บทที่ 108 นิมิตไร้แจ้ง
“ต้าวหง !” เยี่ยเสิ่นหยางร้องลั่นแล้วประคองร่างหลี่ต้าวหงขึ้นมา
หลี่ต้าวหงนั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบหน้าบื้อออกมา “อ่า”
“เกิดอะไรขึ้น ?” เยี่ยเสิ่นหยางถาม
เกิดอะไรขึ้นหรือ ?
หลี่ต้าวหงอ้าปากหลายครั้ง แต่ไม่รู้จะเอ่ยคำใด
เพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เลย
เขากำลังสร้างตัวฝันร้ายจำนวนมากและส่งไปโจมตีอีกฝ่าย เป็นตอนนั้นที่การเชื่อมต่อจิตถูกสะบั้น
มันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่เพราะการสร้างฝันร้ายใช้พลังมากพอสมควร
และตอนนี้เขาก็เสียพลังงานจิตให้ศัตรูไปมาก ส่งผลต่อเขาพอสมควร ทำให้พลังจิตเริ่มลดน้อยถอยลง
เกิดอะไรขึ้น ?
หลี่ต้าวหงห่วงหน้าตาตนมาก ก่อนจะรู้ว่าเกิดอะไร อย่างไรก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนเสียพลังจิตให้อีกฝ่ายไปแน่
คิดครู่หนึ่งแล้วเขาก็กะพริบตาตอบ “เปล่า ข้าจะลองอีกครั้ง”
เขาเข้าแดนความฝันอีกครั้ง
ครั้งนี้ดึงซูเฉินเข้าไปได้รวดเร็วกว่าเดิมอีก
นั่นเพราะซูเฉินยังไม่หลุดออกจากแดนความฝัน
ซึ่งไม่ใช่เพราะทำไม่ได้ แต่ไม่อยากทำมากกว่า
พอสะบั้นจิตหลี่ต้าวหงแล้ว ฝันร้ายที่เหลือก็ไม่ถูกควบคุมอีก เขาจึงเปลี่ยนมันกลับเป็นพลังจิตแค่เพียงคิดแล้วดึงมาใช้เสีย
“หือ ?” ซูเฉินเห็นพลังงานจิตตนสูงขึ้นก็ประหลาดใจ
แม้จะไม่มาก แต่ก็เป็นอนาคตอันน่าตื่นเต้นไม่ใช่น้อย ไม่แน่ว่าต่อไปอาจทำเช่นนี้เพื่อเพิ่มพลังจิตอีกได้
สำคัญกว่านั้นคือซูเฉินใช้การฝันร้ายเป็นแล้ว
เมื่อดูดมันเข้าไปก็ทำการแยกส่วน ผลึกวิญญาณในหัวจึงหาวิธีการมาควบคุมพวกมันได้
แต่แน่นอนว่ายังใช้แดนความฝันของคนอื่นและสร้างฝันร้ายขึ้นมาเองไม่ได้ แต่ก็ป้องกันตนเองได้ดีแน่นอน
ครู่ต่อมา ฝันร้ายระลอกใหญ่ก็ปรากฏอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาคุมพวกมันได้
“อัปลักษณ์จริง ๆ เปลี่ยนหน้าตาสักหน่อยเถอะ” ซูเฉินไม่ชอบหน้าตามันเท่าไหร่ คิดนิดเดียว ฝันร้ายก็เปลี่ยนรูป สวมชุดดำ ในมือถือดาบคมแล้ว เช่นนี้แล้วก็กลายเป็นผู้พิทักษ์ฝันของเขา
ภายนอกเปลี่ยน แต่แก่นแท้ภายในยังคงเดิม ยังมีไว้เพื่อการโจมตี และเพราะถูกสร้างในแดนความฝันของซูเฉิน หากพวกมันถูกทำลาย พลังจิตก็จะกลับคืนสู่กายเขา
ยามกำลังลิ้มรสสัมผัสใหม่นี้ หลี่ต้าวหงก็บุกฝันเขาอีกครั้ง
“เอาอีกแล้ว ?” ซูเฉินคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ว่าหลี่ต้าวหงกำลังบุกเข้ามาในจิตใจของเขา
ในเมื่ออยากหาเรื่องนัก …งั้นจะไว้หน้าไปทำไมอีก ?
