ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 135 ในยามนั้นข้ารู้สึกสับสน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

นักพรตที่ปรากฏตัวขึ้นจากความว่างเปล่าท่ามกลางสายฝนราตรี ก็คืออดีตเจ้าสำนักฝึกหลวงซางสิงโจว และยังเป็นนักพรตจี้ผู้ลึกลับแห่งรัชสมัยไท่จง

เขาคือผู้นำการยึดจิงตูครั้งนี้ เป็นคนวางแผนการ

ครั้นเมื่อเขาปรากฏกาย ใต้ฟ้าดินแห่งนี้ก็ได้ยินเพียงเสียงบทสนทนาระหว่างเขากับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

ไม่ว่าจะเป็นจูลั่วกับกวนซิงเค่อหรือสิบห้าอ๋องที่เข้ามาในจิงตูแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนนิ่งเงียบไป นี่แสดงถึงความเคารพหรือบางทีอาจเป็นความกลัว

ทว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล โลกหล้าใหญ่โตโอฬาร แล้วจะมีเสียงเพียงแค่หนึ่งหรือสองเสียงได้อย่างไร ย่อมต้องมีเสียงอื่นดังขึ้นเสมอ

“มีความจำเป็นอะไรต้องทำเช่นนี้”

เสียงนี้ดังมาจากคลองทางตะวันออกเฉียงใต้ของจิงตู

เรือใหญ่ที่แล่นมาตามคลองได้หยุดลงช้าๆ

สีหน้านักพรตหญิงชราที่หัวเรือพลันเปลี่ยนไป มือนางยื่นออกมารวดเร็วปานสายฟ้า แต่ที่นางคว้าได้กลับมีแต่ความว่างเปล่า

สีแดงที่อ่อนเข้มต่างกันซึ่งก่อเป็นคลื่นอยู่บนผืนน้ำของคลองนับตั้งแต่ต้นได้เริ่มจางลง

ในตอนนั้น ประกายแสงพลันปรากฏขึ้นในท้องฟ้าราตรีนอกสุสานเทียนซู เผยให้เห็นหยดน้ำฝนที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้าอย่างชัดเจน และยังส่องลงบนร่างคนผู้หนึ่ง

แสงนี้ไม่ใช่ประกายสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากเมฆดำ ทว่าเป็นปราณที่แผ่ออกมาจากการปะทะของร่างนี้กับผนึกของสุสานเทียนซู

ร่างนี้ลอยลงมาจากท้องฟ้าฝนโปรย ลงสู่ผืนน้ำในแม่น้ำนอกสุสานเทียนซู

เขาคืออาลักษณ์วัยกลางคน เสื้อยาวเปียกชุ่มไปด้วยฝน แต่รูปลักษณ์กลับไม่ท้อแท้แม้แต่น้อย ดวงตาสุขุมแผ่รัศมีสง่างาม

ดอกไม้สีแดงสดที่ผูกกับนิ้วก้อยขวาสั่นไหวในสายฝน

เปี๋ยยั่งหง

ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจทะลวงผ่านผนึกของสุสานเทียนซูได้ ถูกขวางกั้นไว้ด้านนอก

แต่เมื่อเขาพูดออกมาแล้ว เขาก็ยังคงพูดต่อไป

มีเสียงปริแตกดังขึ้น

ร่างเปี๋ยยั่งหงเปลี่ยนเป็นภาพลวงตาในทันทีขณะที่เส้นทางสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในม่านฝนหนาแน่น บนแม่น้ำนอกสุสานเทียนซูปรากฏคลื่นสีขาวที่ทอดยาวเป็นเส้นตรง

เพียงลมหายใจเดียว เขาก็ได้บุกเข้ามาในสุสานเทียนซู มาถึงส่วนบนสุดของถนนเสินตรงหน้าที่ราบหิน

ทว่าเขาไม่อาจไปข้างหน้าได้แม้แต่น้อย เพราะจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จ้องมองมาที่เขา

สายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ผ่าลงสู่ร่างของเปี๋ยยั่งหง

แสงสีขาวเจิดจ้าเปลี่ยนน้ำในคลองกลายเป็นไอน้ำในทันที ในขณะที่รอยไหม้เข้มหนาปรากฏขึ้นบนหินแกร่งสีดำ

