ภาคที่ 5 บทที่ 108 นิมิตไร้แจ้ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 108 นิมิตไร้แจ้ง

“ต้าวหง !” เยี่ยเสิ่นหยางร้องลั่นแล้วประคองร่างหลี่ต้าวหงขึ้นมา

หลี่ต้าวหงนั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบหน้าบื้อออกมา “อ่า”

“เกิดอะไรขึ้น ?” เยี่ยเสิ่นหยางถาม

เกิดอะไรขึ้นหรือ ?

หลี่ต้าวหงอ้าปากหลายครั้ง แต่ไม่รู้จะเอ่ยคำใด

เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลย

เขากำลังสร้างตัวฝันร้ายจำนวนมากและส่งไปโจมตีอีกฝ่าย เป็นตอนนั้นที่การเชื่อมต่อจิตถูกสะบั้น

มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่เพราะการสร้างฝันร้ายใช้พลังมากพอสมควร

และตอนนี้เขาก็เสียพลังงานจิตให้ศัตรูไปมาก ส่งผลต่อเขาพอสมควร ทำให้พลังจิตเริ่มลดน้อยถอยลง

เกิดอะไรขึ้น ?

หลี่ต้าวหงห่วงหน้าตาตนมาก ก่อนจะรู้ว่าเกิดอะไร อย่างไรก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนเสียพลังจิตให้อีกฝ่ายไปแน่

คิดครู่หนึ่งแล้วเขาก็กะพริบตาตอบ “เปล่า ข้าจะลองอีกครั้ง”

เขาเข้าแดนความฝันอีกครั้ง

ครั้งนี้ดึงซูเฉินเข้าไปได้รวดเร็วกว่าเดิมอีก

นั่นเพราะซูเฉินยังไม่หลุดออกจากแดนความฝัน

ซึ่งไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่ไม่อยากทำมากกว่า

พอสะบั้นจิตหลี่ต้าวหงแล้ว ฝันร้ายที่เหลือก็ไม่ถูกควบคุมอีก เขาจึงเปลี่ยนมันกลับเป็นพลังจิตแค่เพียงคิดแล้วดึงมาใช้เสีย

“หือ ?” ซูเฉินเห็นพลังงานจิตตนสูงขึ้นก็ประหลาดใจ

แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นอนาคตอันน่าตื่นเต้นไม่ใช่น้อย ไม่แน่ว่าต่อไปอาจทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มพลังจิตอีกได้

สำคัญกว่านั้นคือซูเฉินใช้การฝันร้ายเป็นแล้ว

เมื่อดูดมันเข้าไปก็ทำการแยกส่วน ผลึกวิญญาณในหัวจึงหาวิธีการมาควบคุมพวกมันได้

แต่แน่นอนว่ายังใช้แดนความฝันของคนอื่นและสร้างฝันร้ายขึ้นมาเองไม่ได้ แต่ก็ป้องกันตนเองได้ดีแน่นอน

ครู่ต่อมา ฝันร้ายระลอกใหญ่ก็ปรากฏอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้เขาคุมพวกมันได้

“อัปลักษณ์จริง ๆ เปลี่ยนหน้าตาสักหน่อยเถอะ” ซูเฉินไม่ชอบหน้าตามันเท่าไหร่ คิดนิดเดียว ฝันร้ายก็เปลี่ยนรูป สวมชุดดำ ในมือถือดาบคมแล้ว เช่นนี้แล้วก็กลายเป็นผู้พิทักษ์ฝันของเขา

ภายนอกเปลี่ยน แต่แก่นแท้ภายในยังคงเดิม ยังมีไว้เพื่อการโจมตี และเพราะถูกสร้างในแดนความฝันของซูเฉิน หากพวกมันถูกทำลาย พลังจิตก็จะกลับคืนสู่กายเขา

ยามกำลังลิ้มรสสัมผัสใหม่นี้ หลี่ต้าวหงก็บุกฝันเขาอีกครั้ง

“เอาอีกแล้ว ?” ซูเฉินคิดไม่ถึงอยู่บ้าง

นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ว่าหลี่ต้าวหงกำลังบุกเข้ามาในจิตใจของเขา

ในเมื่ออยากหาเรื่องนัก …งั้นจะไว้หน้าไปทำไมอีก ?

