บทที่ 107 การต่อสู้ในแดนความฝัน
ฝันวิญญาณหลุดคือแดนความฝันประเภทโจมตี ใครที่ติดอยู่ในแดนแห่งนี้จะถูกสิ่งมีชีวิตแห่งฝันโจมตี
อย่างที่เคยกล่าวไป แม้จะตาย แต่ก็จะเสียพลังจิตไปเพียงส่วนหนึ่ง ไม่กระทบอะไรมาก
หลี่ต้าวหงต้องเล่นอุบายนี้เพราะระยะห่างของเขากับซูเฉินมีมากเกินไปนั่นเอง
แม้สายเลือดนิมิตลาวัณย์จะใช้ระยะไกลได้ แต่ยิ่งไกลก็ยิ่งเป็นภาระมาก ในเมื่อยังตะวันขึ้นอยู่ ซูเฉินจึงยังลืมตาตื่น หลี่ต้าวหงต้องบังคับลากอีกฝ่ายเข้าสู่แดนความฝัน
สถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้ทำให้หลี่ต้าวหงไม่อาจใช้สายเลือดนิมิตลาวัณย์อย่างเต็มกำลังได้ โชคดีที่เขาแค่จะถ่วงเวลาเล็กน้อย จึงใช้วิธีเรียบง่ายที่สุดและกระด้างที่สุดเพื่อโจมตี แม้ม็ฝันวิญญาณหลุดจะเป็นวิชาสายเลือดนิมิตลาวัณย์ที่อ่อนแอ แต่ก็ใช้พลังและมีข้อจำกัดน้อยที่สุด เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้หลี่ต้าวหงสามารถดึงซูเฉินเข้าแดนความฝันได้ทันที
ซูเฉินเห็นฝันร้ายที่รุกล้ำเข้ามาก็ยินดีนัก
ใช้แดนความฝันกับข้างั้นหรือ ?
หลี่ต้าวหง เจ้านี่กระตือรือร้นจริง ๆ!
สายเลือดนิมิตลาวัณย์มีพลังน่าดูชมพอตัว
แต่น่าเสียดายที่ขึ้นชื่อมากไปหน่อย
ตระกูลมีมานานนับหมื่นปี จึงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ดังนั้นข้อมูลทั้งหลายจึงรู้กันทั่วไป
ผู้คนต่างเข้าใจถึงความลึกซึ้งของสายเลือดนิมิตลาวัณย์มานานนม ดังนั้นจึงมีวิธีรับมือมากมายหลายอย่าง
สายเลือดนิมิตลาวัณย์ทรงพลังมาก สร้างฝันร้ายได้ไม่จำกัด
ทว่าฝันร้ายเหล่านี้สร้างจากพลังจิต ใช้การโจมตีจิตทำลายได้ ซูเฉินจึงสามารถทำลายมันได้
ด้วยเหตุนี้ การรับมือกับวิชาสายเลือดนิมิตลาวัณย์ก็คือพลังจิตนั่นเอง
การต่อสู้ในแดนความฝันก็ใช้เพียงแค่พลังจิต
ตระกูลหลี่เตือนคนในตระกูลเคร่งครัดนักว่าอย่าได้ลากคนที่พลังจิตกล้าแข็งเข้าแดนความฝัน เพราะจะเกิดปัญหาได้
พลังจิตหลี่ต้าวหงย่อมทรงพลัง เมื่อได้มันสมองของข้ารับใช้หลวงและเครื่องมือต้นกำเนิดประเภทพลังจิตเข้าช่วย ก็มีมากถึง 1,200 หน่วย ซึ่งก็สูงกว่าคนอื่นมากอยู่แล้ว
เขาคงคิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่มีพื้นฐานพลังเท่ากันที่จะมีพลังจิตแกร่งกว่าเขาได้
นับว่าเตะถูกกำแพงเหล็กเข้าโดยไม่รู้ตน
แม้ไร้อุปกรณ์ พลังจิตของซูเฉินก็มีสูงถึง 2,000 หน่วยแล้ว หากมีก็จะสูงเป็น 3,000 หน่วย หลี่ต้าวหงไม่อาจเทียบชั้นได้เลย
