิ่งฉางผิงที่รีบโบกมือแล้วทูลว่า “ทูลฝ่าบาท พระองค์ต้องออกเงินจำนวนนี้ด้วยตนเอง เพราะแม้ว่าปีนี้จะได้รับเงินภาษีเป็นเงิน 60 ล้านตำลึง ทว่าฤดูใบไม้ผลิในปีหน้าต้องใช้เงินมากกว่า 10 ล้านตำลึงเพื่อสร้างเขื่อนแม่น้ำต้าหลิง อีกทั้งยังต้องแบ่งงบประมาณไปให้กรมโยธาธิการเพื่อสร้างระบบชลประทานทางการเกษตรและคูระบายน้ำที่พระองค์ตรัส กระหม่อมประมาณการไว้ว่าต้องใช้เงินนับพันล้านตำลึง…”

“กระหม่อมคิดว่ากรมคลังมิสามารถสนับสนุนงบประมาณได้ ! หากต้องการดำเนินโครงการชลประทานและคูระบายน้ำเพื่อการเกษตรให้ได้ประสิทธิผลสูงสุด นอกเสียจากว่า…ฝ่าบาทจะทรงประทานทองคำอีก 10 ล้านตำลึงและให้ธนาคารซื่อทงพิมพ์ตั๋วเงินอีก 100 ล้านตำลึงออกมา เช่นนี้จึงจะสามารถแก้ไขได้พ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาทันที “ท่านจงตื่นจากความฝัน ! ข้ามิใช่ผู้ที่สามารถเสกทองคำได้ ส่วนโครงการชลประทานและคูระบายน้ำเพื่อการเกษตรนี้ พวกท่านดูว่าควรเริ่มจากตรงที่ใดได้บ้างแล้วทำทีละขั้นตอน ส่วนการพิมพ์ตั๋วเงินมากเกินไปนั้นมิใช่การดีเพราะเศรษฐกิจของราชวงศ์อู๋บัดนี้ยังมิดีถึงขั้นนั้น”

“เรื่องนี้คือประเด็นสำคัญของฝ่ายราชสำนักในปีหน้า แน่นอนว่าปีหน้าข้าจะออกทะเล ดังนั้นเสนาบดีทั้งสามจงปรึกษาหารือและวางแผนสำหรับเรื่องนี้กันเถิด พยายามทำให้เสร็จภายในแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกฉบับที่หนึ่งนี้”

โครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีแรกของราชวงศ์อู๋เหลือเพียง 3 ปีเท่านั้นจึงรู้สึกได้ว่าฝ่าบาททรงเร่งรีบไปสักหน่อย

ทว่าบัดนี้สิ่งที่จัวอี้สิงนึกถึงกลับมิใช่ปัญหานี้ เขาทูลถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำว่า “ฝ่าบาทจะทรงออกทะเลจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“จริง ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึก “บัดนี้พวกเราพบท่าเรือที่ดีในน่านน้ำทางใต้และทางทิศตะวันตกแล้ว ดังนั้นข้าต้องการไปเสาะหาทางทิศตะวันออก มันคือเซี่ยเย๋ซึ่งเป็นสถานที่ที่เคยบอกกับพวกท่านเอาไว้”

“การก่อสร้างท่าเรือที่ทะเลจีนใต้และที่แม่น้ำทางทิศตะวันตกจะเริ่มต้นก่อสร้างในปีหน้า ส่วนท่าเรือทะเลจีนตะวันออกนั้นต้องรอให้เข้าไปครอบครองได้เสียก่อนถึงจะเริ่มการก่อสร้าง”

“ด้วยเหตุนี้พวกเราจะมีท่าเรืออยู่ 3 แห่ง เมื่อมีท่าเรือทั้งสามแห่งนี้แล้ว ก็จะสามารถสร้างเรือรบขนาดใหญ่และเรือขนส่งสินค้าได้มากยิ่งนัก หลังจากเก็บกวาดบนผืนปฐพีเสร็จสิ้น จุดศูนย์กลางอำนาจของพวกเราก็จะเคลื่อนย้ายไปที่มหาสมุทร”

“สิ่งที่ข้าคาดหวังก็คือโครงร่างแผนพัฒนาระยะห้าปีฉบับที่สอง ซึ่งจะเน้นการสำรวจเส้นทางเพื่อเดินทางรอบโลกและสร้างกองทัพเรือขึ้นมาอีก 3 กองทัพ”

“นี่คือการสร้างเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว ค่อยเป็นค่อยไปเถิด อย่าเพิ่งเอ่ยถึงปัญหานี้เลย ใต้เท้าเมิ่ง หากเผิงชื่อหลางกลับมาก็ให้เขามาพบข้าที่ห้องทรงพระอักษรสักหน่อย เพราะสิ่งดี ๆ ที่หลิวจิ่นนำกลับมาจากทะเลคราที่แล้ว… อย่ามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้เลย ข้ามิได้หมายถึงสมบัติ ทว่าสิ่งที่ข้าหมายถึงคือเมล็ดพันธุ์พืช ! ”

ในกล่องเมล็ดพันธุ์พืชเหล่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนพบสามสิ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีในชาติก่อนซึ่งนั่นก็คือ

ข้าวโพด !

มันฝรั่ง !

และพริก !

นอกเหนือจากนี้เขาก็มิรู้จักแล้ว แต่เมื่อดมดูแล้วมันมีกลิ่นเหมือนเครื่องเทศ

มิว่าจะรู้จักหรือไม่ก็ตาม เมล็ดพันธ์เหล่านี้ต้องเพาะปลูกและรอดูผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วงอีกที

เรื่องนี้ต้องยกให้หวางเอ้อแห่งกรมเกษตรจัดการจึงจะสามารถวางใจ ให้หวางเอ้อเพาะเลี้ยงต้นพืชเหล่านี้โดยเน้นที่ข้าวโพด มันฝรั่งและพริก เมื่อผลผลิตออกมาแล้ว สามอย่างนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างแน่นอน !

ข้าวโพดและมันฝรั่ง มิเพียงสามารถกระตุ้นการพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านการเพาะเลี้ยงสัตว์ได้เท่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ยังมีประโยชน์อีกมากมายหลายประการ

สามเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่มิทราบถึงความสำคัญของเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ เยี่ยงไรเสียฝ่าบาทก็ทรงชอบเล่นกับสิ่งที่มิสามารถอธิบายได้เหล่านี้อยู่แล้ว

“หลังจากปีใหม่ จงส่งคนไปบอกท่าป๋าคังที่ชื่อเล่อชวนว่าให้ปิดการค้าขายกับเมืองการค้าซินโจวและหลานฉีชั่วคราว ข้าจะเขียนราชโองการให้เขาก่อนออกทะเล

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายให้กระจ่าง เขาเอ่ยต่อว่า “อีกประเดี๋ยวจงไปเรียกจัวเปี๋ยหลีมาพบข้า ข้าจะพบเขาเป็นการส่วนตัว… ให้เขามาพบข้าที่ตำหนักหยางซิน”