ซูเฉินสั่งผู้พิทักษ์ฝันให้ถอย ปล่อยให้จิตหลี่ต้าวหงล่วงล้ำเข้ามา
หลี่ต้าวหงรู้สึกว่าเข้ามาโดยง่ายนัก เดิมทีคิดว่าจะทำลายกำแพงจิตต้องใช้เวลานาน แต่ก็นับว่าเสียแรงเสียเวลาน้อยกว่าที่คาดไว้
คงบังเอิญกระมัง หลี่ต้าวหงคิด
เผ่าปักษาอ่อนแอนี่จะจิตแข็งกว่าหรือรู้ทันเขาง่าย ๆ แล้วตลบหลังเขาได้อย่างไรกัน ?
เรื่องฟังดูง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับยาก
หลี่ต้าวหงคิดว่าไม่น่าเกิดเรื่อง ดังนั้นจึงเชื่อว่าเป็นความบังเอิญ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะกระแสพลังจิตประหลาดก่อนหน้านี้ที่สะบั้นการเชื่อมต่อจิตเขาก็เป็นได้
เขาอยากรู้สถานการณ์ให้มากกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจได้พลังจิตกลับคืนด้วย
หลี่ต้าวหงบุกเข้าจิตใจอีกฝ่ายไปด้วยความคิดเช่นนี้
แต่ครั้งนี้เขาระวังกว่าเดิมมาก
แทนที่จะใช้ฝันร้ายแอบเข้าไป เขากลับเปลี่ยนกลยุทธ์
ฉากกวีที่งดงามปรากฏขึ้นมาสู่สายตาซูเฉิน
ซูเฉินมองดินแดนว่างเปล่าก่อนหน้าพลันมีสิ่งน่าดูชมผุดขึ้นมาในพริบตา
ขุนเขา ธารน้ำ ท้องฟ้า และผืนดินต่างปรากฏขึ้นมา
ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้เกือบจะสมจริงมาก
น่าเสียดายที่คำว่า ‘เกือบจะ’ หมายความว่าก็ยังไม่สมจริงนั่นเอง
ครั้งนี้หลี่ต้าวหงเลือกใช้นิมิตไร้แจ้ง
นิมิตไร้แจ้งนั้นไร้จิตสังหาร แต่ปรับการรับรู้ของเป้าหมายได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถบ่มเมล็ดพันธุ์ที่ตนต้องการ
แต่จะทำได้ เป้าหมายต้องไม่รู้ว่าตนเองตกอยู่ในแดนความฝัน
ปกติแล้วนิมิตไร้แจ้ง ใช้แล้วจะมีผลลวงเสน่ห์กับเป้าหมาย ทำให้ตกอยู่ในภวังค์ แดนความฝันส่วนมากแท้จริงก็เช่นนี้ แต่นิมิตไร้แจ้งนับว่ามีผลแรงกว่าไหน ๆ
น่าเสียดายที่ศัตรูของหลี่ต้าวหงคือซูเฉิน
หลี่ต้าวหงไม่รู้เลยว่าพลังจิตของซูเฉินแกร่งเพียงไหน
ความต่างด้านพลังจิตนั้นเป็นฐานในการต่อสู้ หากงัดข้อกัน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ต้องมีพื้นฐานความแกร่งเป็นสำคัญ หากฝ่ายหนึ่งไร้ซึ่งเรี่ยวแรงความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะปราดเปรียวเพียงใดก็ไม่อาจชนะ
แม้ซูเฉินจะไม่ได้เก่งกาจวิชาฝันแต่อย่างไร แต่พลังจิตที่สูงส่งก็ทำให้ยังคงสติยามถูกนิมิตไร้แจ้งได้
ดังนั้นมันจึงไร้ผลกับเขา
ที่สำคัญคือ ซูเฉินไม่ได้โต้กลับเสียด้วย
เมื่อไม่โต้กลับ หลี่ต้าวหงจึงไม่รู้ว่าลวงซูเฉินสำเร็จหรือไม่
และคิดไปเลยว่าตนเองทำสำเร็จ
ดังนั้นจึงลงมือต่อ
ซูเฉินมองหมู่บ้านเผ่าปักษาปรากฏภาพขึ้น อยู่ระหว่างขุนเขาและธารน้ำ
หมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกดูมีชีวิตชีวา
จากนั้นก็มีสตรีเผ่าปักษาหน้าตางดงามบินเข้ามารับใช้
คนหนึ่งหน้าคล้ายจูเซียนเหยา ดูท่าหลี่ต้าวหงจะปรับหน้าตาเผ่าปักษามาจากนาง… เจ้านี่ยังไม่ยอมแพ้เรื่องจูเซียนเหยาอีก
ซูเฉินเหลือบมองจูเซียนเหยานานหน่อย หลี่ต้าวหงเห็นว่าเป็นปฏิกิริยา คิดว่าซูเฉินคงต้องตาสตรีผู้นี้ จึงพยายามใช้นางเกี้ยวพาซูเฉิน
“อ๋อ จะเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งรักสินะ ต่อไปหากเปิดใช้ ข้าก็จะไม่อาจคุมจิตใจได้งั้นหรือ ?” ซูเฉินเหมือนจะเข้าใจ
แต่หลี่ต้าวหงเป็นบุรุษ จะมาเปิดใช้ได้อย่างไร ?