เปี๋ยยั่งหงมองขึ้นไปที่ปลายถนนเสิน ยังยอดของสุสานเทียนซู สีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อชั่วครู่ที่ผ่านมา เขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของปราณแห่งโลกนี้ ดังนั้นเขาจึงได้ชะงักเท้า มิเช่นนั้นเขาอาจถูกสายฟ้าฟาดใส่และบาดเจ็บสาหัส

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เพียงแค่จ้องมองเขาเท่านั้น

ระดับความแข็งแกร่งที่นางเผยออกมานั้นน่ากลัวเกินไป ทำให้สัมผัสได้อย่างแผ่วเบาว่านางสามารถขับเคลื่อนกฎเกณฑ์ของโลกได้!

ทุกคนประจักษ์ว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มีระดับการบำเพ็ญเพียรอันลึกล้ำยากหยั่งถึง แต่จนตอนนี้ถึงได้รู้ว่าการคาดเดาของพวกเขานั้นล้วนประเมินนางต่ำเกินไป!

บนถนนหลวงสู่ทิศพายัพ กวนซิงเค่อเงยหน้าขึ้น ถอดหมวกไม้ไผ่ออก เผยให้เห็นใบหน้าเรียบเฉยไม่มีอะไรโดดเด่น ดวงตามีประกายหวาดกลัวทั้งสองข้าง

จูลั่วบนรถเข็นมองไปทางนั้นอย่างสุขุม มือซ้ายกุมฝักกระบี่หลวมๆ เป็นมือที่เหลือข้างเดียวของเขา

“จิงตูคือเวทีของเรา พวกเจ้าไม่ควรเลือกสถานที่นี้”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ประกาศต่อโลกนี้อย่างสุขุม

เปี๋ยยั่งหงชะงักเท้า ทว่าเขาก็ยังกล่าวต่อไป “ไม่ว่าจะเป็นที่ใด พวกเราก็ยังคงต้องมา”

“เราหวังว่าเจ้าจะไม่มา” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หันไปมองเขาและกล่าวอย่างสุขุม “เราไม่อยากให้เจ้าตาย”

เปี๋ยยั่งหงตอบ “ข้าศึกษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าย่อมต้องแสวงหาความสงบแห่งใจ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ชมเชย “ช่างสมกับเป็นเปี๋ยยั่งหง ใจเราได้รับการปลอบโยน ในหมู่คนทั้งหลาย เรารู้สึกว่าเจ้าค่อนข้างโดดเด่น มีสีต่างไป กิริยาต่างไป”

สายฝนปั่นป่วน เปลี่ยนเป็นคลื่นจำนวนนับไม่ถ้วน คลื่นสีขาวในแม่น้ำนอกสุสานพลันปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งขึ้น ปราณเริ่มแปลกไป

นักพรตหญิงก็มาถึงสุสานเทียนซูเช่นกัน นางยืนอยู่ข้างกายเปี๋ยยั่งหง สายตามองขึ้นไปอย่างระแวดระวัง

“สิ่งที่น่าสับสนที่สุดในชีวิตของเจ้า ก็คือแต่งงานกับเจ้าสิ่งนั้น”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวเย้ยหยันเปี๋ยยั่งหง

นักพรตหญิงคือภรรยาของเขา อู๋ฉยงปี้ ผู้เป็นแปดมรสุมเช่นเดียวกัน

อู๋ฉยงปี้ฉุนเฉียวเพราะคำพูดนี้ รู้สึกว่าทั้งเสียงฝนและเสียงหญิงผู้นี้ช่างชวนให้หงุดหงิดรำคาญใจ ทว่านางก็ไม่กล้าแสดงออกมา

ในตอนนี้ เปี๋ยยั่งหงก็ไม่อาจพูดอะไรมากนัก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าว “จักรพรรดินี ในเมื่อเขากำลังจะตาย ไฉนท่านไม่มอบความปีติให้เขาสักครั้งหนึ่งเล่า”

เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งที่อยากพูดทั้งหมด

ส่วนที่เขาไม่ได้พูดออกไปก็คือ ‘จากนั้นเรามาสู้กันให้สุขใจ”

.……

……

.……

……

หายากนัก ความปีตินั้นหาได้ผ่านความเจ็บปวดและความสุขใจ[1]

