ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 49 ราชันย์อนธการอมตะผู้โกรธแค้น

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ผู้แกร่งกล้าระดับยอดทั้งหลายของดินแดนจิตโลกาใช้วิธีการต่างๆ นานาเพื่อชมดูการประจันหน้ากันระหว่างราชันย์อนธการอมตะและคนวิถีจิตฟ้า

ยามนี้ สีหน้าของคนวิถีจิตฟ้าไม่น่ามองเอาเสียเลย! ราชันย์อนธการอมตะกลับยิ้มเย็นอย่างได้ใจ…

“เห็นทีราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ตะพบตัวตนที่แท้จริงของคนวิถีจิตฟ้าเข้าจริงๆ เสียแล้ว”

“รีบเปิดเผยออกไปเร็วเข้า”

“รีบเปิดเผยเร็วเข้า”

“ดูท่าแล้วคงจะกำลังถ่ายเสียงพูดคุยกัน ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้ไม่มีทางเปิดเผยออกมาอย่างแน่นอน!”

“ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้จะเปิดเผยออกไปได้อย่างไร เพราะทันทีที่เขาเปิดเผยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้า คนวิถีจิตฟ้าก็จะต้องบ้าคลั่งยิ่งขึ้นเป็นแน่ เขาจะต้องไม่เหลือที่ให้แม้แต่น้อย และทำลายค่ายกลมหึมาแห่งนั้นลงไป เมื่อไม่มีค่ายกลมหึมาแห่งนั้นคอยควบคุมแล้ว ภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์ภายในดินแดนจิตโลกาจะสามารถควบคุมวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนของทั้งสิบห้ารัฐได้อย่างไรกัน”

“ข้ารอมานานเกินไปแล้ว อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้านัก ราชันย์อนธการอมตะผู้นั้นกลับไม่เปิดเผยออกมาเสียนี่!”

แต่ละฝ่ายจับตามอง

ในจำนวนนั้นบรรดามารร้ายต่างพากันรอคอยด้วยความร้อนรนใจ

และมีบางคนที่เยียบเย็นและสันโดษ ที่อยากจะรู้ตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าด้วยความอยากรู้อยากเห็นล้วนๆ

แน่นอนว่าก็มีผู้ที่เคารพ ‘คนวิถีจิตฟ้า’ อย่างบ้าคลั่งเป็นจำนวนมาก บางคนเป็นผู้แกร่งกล้าที่รุ่งโรจน์ขึ้นมาจากการที่คนวิถีจิตฟ้าช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตเอาไว้ บางคนเคารพเทิดทูนเนื่องจากการกระทำของคนวิถีจิตฟ้าล้วนๆ ผู้แกร่งกล้ากลุ่มนี้กลับหวังว่าตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าจะไม่เปิดเผยออกมา นี่คือเสาหลักที่กดดันมารร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้! จะล้มลงมิได้เด็ดขาด!

……

“ศิษย์หลานรึ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “ท่านอาจารย์ ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้คืออาจารย์ทวดหรือขอรับ”

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยได้ยินเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประมุขรัฐเมฆทักษิณากับราชันย์อนธการอมตะมาก่อนเลย

“เขาพบตัวตนของเจ้าเข้าจริงๆ แล้วหรือ เฮ้อ เสวี่ยอิง ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้กลายเป็นอาจารย์ของข้า ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว! ตอนนั้น เพื่อให้ได้ ‘ดาบทวิภพ’ มา ก็ต้องตั้งสัตย์สาบาน คารวะ ‘ราชันย์อนธการอมตะ’ เจ้าของดาบทวิภพนี้เป็นอาจารย์ และอุทิศตนเพื่อเขา” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด “เดิมทีข้าคิดว่าเขาสิ้นใจไปนานแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าผ่านไปนานแสนนาน เขาจะกลับมาเสียนี่! เสวี่ยอิง ข้าขอให้เจ้าอดทนเอาไว้ เขาพบตัวตนของเจ้าแล้ว ก็อย่าได้ฝืนต้านทานต่อไปอีกเลย ราชันย์อนธการอมตะผู้นี้เป็นคนสติฟั่นเฟือนคนหนึ่ง ตอนแรกพูดว่าเขาเป็นตัวแทนของความตาย ก็เพราะเขาเคยชินกับการเข่นฆ่าเสียแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูกับเขาจริงๆ…เขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงกระจ่างแจ้งขึ้นมา

