ตอนที่ 919 การเปลี่ยนแปลง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 919 การเปลี่ยนแปลง

ตระกูลต่งเดินทางมาถึงซีซานแห่งหลินเจียงแล้ว พวกเขาพักอยู่ที่เรือนซีซาน

ซีซานในบัดนี้ ไร้ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นวันวาน อีกอย่างคือต่งคังผิงมาที่ซีซานเป็นคราแรก ดังนั้นเขาจึงมิรู้ว่าแต่ก่อนที่นี่เคยเจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด

ตัวเรือนหลายหลังยังคงอยู่ ทว่าในเรือนล้วนว่างเปล่ามิมีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย

ยังมีทหารยามคอยเฝ้าและลาดตระเวนอยู่ที่เรือนซีซาน พวกเขาเป็นอดีตทหารดาบเทวะซึ่งถูกคัดออกระหว่างการฝึก จากนั้นก็ได้รับความเมตตาจากฟู่เสี่ยวกวนให้เฝ้าระวังอยู่ที่เรือนซีซานแห่งนี้

ศูนย์วิจัยซีซานกลายเป็นเปลือกห่อหุ้มความว่างเปล่า ดูเหมือนว่าหยูเวิ่นเต้าจะมิมีเจตนาฟื้นฟูศูนย์วิจัยนี้ขึ้นมาหรือบางทีเขาอาจจะมิรู้ว่าจะเริ่มต้นทำจากส่วนใดก่อนดี

ส่วนสำนักศึกษาซีซานครั้งหนึ่งเคยมีบัณฑิตหลายพันคนมาเข้าเรียน แต่บัดนี้หลงเหลือเพียงหนึ่งร้อยกว่าคนเท่านั้น

เหตุผลที่เยาวชนเหล่านี้ยังอยู่ที่นี่ก็เพราะตระกูลมิได้ตัดสินใจย้ายไปยังราชวงศ์อู๋… เนื่องจากผู้คนเหล่านี้จะคอยเฝ้ารักษาที่ดินของคุณชายไว้นั่นเอง

มิรู้ว่าเพราะเหตุใดหยูเวิ่นเต้าถึงมิยึดคืนที่ดินของฟู่เสี่ยวกวนกลับคืนไป แม้แต่หมู่บ้านเสี้ยชุนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเคยมอบเป็นที่ดินศักดินาให้ฟู่เสี่ยวกวน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็มิได้ยึดคืนแต่อย่างใด

เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายังมิได้ลืม

หรือบางทีการที่เหลือสถานที่แห่งนี้และจวนเจิ้นกั๋วกงแห่งเมืองจินหลิงเอาไว้ อาจจะเป็นเพราะพระองค์นึกถึงความสัมพันธ์แต่เก่าก่อน

ปีกด้านข้างของลานด้านในเรือนซีซาน ต่งคังผิงและฉินปิ่งจงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันและกำลังรับความอบอุ่นจากเตาผิง

“เหล่าฉิน…ในอีกมิช้านักเรียนก็จะปิดภาคเรียนแล้ว ได้ข่าวว่าโม่เหวินจะกลับมายังเมืองหลวงในปีนี้ ติ้งฟางก็คงจะกลับไปด้วยเช่นกัน ท่านจะมิกลับเรือนช่วงปีใหม่สักหน่อยหรือ ? ”

ฉินปิ่งจงลูบเครายาว ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้ติ้งฟางเรียบร้อยแล้ว กล่าวว่าเขามิต้องกลับมาหรอก จะกลับมาเนื่องด้วยเหตุอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาเป็นบิดาของเฉิงเย่และรั่วเสวียที่ล้วนอยู่ในราชวงศ์อู๋ หากเขากลับมาแล้วพบกับฮ่องเต้จะเผชิญหน้าเยี่ยงไร ? ”

ต่งคังผิงหัวเราะร่าออกมาทันที เขาส่ายศีรษะเบา ๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จะพบว่าเข้าไปพัวพันกับฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น”

“เอ่ยเช่นนี้ก็มิถูกนัก เนื่องจากเฉิงเย่ตัดสินใจติดตามฟู่เสี่ยวกวนไปเอง บัดนี้เฉิงเย่ได้เป็นคณบดีที่สำนักวิทยาศาสตร์นั่นแล้ว… ท่านว่านี่คือความโชคดีของเขาใช่หรือไม่ ? ความโชคดีนี้มาจากที่ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? มิใช่เพราะฟู่เสี่ยวกวนหรอกหรือ ? ”

“เฉิงเย่เขียนจดหมายมาถึงข้า ในจดหมายกล่าวว่า อยู่ที่นั่นงานยุ่งจนมิมีเวลาว่าง แต่ก็รู้สึกว่า…ตนเองได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นชีวิตอย่างที่เขาต้องการและมิเคยเสียใจที่ได้ตัดสินใจเยี่ยงนั้น”

