“เจ้านี่มัน……บ้าจริงๆ……” ฉินเกอส่ายหัวและมองไปที่จวินอู๋เสีย เวลาห้าปีที่เขาเฝ้าดูนางก้าวไปทีละก้าวผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จากตอนแรกที่ไม่สนใจ ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้กับความดื้อรั้นของผู้หญิงคนนี้ เพื่อที่จะได้แก้แค้นแล้ว คนๆนี้ไม่กลัวอะไรเลยหรือ?
“ไม่ใช่ว่าข้าจะตายแน่ๆสักหน่อย” จวินอู๋เสียหอบหายใจเบาๆ
“ใช่สิ มีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายก็ไม่ได้เรียกว่าตายนี่นะ…….” หลงจิ่วพึมพำเบาๆจากด้านข้าง เขาเป็นผู้ชายตัวโตร่างกำยำอกสามศอก ยังรู้สึกทนไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นจวินอู๋เสียเจ็บปวดทรมานราวกับตายทั้งเป็น นับประสาอะไรกับจวินอู๋เสียที่ต้องทนทุกอย่าง?
“ถ้าเจ้ายังอยากฝึกต่อ มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ ข้ากับหลงจิ่วออกมาหลายปีแล้ว ที่นี่เราไม่สามารถดูดซับพลังแห่งจิตวิญญาณได้ ส่วนที่สามารถระงับได้ก็น้อยลงเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามีโลกวิญญาณอยู่ในอาณาจักรล่างใช่ไหม? ถึงจะเทียบกับดินแดนแห่งวิญญาณไม่ได้ แต่ถ้าพวกเราสามารถเข้าไปในโลกวิญญาณได้และได้ฟื้นพลังแห่งจิตวิญญาณกลับมาบ้างก็คงจะดี แน่นอนว่าถ้าเจ้าสามารถเข้าไปฝึกที่นั่นได้ มันก็จะช่วยเจ้าได้เยอะทีเดียว” ฉินเกอถอนหายใจ ในใจมีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ถ้าอยากจะได้เมล็ดของต้นวิญญาณกลับไปโดยเร็วที่สุด เขาควรปกปิดทุกอย่างไว้ จวินอู๋เสียก็จะทนอยู่ได้ระยะหนึ่ง ถ้านางยังคงฝึกต่อไปแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าร่างนางจะระเบิดเมื่อไร แต่ถ้าสามารถฝึกในสถานะวิญญาณได้ ก็อาจจะทำให้สภาวะของนางมั่นคงขึ้นได้ แต่ความตายของนางก็จะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด……
พอพูดจบ ฉินเกอก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างเริ่มส่งผลต่อการตัดสินใจของเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย “ใช่ๆ! เหล่าอู่พูดมีเหตุผล เจ้าไปที่โลกวิญญาณกับพวกเราดีไหม? เจ้าจะได้ทรมานน้อยลง” หลงจิ่วเป็นคนตรงไปตรงมาไม่มีไหวพริบใดๆ เขารู้สึกว่าจวินอู๋เสียเป็นคนดี และไม่อยากเห็นนางทรมานตลอดเวลา ในเมื่ออายุขัยของต้นวิญญาณนั้นไม่มีขีดจำกัด ก็ให้จวินอู๋เสียมีชีวิตอยู่สัก 180 ปีค่อยเอาเมล็ดตอนนั้นก็ได้
จวินอู๋เสียมองฉินเกอและหลงจิ่งอย่างตะลึงเล็กน้อย ข้อเสนอของทั้งสองคนเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ของพวกเขา
“เราแค่อยากได้เมล็ดต้นวิญญาณคืน ไม่ได้อยากทำร้ายใคร” ฉินเกอหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือ
จวินอู๋เสียมองไปที่ฉินเกอ ทำเอาฉินเกอหลบตาไปอย่างเก้อเขิน
ทว่าหลงจิ่วไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย เขาพยายามยุยงส่งเสริมอย่างเต็มที่ให้จวินอู๋เสียไปฝึกฝนในโลกวิญญาณ ความเจ็บปวดของนางจะได้ลดลง “ไปกันเถอะ” สัตว์อสูรสีดำเอาตัวถูไถหลังมือของจวินอู๋เสีย นอกจากฉินเกอและหลงจิ่ว ก็มีเพียงมันกับเจ้าโง่สองตัวนั้นที่ได้เห็นความเจ็บปวดของจวินอู๋เสีย สัตว์อสูรสีดำรู้ถึงระดับความอดทนต่อความเจ็บปวดของจวินอู๋เสียดีกว่าใคร ความเจ็บปวดที่ขนาดนางยังทนไม่ได้……มันไม่อยากจะจินตนาการเลย
จวินอู๋เสียคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายนางก็พยักหน้า
ถ้ามีโอกาสรอด ใครบ้างจะอยากตาย?
“งั้นวันนี้เจ้าพักผ่อนเถอะ จำคำแนะนำของปู่เจ้าไว้ พักผ่อนให้เยอะๆ หยุดฝึกจนกว่าจะไปที่โลกวิญญาณแล้วกลับคืนสู่ร่างวิญญาณ ยังมีเวลาฝึกอีกเยอะ ไม่ต้องรีบร้อน” ฉินเกออดเตือนไม่ได้ เขากลัวว่าจวินอู๋เสียจะฝึกแบบไม่คิดถึงชีวิตตัวเองอีก
“ได้” จวินอู๋เสียตอบ นางรู้สึกขอบคุณฉินเกอและหลงจิ่วอยู่ในใจ พวกเขามองดูอยู่ห่างๆอย่างเฉยชาเหมือนซือถูเหิงก็ได้ แต่พวกเขาก็ยังเต็มใจยื่นมือมาช่วยนาง ไม่ว่าเจตนาแรกเริ่มของพวกเขาคืออะไร จวินอู๋เสียก็จดจำเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
ถ้าวันหน้ามีโอกาส นางจะต้องตอบแทนน้ำใจของพวกเขาอย่างแน่นอน