ใช้แดนความฝันกับเขา โดยเฉพาะฝันวิญญาณหลุดเช่นนี้ ผลลัพธ์ออกมาได้ทางเดียวเท่านั้น
ดังนั้น หลังจากมั่นใจแล้วว่าหลี่ต้าวหงลากเขาเข้าฝันวิญญาณหลุด ซูเฉินก็วางใจขึ้นมากทันที
เมื่อเฝ้ามองฝันร้ายรวมกลุ่มกันรอบกาย ซูเฉินก็ไม่ทำอะไร ปล่อยให้พวกมันโจมตีเขา เปิดใช้เพียงวิชากำแพงใจเท่านั้น
เห็นซูเฉินไม่ตอบโต้ ตัวฝันร้ายก็ขู่ฝ่อคำรามลั่น วิ่งเข้ามาหมายจะฉีกร่างเขา
แม้จะเป็นแดนความฝัน แต่ความเจ็บปวดจากการถูกกรงเล็บเฉือนก็สมจริงมาก
น่าเสียดายที่ตัวฝันร้ายพวกนี้อ่อนแอเกินไป กรงเล็บทำได้แค่ครูดกับผิวหนังเขาเท่านั้น
ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าตัวฝันร้ายโจมตีไม่รุนแรง แต่เพราะพลังจิตซูเฉินแกร่งเกินต่างหาก
ในแดนความฝัน พลังจิตเป็นเหมือนพลังชีวิต พลังชีวิตของตัวฝันร้ายมีราว 20 หน่วย ส่วนของเขามี 3,000 หน่วย ตัวฝันร้ายอาจฉีกเนื้อคนส่วนมากได้ แต่อย่างไรก็อ่อนแอกว่าซูเฉิน เมื่อมีพลังป้องกันจากกำแพงใจ การโจมตีของพวกมันก็แทบสร้างรอยขีดข่วนไม่ได้ด้วยซ้ำ และหากเกิดแผล บาดแผลก็จะหายไปในทันที
หลี่ต้าวหงมึนงงนัก
“เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมถึงโจมตีไร้ผลเล่า ?” หลี่ต้าวหงไม่เข้าใจ
แม้จะเป็นฝ่ายดึงซูเฉินเข้าแดนความฝัน แต่เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายคุมสถานการณ์โดยสมบูรณ์
แม้จะดึงศัตรูเข้าแดนความฝันได้ แต่แดนความฝันก็เป็นของศัตรูเช่นกัน มีความได้เปรียบของการเป็นเจ้าของบ้าน แต่เพราะส่วนมากไม่รู้เรื่องแดนความฝัน จึงทำให้หลี่ต้าวหงได้เปรียบอยู่ฝ่ายเดียว ทำอะไรใน ‘บ้าน’ ฝ่ายตรงข้ามได้ตามใจชอบ แต่เขาไม่มีทางคุมเป้าหมายอย่างซูเฉินที่มีพลังจิตเหนือชั้นกว่าเขาได้ ดังนั้นหลี่ต้าวหงจึงได้แต่ลงมือตามที่แดนความฝันตอบสนองกลับมาเท่านั้น
แต่ในตอนที่กำลังคุมตัวฝันร้าย การตอบสนองเดียวก็คือพวกมันกำลังโจมตีเป้าหมายอยู่
ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะจบลงเลย
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
หลี่ต้าวหงเคยพบผลลัพธ์แค่ 2 แบบเท่านั้น หากไม่เอาชนะได้ สังหารศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เป็นตัวฝันร้ายถูกศัตรูจัดการ โดยหลี่ต้าวหงจะเลือกรุกหรือถอยก็ได้
ไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้มาก่อน
เหตุใดการโจมตีจึงไม่เกิดผลอะไรเลยเล่า ?
