ตอนที่ 1403 สนามรบแห่งใหม่ โดย Ink Stone_Fantasy
หลังจิตสำนึกเชื่อมต่ออีกครั้ง ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างก็กลับคืนมา
แต่สำหรับไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ นี่เป็นเรื่องที่มันเคยชินมานานแล้ว ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับศัตรูที่แห่กันเข้ามาเหมือนสายน้ำ หลังจากนั้นก็ตื่นขึ้นมาในบ่อละอองชีวิต นี่คือวิธีการใช้ชีวิตของมันมาแต่ไหนแต่ไร การเข้าใกล้ขีดจำกัดทุกๆ ครั้งทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น ส่วนความเจ็บปวดที่ต้องแลกมานี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน…
มันมองดูละอองชีวิตที่คละคลุ้งอยู่ตรงหน้า ภายในหัวยังคงนึกถึงความรู้สึกในตอนที่ตื่นขึ้นมาอยู่
คิดไปเองงั้นเหรอ?
เมื่อครู่นี้โลกแห่งจิตสำนึกเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา
ถ้าไม่เป็นเพราะมันอยู่ใต้หอคอยแห่งการให้กำเนิดพอดี แล้วก็ยังอยู่ในสภาพฟื้นตัวแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น เกรงว่ามันคงจะยากที่จะรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดนี้ได้
ซึ่งการกระเพื่อมแบบนี้มีให้เห็นไม่บ่อยนัก ผู้ที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมแบบนี้เมื่อครั้งที่แล้วก็คืออุรูคผู้เป็นแม่ทัพอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์
นั่นหมายความว่า…มีราชาตายไปอีกตน
ทางเหนือเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ตัวเองคิดไปเองหรือว่าการกระเพื่อมนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ?
ไม่ได้ มันต้องไปถามนาซเพลเรื่องนี้ แล้วก็ถามด้วยว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไรกับสถานการณ์ทางตะวันตกเป็นอย่างไรบ้าง
ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์สะกดความเจ็บปวดแล้วลุกขึ้นมาจากบ่อละอองชีวิต ก่อนจะชะลอฝีเท้าลงในตอนที่เดินผ่านร่างของวัลคีรีย์ — ถึงแม้สกายลอร์ดจะคิดว่าการเอาร่างของไนท์แมร์ไปไว้ที่เมืองสกายก็ปลอดภัยเหมือนกัน แต่มันยังคงยืนยันที่จะเอาร่างอีกฝ่ายไว้บนพระผู้สร้าง นอกจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัยแล้ว มันยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
แบบนี้แล้ว ขอเพียงมันไม่ได้ลงไปอยู่ในสนามรบ มันก็จะสามารถอยู่ข้างกายอีกฝ่ายแบบนี้ไปตลอด
“วางใจได้ ข้าจะต้องเอาหัวของมันมาให้เข้าแน่นอน”
ไซเลน์พูดเสียงเบาๆ
มันจำหน้าของมนุษย์ตัวผู้ที่เจอในดินแดนของพระเจ้าคนนั้นได้แม่น
คนๆ นี้คือต้นเหตุที่ทำให้ไนท์แมร์ต้องหลงทางอยู่ในโลกแห่งจิตสำนึก
มีแต่ต้องฆ่าคนๆ ด้วยตัวเอง ถึงจะทำให้วัลคีรีย์ได้รับความสงบอย่างแท้จริง
…..
ในลานทดลอง ไซเลน์ดิสแอสเตอร์มาหานาซเพล
“ฟื้นตัวเร็วมากนี่นา” อีกฝ่ายพูดอย่างแปลกใจ “ความเร็วในการฟื้นตัวนี้ ต่อให้อยู่ในหมู่ราชาก็ถือว่าหาได้ยากมาก…บางครั้งข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าถ้าเอาเจ้าไปรวมร่างเข้ากับร่างซิมไบออนท์ มันจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบไหน”
“….” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่อยากจะสนใจคำพูดไร้สาระของมัน “ข้าอยู่ในบ่อละอองชีวิตมานานเท่าไร?”
“ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้พระผู้สร้างได้เข้ามาในอาณาจักรดอว์นแล้ว ข้าไม่ได้เห็นสีหน้าท่าทางที่แตกตื่นลนลานของพวกแมลง ข้าแค่ยิงลองสเปียร์ออกไปไม่กี่แท่งก็ทำให้เมืองของพวกมันพังพินาศได้แล้ว” นาซเพลหัวเราะชั่วร้ายออกมาอีกครั้ง “เปลวไฟ เหยียบย่ำ กรีดร้อง หวาดกลัว…นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่พวกแมลงควรจะเป็น!”
“ช่วงนี้เฮคซอดได้ติดต่อเจ้ามาบ้างไหม?”
“มันบอกว่ามันจะไปตรวจดูซีคลาวด์โรดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งของสันหลังของทวีปไม่ใช่เหรอ? ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นฝ่ายติดต่อข้ามาหรอกนะ” เดอะแมสก์พูดพร้อมส่ายหัวของมัน “บอกตามตรง นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่มันควรจะทำ ตำแหน่งแม่ทัพตะวันตกอะไรนั้นไม่ได้เหมาะกับมันเลย จักรพรรดิแค่ไม่อยากให้ความแข็งแกร่งของกองทัพในการทำศึกแบบซึ่งๆ หน้าลดลงเท่านั้น ถึงได้ให้สกายลอร์ดรับผิดชอบในการทำศึกตะวันตก แต่สุดท้ายก็ยังต้องให้ข้านาซเพลมาเก็บกวาดอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
ไซเลนท์ตกใจขึ้นมาทันที
ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ บวกกับตอนที่ตัวเองออกเดินทางก่อนสลบไป นั่นมันก็สองอาทิตย์กว่าแล้ว ต่อให้ระยะทางจากสันหลังของทวีปมาถึงที่นี่จะค่อนข้างไกล แต่สำหรับเฮคซอดแล้ว เวลาเท่านี้เพียงพอที่จะให้มันไปกลับได้ 2 – 3 ครั้งเลย
“ตามข้าไปที่หอคอยแห่งการให้กำเนิด” ไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ไม่ลังเลอีกต่อไป “ข้าต้องพบจักรพรรดิ”
ตอนนี้อาการบาดเจ็บของมันยังไม่หายดี มันจำเป็นต้องยืมพลังของผู้ควบคุมพระผู้สร้างถึงจะสามารถเชื่อมต่อทางจิตสำนึกกับจักรพรรดิได้จากระยะนี้
ในเวลานี้นาซเพลก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติเช่นเดียวกัน “เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“โลกแห่งจิตสำนึกเกิดการกระเพื่อมขึ้นมา” ไซเลนท์พูดออกมาตรงๆ
“เอ่อ…เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ค่อยถนัดเรื่องของที่ัจับต้องไม่ได้พวกนั้น”
“ข้าถึงต้องติดต่อจักรพรรดิไง ถ้านั่นเป็นแค่ความรู้สึกที่คิดไปเอง จักรพรรดิจะต้องรู้ความหมายของการกระเพื่อมนั้นดีกว่าข้าแน่นอน” ไซเลนท์ตอบ
บนยอดหอคอยแห่งการให้กำเนิด นาซเพลวางมือลงไปบนตัวหอคอยพร้อมเริ่มตั้งสมาธิรวบรวมพลังเวทมนตร์ พรสวรรค์ของราชาแต่ละตัวนั้นไม่เหมือนกัน มีทั้งราชาที่ยอดเยี่ยมอย่างวัลคีรีย์ที่สามารถเข้าไปยังส่วนลึกของโลกแห่งจิตสำนึกได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วก็มีพวกที่โง่จนเกือบจะตาบอดเหมือนอย่างเดอะแมสก์ที่ถ้าไม่ยอมพลังจากหอคอยแห่งการให้กำเนิดก็แทบจะไม่สามารถเชื่อมต่อกับโลกแห่งจิตสำนึกได้
ไซเลนท์อดทนรออยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ยินเสียงตอบของอีกฝ่าย
“เกิดอะไรขึ้น” มันขมวดคิ้วขึ้นมา “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
ถ้าไม่เป็นเพราะรู้สึกร้อนใจ ปกติมันไม่มีทางที่จะถามคำถามออกมาเยอะแยะขนาดนี้
แต่นาซเพลหันหน้ากลับมา น้ำเสียงฟังดูตกใจอย่างมาก
“ไม่มี….”
“อะไรไม่มี?”