“ส่วนรั่วเสวียถือว่าสบายกว่าหน่อย บัดนี้นางก็ทำงานอยู่ในสำนักวิทยาศาสตร์เช่นกัน และในจดหมายก่อนหน้านี้นางกล่าวว่ากำลังวิจัย…ลูกสูบเครื่องยนต์อันใดสักอย่าง ข้าก็มิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก นางกล่าวว่านี่เป็นชีวิตที่นางชอบและนางมองเห็นเส้นทางในอนาคตของตนเองแล้ว”

ต่งคังผิงพยักหน้า “เหล่าฉิน ท่านย้ายเข้ามาอยู่กับข้าเถิด บัดนี้ข้าไร้ภาระหน้าที่จึงรู้สึกตัวเบาสบายมากยิ่งนัก ข้าจึงอยากขอคำแนะนำจากท่านเรื่องตำราหลี่เสวียสักหน่อย”

ฉินปิ่งจงเอ่ยตามความจริงมิได้เสแสร้งแต่อย่างใด “หากข้าย้ายเข้ามาที่นี่ จะทำให้พวกท่านลำบากใจหรือไม่ ? ”

“คำเอ่ยของท่านห่างเหินเกินไปแล้ว เพียงต้องเพิ่มข้าวหนึ่งชามและตะเกียบหนึ่งคู่เท่านั้นเอง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเรายังสามารถดื่มชาและสนทนากันได้ตลอดเวลา นี่เป็นการดีมิใช่หรือ ? ”

“ข้ายังมีสุราดี ๆ อยู่สองสามขวด ก่อนที่เสี่ยวกวนจะไป เขาได้มอบมันให้กับข้า มันอยู่ที่ห้องใต้ดินมาสามปีแล้ว รสชาติของสุราซีซานเทียนฉุนก็มิอาจเทียบเคียงได้ ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปเอาออกมา”

“ฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”

เรือนซีซานแห่งนี้ที่เงียบเหงามานานถึง 2 ปี จึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา

ต่งคังผิงพาคนเดินทางมาด้วยมิมากนัก มีเพียง 5 คนเท่านั้น ซึ่งประกอบไปด้วยภรรยาและสาวใช้อีก 3 คน ทว่ามักมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากสวน

ในอดีตต่งคังผิงเป็นนักปราชญ์ที่มีพรสวรรค์แห่งจินหลิง เขาและฉินปิ่นจงกำลังสนทนากันเรื่องสัพเพเหระที่มิมีแก่นสารแต่อย่างใด บ้างก็สนทนากันเรื่องตำราโบราณของลัทธิขงจื้อและตำราหลี่เสวีย แม้ว่าชีวิตจะธรรมดาแต่ก็สงบสุขมากยิ่งนัก

อยู่มาวันหนึ่งก็มีชายชราคนหนึ่งมาเยือนที่เรือนซีซาน เขาคือฉ้ายซีหลงจู๊อาวุโสแห่งหยูฝูจี้นั่นเอง

เขามาที่โรงงานกลั่นสุราในซีซานเพื่อซื้อสุราองุ่นกลับไปสำหรับวันปีใหม่ เขาได้สนทนากับต่งคังผิงตลอดทั้งคืนในห้องหนังสือของเรือนซีซาน

พอวันรุ่งขึ้นฉ้ายซีก็ได้ออกจากเรือนซีซานแล้วกลับไปยังหลินเจียง จากนั้นร้านที่ชื่อว่าหยูฝูจี้ก็ปิดร้านเป็นคราแรก และมิมีผู้ใดทราบว่าหลงจู๊ไปที่ใด ทว่ากลิ่นหอมของสุราในร้านยังคงลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ

……

……

ปัจจุบันนี้หลงจู๊แห่งธนาคารซื่อทงสาขาเมืองจินหลิงคือฉางหยูลูกพี่ลูกน้องของฉางฮวน

ฉางหยูเคยดูแลการค้าของตระกูลใหญ่ฉางในเจียงหนานเต้า บัดนี้เขาได้ดูแลธนาคารซื่อทงมานานนับ 3 เดือนแล้ว เขามีความเข้าใจเรื่องหุ้นคร่าว ๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่ศึกษาอย่างรอบคอบแล้ว จึงพบว่ามีปัญหามากมาย

เขาอยากยกเลิกระบบนี้มากยิ่งนัก ทว่าฉางฮวนมิเห็นด้วย เพราะบัดนี้หุ้นหลักของธนาคารซื่อทงคือ อุตสาหกรรมเกลือของตระกูลเฉิน เหมืองแร่ตระกูลโจวและการขนส่งตระกูลหลู่

ทั้งสามตระกูลนี้รวบรวมเงินทุนได้หลายสิบล้านตำลึงผ่านการขายหุ้น หากหุ้นถูกปิดตัวลง พวกเขาจะต้องซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของผู้ถือหุ้นคืนไปทั้งหมด

ทว่าบัดนี้พวกเขาได้ลงทุนจำนวนมหาศาลไปกับอุตสาหกรรมของตนเอง ทั้งยังถือหุ้นอย่างน้อยสามในสิบส่วนอีกด้วย