เขาไม่อาจเข้าใจ
แต่นอกจากฝันร้ายแรกที่ถูกโต้กลับมาได้แล้ว ฝันร้ายที่เหลือก็ยังอยู่ดี ดังนั้นเขาจึงลงมือโจมตีต่อไป
ซึ่งนับว่าไม่แปลกที่หลี่ต้าวหงจะทำเช่นนี้
เขาเริ่มรวมพลังจิตมากขึ้นเพื่อสร้างฝันร้ายให้มากขึ้น
กระนั้นฝันร้ายที่มากขึ้นก็ไร้ผลใด
หลี่ต้าวหงฉงนเป็นอย่างมาก
ก็ได้ เช่นนั้นสร้างอีกสักระลอกแล้วกัน
เขาใช้พลังจิตไปเรื่อย หมายเอาชนะศัตรูในคราเดียว แต่ศัตรูเขาราวกับเป็นอากาศ ไม่ว่าฝันร้ายจะเงื้อกรงเล็บตวัดใส่อย่างไรก็ไม่ตายสักที
ถึงตอนนี้ซูเฉินก็ถูกฝันร้ายนับร้อยเข้าล้อมรอบโจมตีแล้ว
เขาไม่ใส่ใจ มองดูฝันร้ายเข้าโจมตีแล้วเฝ้าสังเกตความลับแห่งแดนความฝันแทน
ใช่แล้ว นี่เป็นนิสัยไปแล้ว หากสถานการณ์เอื้ออำนวย ซูเฉินก็จะลองคิดวิเคราะห์ดู ไม่แน่ว่าอาจได้ค้นพบอะไรไว้ใช้ในกาลข้างหน้าก็เป็นได้
วิชาฝันนั้นหาพบได้ยาก นับว่าต่างจากแดนมายาในบางมุม แต่ยังผลคล้ายกัน ทว่าวิชามายานั้นมีประโยชน์ในโลกจริง ส่วนวิชาฝันใช้ได้เพียงในแดนความฝัน
วิชาสรรพสิ่งลวงตาของเขาไม่อาจใช้ได้ที่นี่ แต่ประสบการณ์หลากหลายของเขาก็มีประโยชน์
นั่นคือประสบการณ์เรื่องแดนฝัน
แดนฝันเองเป็นแดนความฝันแห่งหนึ่ง แต่มันเป็นแดนของเจ้าแดนฝันและภูติแดนฝันทั้งหลายที่ใช้มันร่วมกัน
ดังนั้นแดนฝันจึงมีขนาดใหญ่และสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกได้มากมายในคราเดียวผ่านข่ายฝัน
เทียบกันแล้ว แดนความฝันที่ซูเฉินอยู่ในตอนนี้นับว่าเล็ก ทั้งในด้านพื้นที่และสภาพแวดล้อมภายใน
กระนั้นความคล้ายคลึงกันก็ทำให้ความเข้าใจของซูเฉินลึกล้ำขึ้น
นั่นก็เพราะเขาคือราชันแห่งฝันอย่างไรล่ะ !
ใครก็ตามที่เข้าแดนฝันจะนับเป็นแขก ทว่าแขกแต่ละคนก็มีสิทธิ์แตกต่าง โดยมีแขกแดนฝัน เจ้าหน้าที่แห่งฝัน และราชันแห่งฝัน เป็นตัวกำหนดสิทธิพิเศษ
ในฐานะราชันแห่งฝัน ซูเฉินมีสิทธิ์พิเศษในแดนฝันมากมาย สามารถข่มป้ายประกาศคนอื่น ๆ และดันป้ายประกาศตนเองขึ้นแทนได้ ได้หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี อีกทั้งยังสร้างบ้านในแดนฝันได้อีก จ่ายสักหน่อยก็ติดป้ายประกาศไม่จำกัดจำนวนได้ด้วย
แน่นอนว่าการข่มป้ายประกาศคนอื่น ๆ และดันป้ายประกาศตนเองขึ้นแทนได้นั้นสำคัญกว่าการสร้างบ้านตามใจตนเองเป็นไหน ๆ
แต่อย่างหลังจะสำคัญขึ้นมาทันทีเมื่อเกี่ยวกับเรื่องการช่วยให้เข้าใจแดนความฝัน
แม้ว่าสิทธิพิเศษอย่างแรกจะสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงการเปรียบเทียบสิทธิพิเศษระหว่างแขกคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง แขกคนหนึ่งสามารถกดขี่แขกอีกคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ถูกลงโทษอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้ทำให้แขกผู้นั้นเข้าใจแดนความฝันหรือปรับเปลี่ยนมันตามใจชอบได้
กลับกันแล้ว การสร้างเรือนในแดนฝันและการส่งข้อมูลไร้จำกัดนั้นเกี่ยวกับการใช้แดนฝันทั้งสิ้น เป็นสิทธิ์ที่มีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ
ดังนั้นความเข้าใจของเรื่องแดนความฝันของซูเฉินจึงลึกล้ำกว่าใคร
อีกทั้งเขายังเป็นปราชญ์ชาญโลก ความสามารถด้านการวิจัยอาจเหนือกว่ามนุษย์หน้าไหนในใต้หล้าด้วยซ้ำ ซึ่งช่วยทำให้เข้าใจแดนความฝันมากขึ้น ทว่าในอดีตเขาขาดการเปรียบเทียบ ตอนนี้ถูกดึงเข้าแดนความฝันขนาดเล็กเข้า จึงสามารถใช้ประสบการณ์ของตนเปรียบเทียบกันได้ทันที
และเพราะแดนความฝันแห่งนี้มีขนาดเล็ก ซูเฉินจึงวิเคราะห์โครงสร้างของมันได้ง่ายดาย
ซูเฉินเหลือบมองฝันร้ายที่ร้องคำรามแล้วพุ่งเข้าใส่เขาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ
เขารู้สึกราวกับตนสามารถคุมฝันร้ายเหล่านี้ได้
เขาอธิบายไม่ถูก แต่มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดมาก่อน
แต่เมื่อลองดู ก็พบว่าไม่อาจทำได้
เพราะไม่รู้วิธี
“นี่มันปัญหาด้านวิชาหรือ ? วิชาฝัน… ในเมื่อเป็นวิชา อย่างไรก็ต้องมีหลักการสำคัญ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยเรียนมาสักวิชา จึงไม่รู้ว่าควรเริ่มตรงไหน แต่… ข้ารู้ว่านี่คือแดนความฝันของข้า !” ซูเฉินพึมพำ
นี่คือแดนความฝันของข้า !
เจ้าเป็นแขกของที่นี่ แต่ข้าเป็นนายของสถานที่แห่งนี้ !
ศัตรูมาเยือนถึงเรือน หมายจะกระเทือนจิตเขา ปรับความทรงจำ ลักลอบแทรกความคิด ควบคุมอารมณ์ของเขา
แต่มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ?
ใช้พลังจิตอันกล้าแกร่งของเขาแล้ว เขาก็รู้ดีกว่าศัตรูคนอื่น ๆ ของหลี่ต้าวหง
และด้วยความรู้ดีนี้ เขาจึงสามารถเฝ้าสังเกตฝันร้ายเหล่านี้ได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่ความสามารถของเขาจะไร้ประโยชน์ในแดนความฝัน
แต่ในขณะที่เขาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย ดวงตาของเขาเริ่มเรืองแสงเป็นประกายระยับ
เนตรมองโลกจุลภาค !
เนตรมองโลกจุลภาคเผยให้เห็นแก่นแท้ของแดนความฝัน
ภายในแดนความฝัน ความสามารถทั้งหลายล้วนไร้ประโยชน์ !
ภายในแดนความฝัน ความสามารถทั้งหลายล้วนมีประโยชน์ !
ความคิดขัดแย้งกันพลันเกิดขึ้นในแดนความฝันแห่งนี้
หากไม่เข้าใจหลักการ ก็ใช้สิ่งใดไม่ได้ แต่หากเข้าใจ ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้
ซูเฉินไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในสภาพเช่นไร เขาทำได้แต่สังเกตรอบกายตนเท่านั้น เฝ้ามองฝันร้ายเหล่านั้นไป
ซูเฉินเริ่มมองเห็นเส้นบาง ๆ ที่เชื่อมพวกมันเข้ากับบางอย่าง
เส้นสายพลังจิต
เป็นเส้นสายพลังจิตที่เป็นแหล่งพลังงานของฝันร้ายที่อาละวาดอยู่ในแดนความฝันแห่งนี้
เขาเปิดใช้ผลึกวิญญาณอย่างบ้าคลั่งและพยายามจดจำภาพทั้งหมดเอาไว้ สังเกตทุกสิ่งอย่างที่ได้พบ
จากนั้นก็เอ่ยเสียงเบาขึ้น “สะบั้น !”
เปรี๊ยะ ๆๆ!
เส้นสายพลังจิตที่เชื่อมกับฝันร้ายล้วนขาดสะบั้น
บนเมฆก้อนหนึ่งที่อยู่ไกลลิบ หลี่ต้าวหงพลันร้องลั่น นัยน์ตาเลื่อนกลับเข้าเบ้า ก่อนจะล้มหน้าคว่ำลงไป