“หอเจ้าชีวิต ข้าหาร่องรอยของจักรพรรดิไม่เจอแล้ว”
ไซเลนท์ตกตะลึงไปทันที
จักรพรรดิคือศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์ หอคอยเจ้าชีวิตเป็นเหมือนหอประภาคารกลางทะเลอันกว้างใหญ่ ตอนนี้สูญเสียตัวนำทางไป ก็หมายความว่าพวกมันจะไม่สามารถติดต่อกับแบล็คสโตนได้ชั่วคราว
จักรพรรดินั้นไม่มีทางเป็นอะไรแน่นอน ไม่อย่างไรคงจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นจนปีศาจทุกตัวรู้สึกได้
ปัญหาเพียงหนึ่งเดีวก็คือมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้จักรพรรดิปิดดินแดนจิตสำนึก?
เห็นได้ชัดว่าก่อนที่หอคอยเจ้าชีวิตจะกลับมาอีกครั้ง มันไม่มีทางรู้คำตอบแน่
…..
อาณาจักรดอว์น ปราสาทเมืองกลอรี
“นั่นคือพระผู้สร้าง…” โรแลนด์ที่ยืนอยู่ชั้นบนของปราสาทมองไปทางเงาที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจากขอบฟ้าพร้อมพูดเสียงเบาๆ
ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในตอนที่ได้เห็นมันด้วยตาจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกตกตะลึงอยู่ดี
นี่ไม่ใช่สเปเชี่ยลเอฟเฟคที่อยู่ในภาพยนตร์ หากแต่เป็นของจริง แผ่นดินลอยฟ้าที่ใหญ่ถึงขนาดใส่เมืองเนเวอร์วินเทอร์และลองซองเข้าไปได้ เพียงแค่มองดูไกลๆ ก็ทำให้รู้สึกตกตะลึงได้แล้ว ถ้าหากติดโครงเหล็กและท่อไอน้ำเข้าไปตรงหินสีดำพวกนั้น นั่นจะยิ่งทำให้เหมือนของที่สร้างออกมาจากความฝันเลย
มิน่าปีศาจระดับสูงถึงได้มั่นใจนัก
ไนติงเกลขยับเข้ามาใกล้เขาด้วยสีหน้าระแวดระวังอย่างมาก
“วางใจได้” โรแลนด์พูดอย่างจนปัญญา “แค่ดูอยู่ไกลๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรอันตรายหรอก”
“อยู่ในต่างแดนมันก็หมายถึงความเสี่ยงแล้วเพคะ” ไนติงเกลพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หม่อมฉันสามารถตรวจสอบคนแปลกหน้าทุกคนที่เข้ามาในปราสาทเนเวอร์วินเทอร์ได้ แต่หม่อมฉันไม่สามารถตรวจสอบขุนนางทุกคนในอาณาจักรดอว์นได้เพคะ ทำไมพระองค์ต้องเสด็จมาที่แนวหน้าด้วยเพคะ?”
“เพราะสถานการณ์ในตอนนี้มันทำให้ข้ารออยู่เฉยที่ดินแดนตะวันตกไม่ได้แล้วน่ะสิ” โรแลนด์ส่ายหัว กองทัพที่หนึ่งล้มเหลวเป็นครั้งแรก จู่ๆ พระผู้สร้างก็เปลี่ยนทิศทางไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีส ความตื่นตระหนกที่เป็นเหมือนโรคระบาดแพร่กระจายไปในอาณาจักรเพื่อนบ้าน ข่าวที่ถูกส่งกลับมาเหล่านี้ทำให้เขาตัดสินใจ เขาจำเป็นต้องก้าวออกมา เพื่อปลุกขวัญและกำลังใจของกองทัพที่หนึ่ง และรักษาความเชื่อมั่นของอาณาจักรดอว์นที่เป็นพันธมิตร ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ไม่ว่าจะเป็นเบื้องหลังอารยธรรมไหน นี่เป็นวิธีการให้กำลังใจที่ง่ายและได้ผลมากที่สุด
จากนั้นเขาก็มองไปทางฮอว์ฟอร์ด ควินท์ “เสนาบดีของเจ้าน่าจะมากันครบแล้วใช่ไหม?”
“พวกเขารออยู่ในห้องประชุมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก เดี๋ยวพวกเราไปคุยกันดีกว่า…ว่าหลังจากนี้ควรทำยังไง”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” ผู้นำแห่งดอว์นยกมือขึ้นมาทาบที่อก
…………………………………………………………..