หากพวกเขามิสามารถชดเชยด้วยการซื้อหุ้นกลับคืนมาได้ ผู้ถือหุ้นในเมืองจินหลิงที่ซื้อหุ้นของพวกเขาย่อมมิพอใจเป็นแน่ ทุกคนจะต้องก่อความวุ่นวายขึ้นมาอย่างแน่นอน

บัดนี้สิ่งที่ฝ่าบาททรงกลัดกลุ้มที่สุดคือ…พระองค์กลัวว่าจะมีคนลุกขึ้นมาก่อความวุ่นวาย ดังนั้นฉางหยูจึงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกความคิดนี้และมิสนใจเรื่องนี้อีก…ถึงเยี่ยงไรหุ้นที่ใหญ่กว่านี้ก็จะมิปรากฏขึ้นมาอีก ปล่อยให้ทั้งสามตระกูลรับผิดชอบกันไปเองเถิด

หลายวันมานี้เขามิได้ใส่ใจการเปลี่ยนแปลงของสามหุ้นหลักเพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อสิบวันก่อนหุ้นหลักทั้งสามมีราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและสิบวันต่อมาหุ้นเหล่านั้นก็ราคาตกลงอย่างช้า ๆ

สำหรับปรากฏการณ์นี้นักลงทุนในเมืองจินหลิงคุ้นเคยกับข้อเท็จจริงที่ว่าตลาดหุ้นขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นอย่างดี บัดนี้ใกล้ปีใหม่แล้วคงมีคนขายตัดราคาแล้วฉกฉวยโอกาสตอนที่หุ้นราคาตกมาซื้อเพิ่ม

สถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทว่ามันก็ยังมิได้แตกต่างกันมากนัก บางครั้งบางคราหุ้นก็จะกระเตื้องขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จากนั้นหุ้นก็จะตกอีกประมาณสองหรือสามวันสลับกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงวันที่ยี่สิบแปดของเดือนสิบสอง

เมื่อธนาคารซื่อทงปิดทำการ ตลาดหุ้นก็ต้องปิดด้วยเช่นกัน การปิดรอบนี้ฉางหยูเพิ่งบังเอิญสังเกตเห็นว่าทั้งสามหุ้นมีการซื้อขายราว 10 ล้านหุ้นในเวลาเพียง 20 วันเท่านั้น

นี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ฉางหยูจึงมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ หน้าที่ของเขาคือต้องนำสมุดบัญชีและใบเสร็จรับเงินส่งเข้าคลังเพื่อเก็บรักษา จากนั้นก็จะปิดทำการวันปีใหม่ ซึ่งจะกลับมาเปิดทำการอีกคราในวันที่ห้าเดือนหนึ่งของปีหน้า

ณ ห้องทรงพระอักษรแห่งราชวงศ์หยู

ในราชสำนักก็กำลังเตรียมตัวสำหรับวันหยุดอยู่เช่นกัน

วันนี้กรมคลังต้องส่งรายระเอียดรายรับรายจ่ายประจำปี ซึ่งบัดนี้วางอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรของหยูเวิ่นเต้าเรียบร้อยแล้ว

ตัวเลขมิน่าพึงพอใจเท่าใดนัก ดังนั้นคิ้วของหยูเวิ่นเต้าจึงขมวดเป็นปม เขาจ้องมองไปยังฉางฮวนแล้วเอ่ยถามว่า “ตลาดเกลือขาวมิใช่ว่าถูกเกลือของตระกูลเฉินครอบครองแล้วหรอกหรือ ? เหตุใดรายได้ภาษีในปีนี้จึงมีเพียง 18 ล้านตำลึงเท่านั้นเล่า ? ”

“ทูลฝ่าบาท รายได้ภาษีจากเกลือขาวมิได้ลดน้อยลง ทว่ารายได้ภาษีของการค้าโดยรวมในปีนี้ลดน้อยลงกว่าปีที่แล้วถึงสี่ส่วน เพราะว่อเฟิงเต้ายกเลิกนโยบายยกเว้นภาษีจึงสามารถเก็บภาษีมาได้บ้างพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อหยูเวิ่นเต้าได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันใด “ราษฎรมิมีเงินซื้อของบริโภคเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าเห็นว่าพวกเขาก็มีเงินซื้อหุ้นนี่ ! ”

ฉางฮวนทูลอีกว่า “เรื่องนี้มีสองสาเหตุพ่ะย่ะค่ะ หนึ่งคืออดีตห้าตระกูลผู้นำการค้าของราชวงศ์หยูได้ย้ายไปที่ราชวงศ์อู๋เกือบทั้งหมดแล้ว สอง…ที่เมืองการค้าเสรีมีการซื้อขายจำนวนมากก็จริง ทว่าสินค้าส่วนใหญ่ผลิตจากอดีตพ่อค้าของราชวงศ์หยูพ่ะย่ะค่ะ”

“ภาษีที่เก็บได้จึงเป็นของราชวงศ์อู๋ แต่สินค้าของพวกเขาถูกขายให้กับราชวงศ์หยูพ่ะย่ะค่ะ”