จะว่าไปแล้ว อาจารย์ประมุขรัฐเมฆทักษิณาก็น่าสงสาร ที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสัตย์สาบาน

“รีบถอยไปโดยเร็วเถิด” ราชันย์อนธการอมตะมองตงป๋อเสวี่ยอิงพลางยิ้มน้อยๆ แล้วถ่ายเสียงพูดว่า “เจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า อย่าได้กลั่นแกล้งรังแกอาจารย์ทวดเลย”

“เดิมทีข้าคารวะอาจารย์อย่างอิสระมากอยู่แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตอบ “ราชันย์อนธการ ข้าขอให้ท่านวางมือเสียเถิด บัดนี้ท่านเก็บวัตถุจานค่ายกลของค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางเอาไว้เสีย ท่านยังสามารถลดความเสียหายลงไปให้ต่ำที่สุดได้ มิเช่นนั้นแล้ว หากข้าลงมือเมื่อไหร่ ท่านก็จะเสียหายใหญ่หลวงแล้ว”

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าเข้มขึ้น “อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าจะเป็นศัตรูกับข้ารึ”

“หากท่านไม่เข่นฆ่าสรรพชีวิต ข้าก็ย่อมไม่เป็นศัตรูกับท่านแน่ ราชันย์อนธการ…ท่านเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ นานจนป่านนี้แล้ว ท่านก็ยังมิอาจสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นได้ หรือท่านจะไม่คิดดูให้ดีเสียหน่อยเล่า ว่าบางทีทางเส้นนี้ของท่านอาจผิดพลาดก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด “เมื่อเดินจนสุดทางแล้วมิอาจบรรลุได้หากหันกลับมาก็อาจจะมีฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอยู่ก็เป็นได้ ตอนนี้ล้มเลิกการเข่นฆ่า ล้มเลิกความคิดทั้งหลายที่แล้วมา หากโอบอ้อมอารีต่อสรรพชีวิต ท่านอาจจะรับรู้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาก็เป็นได้ การประสบผลสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยเหตุนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”

เมื่อทางหนึ่งเดินต่อไปไม่ได้

หักลับมาแล้วค่อยลองดูอีกทีหรือ

“นานแสนนานก่อนหน้านี้ข้าเคยลองแล้ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ เรื่องของการบำเพ็ญ ข้าไม่ต้องให้เจ้ามาคอยชี้แนะหรอก!” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเข้มขึ้น “ตอนนี้เจ้ารีบจากไปให้เร็วเสียเถอะ ข้ายังถือว่าเจ้าเป็นศิษย์หลานของข้า ต่อจากนี้ไปเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยเหลือ ข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าได้ หากเจ้าจะขัดขวางข้าจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าไร้น้ำใจก็แล้วกัน ทั้งตระกูลอิงซานของเจ้าข้าจะล้างสังหารให้สิ้นซากไป และยังมีรัฐเมฆทักษิณาด้วย! รัฐเมฆทักษิณาก็ต้องชดใช้แทนเจ้าด้วยเช่นกัน!”

ปากของราชันย์อนธการอมตะก็พูดไปอย่างนั้นเอง

ทำลายตระกูลอิงซาน แน่นอนว่าเขาไม่ลังเลเลย

แต่จะทำลายรัฐเมฆทักษิณาหรือ

รัฐเมฆทักษิณารัฐหนึ่ง ก็ใกล้เคียงกับรัฐชั้นสามสิบห้าแห่งแล้ว นอกจากนี้หากทำเช่นนั้น ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ ก็ต้องบ้าคลั่งขึ้นมาเป็นแน่ หากประมุขรัฐเมฆทักษิณาผู้มีร่างแยกจำนวนนับไม่ถ้วนคนหนึ่งบ้าคลั่งขึ้นมา แรงทำลายล้างก็คงไม่ต่ำกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงสักเท่าใดนัก

……

ราชันย์อนธการอมตะกดดันและเกลี้ยกล่อมไปพลาง และถ่ายเสียงให้ประมุขรัฐเมฆทักษิณาไปพลาง “รีบเกลี้ยกล่อมศิษย์ของเจ้าคนนี้เสีย อย่าให้เขาโง่งมเช่นนี้ต่อไปเลย! หากทำลายการของข้า มิใช่แค่ตระกูลอิงซานของเขาเท่านั้น รัฐเมฆทักษิณาของเจ้าก็ต้องมีจุดจบไม่สวยแน่”

