ตอนที่ 510 เขา....ไปที่ใดแล้ว?

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ซื่อเป่ยประคองแขนที่ขาดไว้ เจดีย์สมบัติสีทองในมือร่วงหล่นลงไปบนพื้น

 

 

ปักษายักษ์กระพือปีกอยู่เบื้องหลังของเขา สายตาจับจ้องไปยังจู๋จู๋ ในตาของมันเปล่งประกายด้วยความโลภขึ้นมา

 

 

มันมีข้อกิ่งเกรง จึงไม่กล้าไล่ติดตามไป

 

 

มังถูกเง็กเซียนฮ่องเต้กำราบไว้เป็นสัตว์ในพันธะรับคำสั่งให้ติดตามซือเป่ยมาทำภารกิจ ดังนั้นทุกสิ่งที่ทำในโลกปัจจุบันนี้ย่อมต้องโอนอ่อนตามบัญชาของซือเป่ย ไม่อาจทำตามอำเภอใจ

 

 

ทันใดนั้นเอง จู๋จู๋ใช้เส้นผมสีทองที่ยาวสลวยของมันโอบล้อมพันตู๋กูซิงหลันเอาไว้ จากนั้นก็พุ่งตัวลึกเขาไปในหุบเขา ทิ้งห่างซือเป่ยและปักษายักษ์เอาไว้ด้านหลังไกลแสนไกล

 

 

ติ๊งต๊องที่ก่อนหน้านี้ถูกตู๋กูซิงหลันถีบส่งไปไกลก็ติดตามมาด้วยเช่นกัน

 

 

เหลือแต่เพียงเสินฟางที่ยืนอยู่บนยอดหลังคาเรือนแต่เพียงลำพัง นัยตาของเขาหดเล็กลง ปลายนิ้วเกาะกุมอยู่บนสร้อยลูกปัดหินบนข้อมือ

 

 

ยามที่สายตาของเขาหันกลับไปที่ร่างของซือเป่ยใหม่อีกครั้ง นัยตาที่ปราศจากตาขาวนั้น สาดประกายความชิงชังออกมา

 

 

ก่อนที่เงาร่างของตู๋กูซิงหลันจะหายไปนั้น ปลายนิ้วของเขาขยับเล็กน้อย พลับพลึงแดงดอกหนึ่งเคลื่อนออกจากร่าง พุ่งไปตามทิศทางที่ตู๋กูซิงหลันหายลับไปในอากาศ

 

 

จู๋จู๋พันธนาการตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแน่นหนา เพราะเกรงว่านางจะคิดไม่ตกกระทำเรื่องโง่เขลาขึ้นมา

 

 

สถานการณ์เช่นนี้กลับไปปะทะกับซือเป่ยตรงๆ มิเท่ากับว่าหาเรื่องตายหรอกหรือ?

 

 

“ฮ่องเต้หญิง ทรงคลายความโทมนัสลงบ้างเถอะ …. หากว่ายังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมต้องมีความหวังมิใช่หรือ?” จู๋จู๋เฝ้าอยู่หลังเขามาพักใหญ่ จึงไม่ได้พูดจากับใครมานานแล้ว

 

 

ก่อนหน้านี้ที่หลังเขายังกางกั้นด้วยอาคมหวงห้ามอย่างหนึ่ง ทำให้มันไม่อาจออกมาได้ง่ายๆ

 

 

แต่ว่าเมื่อครู่นี้ ทันทีที่เขตอาคมหลังเขาเปิดออก ในสมองของมันก็ได้รับพระบัญชาสุดท้ายจากโอรสสวรรค์แคว้นโจว ที่ต้องการให้มันคุ้มครองฮ่องเต้หญิงให้ปลอดภัย

 

 

จากนั้น มันก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของฮ่องเต้อีก

 

 

มันคือสัตว์อสูรพิทักษ์แคว้นต้าโจว สามารถรับรู้ถึงชีพจรที่ไหลเวียนของคนในราชวงค์ต้าโจวได้โดยธรรมชาติ ในตอนที่ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาสุดท้ายออกมานั้น ชีพจรสุดท้ายก็ได้ขาดหายไป

 

 

ฮ่องเต้ทรง….จากไปแล้วหรือ?