หรือจะให้คนอื่นใช้ ? หรือซูเฉินจะมองเขาเป็นสตรีไป ? หรือว่าอย่างไรก็ได้ผล ?
ซูเฉินไม่อยากคิดต่อแล้ว
เขามองนางบินยั่วยวนเขาไปมาเล็กน้อย ก่อนใช้เนตรมองโลกจุลภาคแล้วพยายามชำแหละนิมิตไร้แจ้งออกดู
สำเร็จคราหนึ่ง ซูเฉินก็พบว่าครั้งที่สองมันง่ายขึ้นนัก
เขาถอดรหัสของนิมิตไร้แจ้งได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปรับพลังงานจิตเป็นดาบ สะบั้นการเชื่อมต่อของหลี่ต้าวหงกับแดนความฝัน
หลี่ต้าวหงพลันรู้สึกเวียนศีรษะแล้วคะมำลงไป
ครั้งนี้เยี่ยเสิ่นหยางเตรียมพร้อมไว้มากแล้ว
เมื่อเห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้น เยี่ยเสิ่นหยางจึงเอ่ย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ข้า……” หลี่ต้าวหงจ้องเยี่ยเสิ่นหยาง
บัดซบ เหตุใดจึงสะบั้นอีกแล้ว ?
แล้วพลังงานจิตของข้าล่ะ ?
การสร้างนิมิตไร้แจ้งใช้พลังเยอะกว่าฝันวิญญาณหลุดมาก ครั้งนี้เขาเสียพลังงานจิตไปเกือบ 100 หน่วยทีเดียว
หลี่ต้าวหงเกือบกระอักเลือด
เกิดอะไรขึ้น ?
มันเกิดได้อย่างไรกัน ?
เยี่ยเสิ่นหยางยังจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นห่วง
เขาจ้องเยี่ยเสิ่นหยาง กดความรู้สึกไว้ภายในก่อนเอ่ย “ข้า ข้าไม่เป็นไร”
“เช่นนั้นก็ดี” เยี่ยเสิ่นหยางพยักหน้า
คิดครู่หนึ่ง เขาจึงเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นจะทำต่อหรือ ?”
หลี่ต้าวหงเส้นเลือดกระตุก ก่อนกัดฟันตอบ “บัดซบจริง !”
หลี่ต้าวหงยังไม่ยอมแพ้
เขาอยากลองดูอีกสักคราว่าเป็นเพราะอะไร
ซูเฉินเพิ่งวิเคราะห์นิมิตไร้แจ้งเสร็จ ก็รู้สึกจิตสะท้านอีกครั้ง
หือ ?
กลับมาแล้ว ?
กลับมาอีกแล้วหรือ ?
ซูเฉินประหลาดใจมาก แต่ก็ยังยินดี
ต่อมาเขาก็เห็นรอบกายผันเปลี่ยน คราวนี้กลายเป็นรูปวังหลวง
ซูเฉินกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเมืองล่องนภา ล้อมรอบด้วยปักษาชั้นสูงจำนวนมาก ก้มหัวคำนับเขา เป็นข้ารับใช้ผู้สัตย์ซื่อ
“คราวนี้ใช้อำนาจล่อหรือ ?” ซูเฉินงึมงำ
ก็ยังใช้นิมิตไร้แจ้ง แต่เพาะเมล็ดต่างกันก็เท่านั้น
แต่หลี่ต้าวหงเองก็เปลี่ยนบางอย่างด้วย
ครั้งนี้เขาไม่ใช่พลังงานจิตตนเองแล้ว แต่เหนี่ยวนำพลังจิตของซูเฉินให้สร้างโลกขึ้นมาต่างหาก
“มันวิชาประเภทไหนกันแน่เนี่ย ?” ซูเฉินเริ่มสนใจขึ้นมา
ใช้พลังจิตเป้าหมายเพื่อสร้างแดนความฝัน ? มีฝีมือไม่น้อย แม้หลี่ต้าวหงจะพลาด แต่ก็ไม่ใช้ฝ่ายที่รับกระแสพลังจิตที่ตีกลับ
แต่ก็คงไม่ง่ายเช่นนั้นกระมัง ?