“อะไรนะขอรับ ท่านอาจารย์ ท่านหมายความว่าคนวิถีจิตฟ้าคืออิงซานเสวี่ยอิงอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าไม่รู้หรอกหรือนี่”

“ความลับระดับนี้ ต้องเก็บเป็นความลับอย่างสิ้นเชิง ไม่เปิดเผยให้ใครล่วงรู้อีกเป็นคนที่สองอยู่แล้ว ข้าไม่ทราบเลยจริงๆ ขอรับ” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงพูด

“เฮอะ” ราชันย์อนธการอมตะก็รู้สึกว่าเรื่องพรรค์นี้จะต้องเก็บเป็นความลับเต็มที่อยู่แล้ว “อิงซานเสวี่ยอิงศิษย์ของเจ้าก็คือคนวิถีจิตฟ้าคนนั้น บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งอยากจะขัดขวางข้า เจ้ารีบเกลี้ยกล่อมเขาเสีย ให้เขาอย่ามาทำลายเรื่องของข้า”

“ขอรับ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาเดี๋ยวนี้” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาตอบ

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่กลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เขาจ้องมองราชันย์อนธการอมตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วถ่ายเสียงพูดว่า “ราชันย์อนธการ ท่านจะหาใครมาเกลี้ยกล่อมข้าก็ไร้ประโยชน์ ท่านควรจะรู้ว่าข้ากลับชาติมาจุติ…ตอนนั้นแม้แต่จะคารวะบรรพชนฝานเป็นอาจารย์ข้าก็ไม่สน ที่ข้ายอมคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะคารวะประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นอาจารย์เป็นอิสระกว่า ไม่มีอะไรผูกมัด คัมภีร์และสมบัติล้ำค่าของรัฐเมฆทักษิณาข้าก็ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น ท่านคิดว่าเขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมข้าได้อย่างนั้นหรือ”

ราชันย์อนธการอมตะสีหน้าไม่น่ามองยิ่งขึ้นไปอีก

บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!

อิงซานเสวี่ยอิงผู้นี้กลับชาติมาจุติ ไม่สนใจประมุขรัฐเมฆทักษิณา ไม่แน่ว่าความรู้สึกผูกพันต่อตระกูลอิงซานก็มีจำกัด!

“ไม่มีประโยชน์หรอกขอรับ เมื่อครู่ข้าเกลี้ยกล่อมเขามาตลอด แต่แม้ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ กลับมิได้สอนอะไรเขาจริงๆ เลย ตอนนี้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก ข้าผูกมัดอะไรเขามิได้ และเกลี้ยกล่อมเขามิได้ด้วย” ประมุขรัฐเมฆทักษิณาถ่ายเสียงด้วยความร้อนรน “ทำอย่างไรดี ท่านอาจารย์ ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไรดี”

“เจ้าคนไร้ค่า” ราชันย์อนธการอมตะถ่ายเสียงพูดด้วยความโกรธเคืองหาใดเปรียบ ตามปกติแล้วเขาก็ยังไว้หน้าประมุขรัฐเมฆทักษิณาอยู่บ้าง บัดนี้เขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาแล้วจริงๆ

“ข้าอับจนหนทางจริงๆ ท่านอาจารย์!” ประมุขรัฐเมฆทักษิณากลับถ่ายเสียงพูดอย่างร้อนรน

เขาจงใจทำเพื่อขีดขอบเขตให้ชัดเจน

เพื่อป้องกันมิให้ตอนที่ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งขึ้นมา แล้วมาพาลลงมือกับรัฐเมฆทักษิณาไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นสิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกลงกับประมุขรัฐเมฆทักษิณาไว้อย่างดิบดีแล้ว

……

“ราชันย์อนธการ อย่าถ่วงเวลาอีกเลย ท่านจะถอยหรือไม่” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงตะคอก

“ถอยรึ ถอยอย่างไรเล่า ข้าแผดเผาวิญญาณแค้นขั้นสุดยอด และวางค่ายกลเพื่อการบูชาในครั้งนี้ แล้วข้าจะถอยได้อย่างไรกัน” ราชันย์อนธการอมตะจ้องตงป๋อเสวี่ยอิงเขม็งแล้วถ่ายเสียงตะโกนว่า “หากข้าถอยไป ก็จะเสียวิญญาณแค้นขั้นสุดยอดไปเปล่าๆ การบูชาล้มเหลว มิอาจสร้างจิตวิญญาณขึ้นมาได้ พลังชีวิตของศพนี้ก็จะค่อยๆ สลายหายไป แล้วคืนสู่ความตายดังเดิม น้ำทิพย์กลืนโลกาและสมบัติล้ำค่ามากมายที่ข้าเสียไป ก็จะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ สิ่งที่ข้าทุ่มเทไปเพื่อการบูชาในครั้งนี้ก็เปล่าประโยชน์แล้ว เจ้าจะให้ข้าถอยได้อย่างไรกันเล่า”