 

 

มันไม่กล้าฟันธงลงไป แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกระแสชีวิตของฮ่องเต้อีก

 

 

ดังนั้นจึงได้แต่รักษาสัญญาตามพระบัญชาของฮ่องเต้ ปกป้องฮ่องเต้หญิงให้ดีที่สุด

 

 

เพราะตอนที่อยู่ในก้นทะเลลึก พระองค์ก็เคยมีพระบัญชาเช่นนี้ต่อมันเช่นกัน

 

 

อาณาเขตในระยะสิบลี้หลังภูเขา คือพื้นที่สุดกันดารของเมืองหลวง นอกจากความรกร้างว่างเปล่าแล้ว แม้แต่เงาภูติผีสักตัวก็ยังไม่มี

 

 

ท้องฟ้ายามค่ำคืนปกคลุมไปด้วยหมู่เมฆ ฝนตกลงมาดังครืนๆ ทำเอาหัวใจของผู้คนเย็นเฉียบขึ้นมา

 

 

ท่ามกลางหมู่เมฆที่อึมครึมอยู่ด้านบน มีฟ้าผ่าลงมาบ้างอย่างประปราย

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกฝนสาดจนโชกชุ่ม คนค่อยสงบสติลงได้บ้าง ภาพที่อาจารย์ถูกเพลิงแผดเผาจนสลายเป็นเถ้าถ่าน ปรากฏขึ้นในสมองของนางรอบแล้วรอบเล่า ทำให้นางรู้สึกทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปทั้งกายและใจ

 

 

พอสงบสติลงได้บ้าง นางถึงได้ถามจู๋จู๋ออกไปว่า “ข้าให้เสี่ยวเฉวียนเฉวียนไปหาเจ้าที่หลังเขามิใช่หรือ?”

 

 

ประโยคนั้นพอถามออกไป ในใจของนางก็บังเกิดลางร้ายขึ้นมาในทันที

 

 

นางนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ค่อยเอ่ยอีกว่า “เขา….ไปที่ไหนแล้ว?”

 

 

จู๋จู๋เป็นสัตว์อสูรแสนซื่อ เสมือนเด็กน้อยที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ตู๋กูซิงหลันถามอะไร มันก็ตอบไปตามนั้น

 

 

ดังนั้นจึงได้เล่าถึงเรื่องที่มันสัมผัสได้ถึงชีพจรสุดท้ายของฮ่องเต้ให้นางฟังทั้งหมด

 

 

หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือถูกมีดดาบกรีดลงไปอย่างแรงอีกครั้ง

 

 

นางก้มศีรษะลง จดจ้องไปที่ข้อมือของตนเอง ด้ายผูกชะตาที่เคยอยู่บนข้อมือเสมอมาสลายไปแล้ว….

 

 

จีเฉวียน…..

 

 

นางปิดดวงตาลง ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในชั่วขณะนั้น ในสมองบังเกิดภาพของเขาที่สลายหายไปเช่นเดียวกับอาจารย์ขึ้นมา

 

 

ทรวงอกของนางเจ็บร้าวปวดแปลบ จนนางกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

 

 

ในมือกุมศิลาโลหิตชิ้นนั้นที่ซื่อมั่วทิ้งเอาไว้ก่อนจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านเอาไว้อย่างแนบแน่น

 

 

“กลับไปที่ป่าทึบ ข้าจะไปตามหาจีเฉวียน” นางเก็บศิลาโลหิตของอาจารย์เอาไว้

 

 

ปาดเช็ดเลือดที่ไหลออกมาตรงมุมปาก ฝืนทนต่ออาการเจ็บหัวใจ นัยตายังคงทอประกายออกมา

 

 

ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนที่อ่อนแอมาก่อน

 

 

นางเชื่อมั่น……เมื่ออาจารย์บอกว่าจะกลับมา เขาก็ต้องกลับมา

 

 

นางจะไปรอเขาที่ธารน้ำพุเหลือง

 

 

ส่วนจีเฉวียน……หากอยู่ต้องพบคน ตายต้องพบศพ

 

 

ในหัวใจของนางวาดหวังว่าเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แม้ว่าจู๋จู๋จะไม่รู้สึกถึงสัญญาณชีพจรของเขา หรือว่าด้ายผูกชะตาของพวกนางจะสลายไปแล้วก็ตาม…..

 

 

นางไม่เชื่อว่าจีเฉวียนจะตายง่ายๆไปอย่างนี้

 

 

เขายังมีความตั้งใจมากมายที่ยังไม่ได้ทำให้เป็นจริง และอยู่ๆเขาจะมา……

 

 

จู๋จู๋ไม่อาจขัดใจนางได้ลงคอ จึงได้แต่พานางกลับไปที่ป่าทึบอีกครั้ง ยังดีที่ทั้งซือเป่ยและปักษายักษ์ต่างก็หายลับไปแล้ว

 

 

สองสัตว์อสูรและหนึ่งมนุษย์ค้นหาในป่าจนแทบจะพลิกแผ่นดินขึ้นมา ในที่สุดก็พบจุดที่มีซากศพปีศาจหมาป่าจำนวนมาก

 

 

ซากศพกลาดเกลื่อนกระจัดกระจาย ต้นไม้ใหญ่ในป่าล้มลงมาเป็นแถบ แค่มองดูก็รู้แล้วว่าเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นที่นี่