ซูเฉินสั่งผู้พิทักษ์ฝันให้ถอย ปล่อยให้จิตหลี่ต้าวหงล่วงล้ำเข้ามา

หลี่ต้าวหงรู้สึกว่าเข้ามาโดยง่ายนัก เดิมทีคิดว่าจะทำลายกำแพงจิตต้องใช้เวลานาน แต่ก็นับว่าเสียแรงเสียเวลาน้อยกว่าที่คาดไว้

คงบังเอิญกระมัง หลี่ต้าวหงคิด

เผ่าปักษาอ่อนแอนี่จะจิตแข็งกว่าหรือรู้ทันเขาง่าย ๆ แล้วตลบหลังเขาได้อย่างไรกัน ?

เรื่องฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับยาก

หลี่ต้าวหงคิดว่าไม่น่าเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นความบังเอิญ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะกระแสพลังจิตประหลาดก่อนหน้านี้ที่สะบั้นการเชื่อมต่อจิตเขาก็เป็นได้

เขาอยากรู้สถานการณ์ให้มากกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจได้พลังจิตกลับคืนด้วย

หลี่ต้าวหงบุกเข้าจิตใจอีกฝ่ายไปด้วยความคิดเช่นนี้

แต่ครั้งนี้เขาระวังกว่าเดิมมาก

แทนที่จะใช้ฝันร้ายแอบเข้าไป เขากลับเปลี่ยนกลยุทธ์

ฉากกวีที่งดงามปรากฏขึ้นมาสู่สายตาซูเฉิน

ซูเฉินมองดินแดนว่างเปล่าก่อนหน้าพลันมีสิ่งน่าดูชมผุดขึ้นมาในพริบตา

ขุนเขา ธารน้ำ ท้องฟ้า และผืนดินต่างปรากฏขึ้นมา

ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้เกือบจะสมจริงมาก

น่าเสียดายที่คำว่า ‘เกือบจะ’ หมายความว่าก็ยังไม่สมจริงนั่นเอง

ครั้งนี้หลี่ต้าวหงเลือกใช้นิมิตไร้แจ้ง

นิมิตไร้แจ้งนั้นไร้จิตสังหาร แต่ปรับการรับรู้ของเป้าหมายได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถบ่มเมล็ดพันธุ์ที่ตนต้องการ

แต่จะทำได้ เป้าหมายต้องไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในแดนความฝัน

ปกติแล้วนิมิตไร้แจ้ง ใช้แล้วจะมีผลลวงเสน่ห์กับเป้าหมาย ทำให้ตกอยู่ในภวังค์ แดนความฝันส่วนมากแท้จริงก็เช่นนี้ แต่นิมิตไร้แจ้งนับว่ามีผลแรงกว่าไหน ๆ

น่าเสียดายที่ศัตรูของหลี่ต้าวหงคือซูเฉิน

หลี่ต้าวหงไม่รู้เลยว่าพลังจิตของซูเฉินแกร่งเพียงไหน

ความต่างด้านพลังจิตนั้นเป็นฐานในการต่อสู้ หากงัดข้อกัน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีพื้นฐานความแกร่งเป็นสำคัญ หากฝ่ายหนึ่งไร้ซึ่งเรี่ยวแรงความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะปราดเปรียวเพียงใดก็ไม่อาจชนะ

แม้ซูเฉินจะไม่ได้เก่งกาจวิชาฝันแต่อย่างไร แต่พลังจิตที่สูงส่งก็ทำให้ยังคงสติยามถูกนิมิตไร้แจ้งได้

ดังนั้นมันจึงไร้ผลกับเขา

ที่สำคัญคือ ซูเฉินไม่ได้โต้กลับเสียด้วย

เมื่อไม่โต้กลับ หลี่ต้าวหงจึงไม่รู้ว่าลวงซูเฉินสำเร็จหรือไม่

และคิดไปเลยว่าตนเองทำสำเร็จ

ดังนั้นจึงลงมือต่อ

ซูเฉินมองหมู่บ้านเผ่าปักษาปรากฏภาพขึ้น อยู่ระหว่างขุนเขาและธารน้ำ

หมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกดูมีชีวิตชีวา

จากนั้นก็มีสตรีเผ่าปักษาหน้าตางดงามบินเข้ามารับใช้

คนหนึ่งหน้าคล้ายจูเซียนเหยา ดูท่าหลี่ต้าวหงจะปรับหน้าตาเผ่าปักษามาจากนาง… เจ้านี่ยังไม่ยอมแพ้เรื่องจูเซียนเหยาอีก