เขาทุ่มเทมากเกินไปแล้ว

หากครั้งนี้ล้มเหลวก็มีเพียงศพสิ่งมีชีวิตคละถิ่นเท่านั้นที่ยังคงสมบูรณ์ดี สมบัติล้ำค่าอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่เสียไปเปล่าๆ ทั้งสิ้น

คิดจะถวายสมบัติล้ำค่าเพื่อบูชาอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปถึงเมื่อใดแล้ว!

นอกจากนี้มีคนฟั่นเฟือนอย่างอิงซานเสวี่ยอิงอยู่ จะบูชาอีกครั้ง ก็คงต้องถูกทำลายเหมือนกันกระมัง!

“อิงซานเสวี่ยอิง เจ้าเดินไปตามทางของเจ้า ข้าเดินไปตามทางของข้า อย่าได้บีบบังคับข้าเลย” ผิวกายของราชันย์อนธการอมตะมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชน

“ข้าไม่ได้คิดจะบีบบังคับท่าน เป็นท่านต่างหากที่บีบบังคับให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนไร้หนทางจะเดิน” ตงป๋อเสวี่ยอิงชี้ไปทางวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ลอยค้างเติ่งอยู่รอบๆ วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็จับจ้องมาที่นี่เช่นกัน แต่ละตนล้วนตั้งตารอคอย “ท่านจะเดินไปตามทางของท่าน แต่กลับทำให้วิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนต้องสูญสิ้นไป นี่เป็นเส้นทางของมารร้าย ควรต้องทำลายเสีย”

“ในเมื่อท่านไม่ยอมถอยไปเอง เช่นนั้นข้าก็ได้แต่ต้องลงมือแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากตะคอกอย่างโกรธเคืองเป็นครั้งแรก

“เจ้ากล้ารึ!”

ราชันย์อนธการอมตะคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

ร่างกายของเขาราวกับความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด กลิ่นอายราวกับหอบม้วนฟ้าดินเอาไว้ ฝ่ามือทั้งคู่กลับมีเปลวเพลิงสีทองอันสะดุดตาแฝงเอาไว้ มันปกคลุมเข้ามาทันที

ยามนี้ รอบด้านราวกับตกเข้าสู่โลกแห่งความตายอันดำมืดก็มิปาน

ในโลกแห่งความตาย มีเปลวเพลิงสีทองอันน่าหวาดหวั่นอยู่…ทำให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความตาย

“น่ากลัวนัก เป็นพละกำลังที่น่ากลัวนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงสัมผัสได้แล้วว่าราชันย์อนธการอมตะผู้นี้แข็งแกร่งกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์อยู่ขุมใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

ครั้งนี้ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงมีน้ำวนปรากฏขึ้นมา แล้วพยายามแหวกหลุมดำทะมึนให้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง นี่ก็คือหนึ่งในศาสตร์การป้องกันและหลบหนีในบรรดาท่าไม้ตายของยุทธวิธีหิมะเหินของตงป๋อเสวี่ยอิง…‘รุดหนีหมื่นโลกา’ นั่นเอง!

แต่ครั้งนี้กลับล้มเหลวเสียแล้ว!

ภายใต้เปลวเพลิงสีทองที่ปกคลุมอยู่ ภายใต้แรงกดดันของโลกอันดำมืด น้ำวนเหนือผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แหลกสลายไปจนสิ้น ร่างกายของเขามิอาจพุ่งทะยานออกไปได้ ประสบกับพละกำลังอันไร้ที่สิ้นสุดโจมตีเข้าสู่ร่างกาย แม้เขาจะดิ้นรนต้านทานเอาไว้ แต่ก็ต้านทานได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น ร่างกายของเขาก็แหลกสลายหายไปจนสิ้นในที่สุด

แต่กระนั้น…

ก็ไร้ประโยชน์!