ไม่เช่นนั้นทำไมหลี่ต้าวหงไม่ทำเช่นนี้แต่แรก ?
เห็นได้ชัดว่ามีข้อเสียบางอย่างเป็นแน่
แต่อย่างไรซูเฉินก็สนใจมันแล้ว
เขาลองแยกส่วนมันอีกครั้ง
เพราะมันยังเป็นนิมิตไร้แจ้ง จึงไม่มีอะไรให้แยกมากนัก อย่างไรเขาก็ใช้ผลึกวิญญาณจดจำข้อมูลได้ตลอด แต่เพื่อให้เข้าใจการกระทำของหลี่ต้าวหงมากขึ้น เขาจึงต้องลองนำพวกมันมาเทียบกัน
ซึ่งเขาก็พบความต่างอย่างรวดเร็ว
หลี่ต้าวหงสร้างความคิดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ฝังมันลงในจิตซูเฉิน หลอกล่อจิตให้เดินไปตามทางที่หลี่ต้าวหงวางไว้ให้อย่างระมัดระวัง
หลี่ต้าวหงกำลังรับบทบาทพี่เลี้ยงที่ใจดีและอ่อนโยน นำพาพลังจิตของซูเฉินไปในทิศที่ต้องการ
ที่ทำได้เป็นเพราะพลังจิตของซูเฉินมีมากเกินไป ทำให้หลี่ต้าวหงไม่อาจคุมเขาโดยสมบูรณ์ได้
แต่ก็ทำให้หลี่ต้าวหงรับภาระหนักเช่นกัน
แทนที่จะบุกเข้าแดนความฝัน เขาต้องใช้ทางอ้อมกำแพง ใช้วิชาลับทั้งหลายเพื่อโน้มนำซูเฉินจากเงามืด ซึ่งก็ใช้พลังงานจิตสูงกว่ามาก
หลี่ต้าวหงเหมือนถูกซูเฉินทำให้ตกใจไปแล้ว จึงยอมแลกพลังสูงสักหน่อยเพื่อแอบแทรกซึมเข้าจิตซูเฉินในครั้งนี้
ภายหลังยังเอาพลังกลับมาได้ แต่สิ่งที่ซูเฉินชิงไปแล้วนำกลับมาไม่ได้
เห็นเช่นนี้ซูเฉินก็ยินดีนัก
คิดว่ายืนอยู่นอกกำแพงแล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้หรือ ?
หากไม่เข้ามา ข้าก็เปิดประตูลากเจ้าเข้ามาก็เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ซูเฉินเปิดประตูไม่เป็นด้วยซ้ำ
แต่เพราะหลี่ต้าวหงแอบลักลอบเข้ามา ทำให้ซูเฉินคุมพลังจิตได้ดีกว่าเก่า
ตอนนี้แค่เปิดประตูใจก็เป็นเรื่องง่ายมากยิ่ง
หากทำอย่างอื่นไม่ได้ พังกำแพงทิ้งเลยก็ยังได้
หลี่ต้าวหงไม่ทันคิดเลยว่าตนพบกับศัตรูอัจฉริยะเข้าแล้ว
เขายังคงวนรอบกำแพงพลังจิตของซูเฉิน ใช้พลังงานจิตนำพาจิตซูเฉิน แต่จู่ ๆ ประตูสู่จิตของเป้าหมายกลับเปิดออกเสียกว้าง
จิตของหลี่ต้าวหงถูกลากเข้าแดนความฝันไป
สิ่งสุดท้ายที่หลี่ต้าวหงเห็นคือรอยยิ้มของซูเฉิน
เขาเอ่ยว่า “ว่าไง”
หลี่ต้าวหงพลันเจ็บจี๊ดที่ศีรษะ การเชื่อมต่อจิตถูกสะบั้นอีกครั้ง