ซูเฉินเหลือบมองจูเซียนเหยานานหน่อย หลี่ต้าวหงเห็นว่าเป็นปฏิกิริยา คิดว่าซูเฉินคงต้องตาสตรีผู้นี้ จึงพยายามใช้นางเกี้ยวพาซูเฉิน

“อ๋อ จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งรักสินะ ต่อไปหากเปิดใช้ ข้าก็จะไม่อาจคุมจิตใจได้งั้นหรือ ?” ซูเฉินเหมือนจะเข้าใจ

แต่หลี่ต้าวหงเป็นบุรุษ จะมาเปิดใช้ได้อย่างไร ?

หรือจะให้คนอื่นใช้ ? หรือซูเฉินจะมองเขาเป็นสตรีไป ? หรือว่าอย่างไรก็ได้ผล ?

ซูเฉินไม่อยากคิดต่อแล้ว

เขามองนางบินยั่วยวนเขาไปมาเล็กน้อย ก่อนใช้เนตรมองโลกจุลภาคแล้วพยายามชำแหละนิมิตไร้แจ้งออกดู

สำเร็จคราหนึ่ง ซูเฉินก็พบว่าครั้งที่สองมันง่ายขึ้นนัก

เขาถอดรหัสของนิมิตไร้แจ้งได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปรับพลังงานจิตเป็นดาบ สะบั้นการเชื่อมต่อของหลี่ต้าวหงกับแดนความฝัน

หลี่ต้าวหงพลันรู้สึกเวียนศีรษะแล้วคะมำลงไป

ครั้งนี้เยี่ยเสิ่นหยางเตรียมพร้อมไว้มากแล้ว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้น เยี่ยเสิ่นหยางจึงเอ่ย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”

“ข้า……” หลี่ต้าวหงจ้องเยี่ยเสิ่นหยาง

บัดซบ เหตุใดจึงสะบั้นอีกแล้ว ?

แล้วพลังงานจิตของข้าล่ะ ?

การสร้างนิมิตไร้แจ้งใช้พลังเยอะกว่าฝันวิญญาณหลุดมาก ครั้งนี้เขาเสียพลังงานจิตไปเกือบ 100 หน่วยทีเดียว

หลี่ต้าวหงเกือบกระอักเลือด

เกิดอะไรขึ้น ?

มันเกิดได้อย่างไรกัน ?

เยี่ยเสิ่นหยางยังจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นห่วง

เขาจ้องเยี่ยเสิ่นหยาง กดความรู้สึกไว้ภายในก่อนเอ่ย “ข้า ข้าไม่เป็นไร”

“เช่นนั้นก็ดี” เยี่ยเสิ่นหยางพยักหน้า

คิดครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นจะทำต่อหรือ ?”

หลี่ต้าวหงเส้นเลือดกระตุก ก่อนกัดฟันตอบ “บัดซบจริง !”

หลี่ต้าวหงยังไม่ยอมแพ้

เขาอยากลองดูอีกสักคราว่าเป็นเพราะอะไร

ซูเฉินเพิ่งวิเคราะห์นิมิตไร้แจ้งเสร็จ ก็รู้สึกจิตสะท้านอีกครั้ง

หือ ?

กลับมาแล้ว ?

กลับมาอีกแล้วหรือ ?

ซูเฉินประหลาดใจมาก แต่ก็ยังยินดี

ต่อมาเขาก็เห็นรอบกายผันเปลี่ยน คราวนี้กลายเป็นรูปวังหลวง

ซูเฉินกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเมืองล่องนภา ล้อมรอบด้วยปักษาชั้นสูงจำนวนมาก ก้มหัวคำนับเขา เป็นข้ารับใช้ผู้สัตย์ซื่อ

“คราวนี้ใช้อำนาจล่อหรือ ?” ซูเฉินงึมงำ

ก็ยังใช้นิมิตไร้แจ้ง แต่เพาะเมล็ดต่างกันก็เท่านั้น

แต่หลี่ต้าวหงเองก็เปลี่ยนบางอย่างด้วย

ครั้งนี้เขาไม่ใช่พลังงานจิตตนเองแล้ว แต่เหนี่ยวนำพลังจิตของซูเฉินให้สร้างโลกขึ้นมาต่างหาก

“มันวิชาประเภทไหนกันแน่เนี่ย ?” ซูเฉินเริ่มสนใจขึ้นมา

ใช้พลังจิตเป้าหมายเพื่อสร้างแดนความฝัน ? มีฝีมือไม่น้อย แม้หลี่ต้าวหงจะพลาด แต่ก็ไม่ใช้ฝ่ายที่รับกระแสพลังจิตที่ตีกลับ

แต่ก็คงไม่ง่ายเช่นนั้นกระมัง ?