เมื่อเผชิญหน้ากับราชันย์อนธการอมตะ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตราย แม้แต่ดอกบัวเพลิงห้วงอากาศเขาก็ยังมิได้พกมาด้วย! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธเทพคละถิ่นอย่าง ‘หอกชิงเหอ’ เลย! เขาแค่เตรียมร่างแยกที่แข็งแกร่งร่างหนึ่งเอาไว้ก็เท่านั้นเอง เมื่อไม่มีสมบัติลับคอยช่วยเหลือ ร่างแยกก็มีพลังรบเพียงขั้นสุดยอดเท่านั้น ทางด้านการรักษาชีวิต การหลบหนีและด้านอื่นๆ เมื่อเทียบกับขั้นสุดยอดที่แท้จริงแล้วก็ยังห่างชั้นอยู่มากโข

ราชันย์อนธการอมตะจริงจังขึ้นมาก็สามารถสังหารร่างแยกร่างนี้ได้

“เอ๊ะ” สีหน้าของราชันย์อนธการอมตะเปลี่ยนแปรไป

สามารถทำลายขั้นสุดยอดคนหนึ่งได้ง่ายดายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นอกจากนี้ สมบัติลับอะไรก็ไม่เหลือทิ้งไว้เลยหรือ

“สวบ” “สวบ” “สวบ”…

ในยามนี้เอง

ภายในขอบเขตของทั้งสิบห้ารัฐ ต่างก็มีบุรุษชุดขาวคนแล้วคนเล่าปรากฏขึ้น ในพริบตาเดียวก็มีร่างแยกกว่าร้อยร่างกระจายตัวกันอยู่ตามบริเวณต่างๆ

“ไม่นะ” ราชันย์อนธการอมตะแตกตื่นเหลือแสน เขาถ่ายเสียงอย่างร้อนรนว่า “อิงซานเสวี่ยอิง ขอเพียงเจ้าไม่ทำลายการของข้า ทุกสิ่งก็สามารถพูดกันดีๆ ได้”

“ขอเพียงท่านไม่บูชา ทุกสิ่งข้าก็สามารถพูดด้วยดีๆ ได้”ร่างแยกนับร้อยร่างต่างก็เอ่ยปากขึ้น

“เป็นเจ้าที่ไม่ให้ทางข้าเดินเลย!” ราชันย์อนธการอมตะบ้าคลั่งไปแล้ว

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…

ร่างแยกกว่าร้อยร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงมีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ ที่แข็งแกร่งก็มีพลังขั้นสุดยอดอย่างสมบูรณ์ เมื่อปะทุออกมา อากาศก็ปริแตกออก ค่ายกลมหึมาที่วางเอาไว้ก็ถูกซัดกระจายไป แทบจะในพริบตาเดียว จุดหลักของค่ายกลในบริเวณกว่าสิบแห่งก็ถูกทำลายไป  ค่ายกลสีดำขนาดมหึมาซึ่งเดิมทีปกคลุมเหนือท้องฟ้าทั้งสิบห้ารัฐกลับกำลังสั่นสะท้าน เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงทำลายใจกลางอย่างต่อเนื่อง  ค่ายกลสีดำขนาดมหึมานั้นก็สลายหายไปในที่สุด

กลางท้องฟ้าเหนือรัฐทั้งสิบห้า ในที่สุดก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

ท้องฟ้าสว่างรำไร งดงามและเงียบสงบดังที่เคยเป็นมา

ส่วนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอยู่เหนือทั้งสิบห้ารัฐกลับดิ้นหลุดจากแรงพันธนาการนั้นจนสิ้น และกลับคืนสู่อิสรภาพกันถ้วนหน้า

“ถอยไป ถอยไป” วิญญาณแต่ละดวงรีบลอยไปทางกายหยาบของตนตามการสัมผัสรับรู้ในทันที

“ไม่ ไม่…”

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมือทำลายนั้น ราชันย์อนธการอมตะก็พยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง

แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างแยกของตงป๋อเสวี่ยอิงมีมากมายเกินไป!

“อิงซานเสวี่ยอิง!!!” ราชันย์อนธการอมตะแหงนหน้าคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

เสียงคำรามนี้

สะท้อนก้องไปนับล้านล้านลี้ ทำเอาสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา

ในยามนี้เอง บรรดาผู้แกร่งกล้าระดับยอดของดินแดนจิตโลกาจึงได้ล่วงรู้อย่างแท้จริงว่า คนวิถีจิตฟ้า…ก็คือจ้าวหิมะเหินแห่งรัฐเมฆทักษิณา ‘อิงซานเสวี่ยอิง’ นั่นเอง!

 ………………………………