 

 

กึ่งกลางของซากศพ มีดาบหักสีดำปักอยู่เล่มหนึ่ง ทั้งยังมีรอยเลือดแห้งกรังอยู่บนพื้นดิน

 

 

ดาบปลิดวิญญาณยมโลก เดิมทีเป็นอาวุธประจำกายของซื่อมั่ว แต่ว่ามันติดตามร่างแบ่งภาคนี้มายังโลกโบราณ

 

 

ผืนดินบริเวณรอบๆดาบถูกเพลิงเผาผลาญเป็นเถ้าถ่าน

 

 

ชั่วขณะนั้น หัวใจของตู๋กูซิงหลันเหมือนกับได้ตายไปแล้วอีกครั้ง

 

 

ภาพตรงหน้าเช่นนี้นางคุ้ยเคยอย่างที่สุดแล้ว ….ยามที่อาจารย์จากไปนั้น พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ลุกไหม้จนกลายสภาพเป็นเช่นนี้

 

 

จีเฉวียน เขา….

 

 

ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักสองที

 

 

ทำไมนางจึงคิดไม่ถึง ในเมื่ออาจารย์ที่เป็นร่างหลักไม่อยู่แล้ว จีเฉวียนที่เป็นร่างแบ่งภาคมาเผชิญวิบากของเขา จะคงอยู่ต่อไปในโลกได้อย่างไร

 

 

พอคิดถึงว่าก่อนจีเฉวียนตายนั้น….ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ทุกข์ทรมานจนสิ้นใจ…..ตู๋กูซิงหลันก็เจ็บปวดจนเหมือนหมื่นมีดทิ่มแทง

 

 

เขาจากไปแล้ว…..จริงๆหรือ?

 

 

ภายในช่วงเวลาเดียวกัน นางไม่เพียงแต่สูญเสียอาจารย์ แต่ยังต้องสูญเสียจีเฉวียน

 

 

ทั้งสองคนนี้สำหรับนางแล้ว คนหนึ่งคือญาติสนิท อีกคนก็คือคนรัก

 

 

แม้ว่าจะได้เตรียมใจเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่ว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริง ชั่วขณะนั้น ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าไม่อาจทนรับได้อยู่ดี

 

 

ตู๋กูซิงหลันอ้าปากขึ้นมา หัวใจปวดร้าว จนต้องกระอักเลือดออกมาอีก

 

 

ในช่วงเวลานั้น นางรู้สึกว่า จิตวิญญาณของตนจะแตกสลายอยู่แล้ว

 

 

น้ำตาหลั่งรินไม่ขาดสาย

 

 

ปลายจมูกแสบร้อนอย่างที่สุด นางปวดใจ นางโกรธแค้น

 

 

แค้นที่ตนเองไม่แข็งแกร่งเพียงพอ…..แค้นที่ตนเองไร้ความสามารถ

 

 

นางคุกเข่าอยู่บนพื้น มองดูรอยเลือดที่แห้งผาดและพื้นดินที่มอดไหม้เป็นถ่าน ก็ไม่กล้าคิดเลยว่าก่อนตายจีเฉวียนจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดสักเพียงไร

 

 

เขาที่สูงส่งถึงเพียงนั้น สุดท้ายแล้วต้องมามีจุดจบอนาถอย่างที่ตนเองก็ไม่อาจล่วงรู้มาก่อน….

 

 

จู๋จู๋และติ๊งต๊องเฝ้ามองอยู่ด้านข้าง สัตว์อสูรทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าสมควรจะปลอบประโลมเช่นไรดี

 

 

ได้แต่ปล่อยให้นางยืนหยัดขึ้นมาด้วยตนเอง

 

 

เลือดสดๆไหลหยดลงไปบนพื้นที่มอดไหม้ เพียงครู่เดียวก็เห็นประกายสีเขียวของบางสิ่งสะท้อนออกมา

 

 

ตู๋กูซิงหลันยื่นมือลงไปคว้าขึ้นมา ก็เห็นเป็นแหวนวงหนึ่ง

 

 

แหวนที่ดูเหมือนจะถูกเผาจนกลายเป็นถ่านดำ พอถูกน้ำตาของนางชะล้างก็สะท้อนประกายสีเขียวสดใสออกมา

 

 

ตู๋กูซิงหลันใช้มือปัดถู แหวนหยกวงนั้นก็คืนสู่ความงามดังเดิม

 

 

นี่เป็นแหวนที่จีเฉวียนเคยให้นาง…..แล้วนางก็เอาไปจำนำ

 

 

ไม่รู้ว่ามัน กลับมาอยู่ที่เขาได้อย่างไร

 

 

แม้จะถูกเพลิงเผาผลาญแต่ว่ามันกลับไม่แตกสลายไป…..

 

 

…………………………………