ไม่เช่นนั้นทำไมหลี่ต้าวหงไม่ทำเช่นนี้แต่แรก ?

เห็นได้ชัดว่ามีข้อเสียบางอย่างเป็นแน่

แต่อย่างไรซูเฉินก็สนใจมันแล้ว

เขาลองแยกส่วนมันอีกครั้ง

เพราะมันยังเป็นนิมิตไร้แจ้ง จึงไม่มีอะไรให้แยกมากนัก อย่างไรเขาก็ใช้ผลึกวิญญาณจดจำข้อมูลได้ตลอด แต่เพื่อให้เข้าใจการกระทำของหลี่ต้าวหงมากขึ้น เขาจึงต้องลองนำพวกมันมาเทียบกัน

ซึ่งเขาก็พบความต่างอย่างรวดเร็ว

หลี่ต้าวหงสร้างความคิดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ฝังมันลงในจิตซูเฉิน หลอกล่อจิตให้เดินไปตามทางที่หลี่ต้าวหงวางไว้ให้อย่างระมัดระวัง

หลี่ต้าวหงกำลังรับบทบาทพี่เลี้ยงที่ใจดีและอ่อนโยน นำพาพลังจิตของซูเฉินไปในทิศที่ต้องการ

ที่ทำได้เป็นเพราะพลังจิตของซูเฉินมีมากเกินไป ทำให้หลี่ต้าวหงไม่อาจคุมเขาโดยสมบูรณ์ได้

แต่ก็ทำให้หลี่ต้าวหงรับภาระหนักเช่นกัน

แทนที่จะบุกเข้าแดนความฝัน เขาต้องใช้ทางอ้อมกำแพง ใช้วิชาลับทั้งหลายเพื่อโน้มนำซูเฉินจากเงามืด ซึ่งก็ใช้พลังงานจิตสูงกว่ามาก

หลี่ต้าวหงเหมือนถูกซูเฉินทำให้ตกใจไปแล้ว จึงยอมแลกพลังสูงสักหน่อยเพื่อแอบแทรกซึมเข้าจิตซูเฉินในครั้งนี้

ภายหลังยังเอาพลังกลับมาได้ แต่สิ่งที่ซูเฉินชิงไปแล้วนำกลับมาไม่ได้

เห็นเช่นนี้ซูเฉินก็ยินดีนัก

คิดว่ายืนอยู่นอกกำแพงแล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้หรือ ?

หากไม่เข้ามา ข้าก็เปิดประตูลากเจ้าเข้ามาก็เท่านั้น

ก่อนหน้านี้ ซูเฉินเปิดประตูไม่เป็นด้วยซ้ำ

แต่เพราะหลี่ต้าวหงแอบลักลอบเข้ามา ทำให้ซูเฉินคุมพลังจิตได้ดีกว่าเก่า

ตอนนี้แค่เปิดประตูใจก็เป็นเรื่องง่ายมากยิ่ง

หากทำอย่างอื่นไม่ได้ พังกำแพงทิ้งเลยก็ยังได้

หลี่ต้าวหงไม่ทันคิดเลยว่าตนพบกับศัตรูอัจฉริยะเข้าแล้ว

เขายังคงวนรอบกำแพงพลังจิตของซูเฉิน ใช้พลังงานจิตนำพาจิตซูเฉิน แต่จู่ ๆ ประตูสู่จิตของเป้าหมายกลับเปิดออกเสียกว้าง

จิตของหลี่ต้าวหงถูกลากเข้าแดนความฝันไป

สิ่งสุดท้ายที่หลี่ต้าวหงเห็นคือรอยยิ้มของซูเฉิน

เขาเอ่ยว่า “ว่าไง”

หลี่ต้าวหงพลันเจ็บจี๊ดที่ศีรษะ การเชื่อมต่อจิตถูกสะบั้นอีกครั้ง