เฉินฉางเซิงนั้นเจ็บปวดอย่างมาก ไม่รู้สึกถึงความสุขใจแม้แต่น้อย แม้แต่สายลมที่พัดผ่านสายฝนมาไกลพันลี้ก็ยังแรงขึ้นเรื่อยๆ

ครั้นได้ยินคำพูดของเปี๋ยยั่งหง จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็หันกายเล็กน้อย มองไปยังเฉินฉางเซิง เป็นสายตาที่ไม่แยแสแต่ก็เห็นสภาพร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน

ตามการคำนวณของผู้เฒ่าความลับสวรรค์ ก่อนที่เขาจะถือกำเนิด วงตะวันของเขาได้ถูกทำลาย เส้นลมปราณเก้าสายฉีกขาด

ในตอนนี้เส้นลมปราณเจ็ดสิบสองเส้นของเฉินฉางเซิงล้วนขาดทั้งหมด จุดชีพจรสามร้อยหกสิบห้าจุดล้วนฉีกขาดทั้งสิ้น

เขากำลังทนทุกข์กับความเจ็บปวดเกินจินตนาการเฉกเช่นตอนที่เขายังอยู่ในครรภ์ ทว่าเขาในตอนนั้นไม่มีสำนึกรู้สึก คนเดียวในโลกที่สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดนั้นก็คือนาง

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่นึกถึงความเจ็บปวดในยามที่เขาอยู่ในครรภ์ ความเจ็บปวดในยามที่เขาถือกำเนิด คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย ดูระคายใจอยู่บ้าง

สายฝนค่อยๆ ตกหนักขึ้น แต่ก็ยังมีดวงดาวที่ทอแสงจางๆ อย่างสงบ ชัดเจนและงดงามอ่อนโยน

กวนซิงเค่อผลักรถเข็นของจูลั่วมาถึงสุสานเทียนซูเช่นกัน

สี่คนจากแปดมรสุมได้มาถึงแล้ว

นักพรตผู้นั้นอยู่ที่ใดสักแห่งในสายฝนอันมืดมิด

นักบวชที่ริมลำธารอยู่ห่างไปหลายหมื่นลี้

ทุกอย่างในจิงตูคืนนี้เป็นส่วนหนึ่งในแผนของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ในตอนนี้ทุกคนมาถึงแล้ว ดังนั้นการมีอยู่ของเฉินฉางเซิงจึงหมดคุณค่าลง ถึงเวลาที่เขาควรตาย

สายฝนหลั่งรินลงมาจากท้องฟ้ามากขึ้น กลายเป็นเส้นสาย รวมกันเป็นกระแสน้ำ ลมที่มาพร้อมกับฝนก็พัดแรงขึ้นเรื่อยๆ

ลึกเข้าไปภายในพายุฝนฟ้าคะนอง สายฟ้าแลบแปลบๆ เหนือท้องฟ้าราตรี ส่องสว่างภาพบนยอดเขาสุสานเทียนซู

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ที่ริมถนนเสิน สองมือไพล่หลัง ไม่มีอารมณ์บนใบหน้างาม เส้นผมดำขลับปลิวไปในสายลม นางเป็นเสมือนเทพหรือมาร

สายฝนไม่อาจเปียกผมของนาง แต่ทำให้เสื้อผ้าเฉินฉางเซิงชุ่มโชก

ใบหน้าเฉินฉางเซิงซีดขาว ร่างเปียกชุ่ม ดูอ่อนแอและน่าสงสารอย่างประหลาด

เขาหอบหายใจ ใช้มือผลักตัวเองขึ้นจากน้ำที่นองอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองนางอย่างยากลำบาก

ในตอนนี้เขาสงบอย่างมาก เพราะเขาด้านชาไปแล้ว ได้สูญเสียความหวังทั้งหมดในโลกนี้ไปแล้ว

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เข้าใจการกระทำของเขาและกล่าวอย่างเฉยชา “โหย่วหรงอยากช่วยเจ้า ข้าเลยส่งนางออกไป”

นางไม่ได้หันมองเขาในยามที่นางกล่าว

ร่างเฉินฉางเซิงที่เริ่มชาด้านเพราะความหนาวเย็น ความเจ็บปวดและความผิดหวัง ผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอบอุ่นยังเหลืออยู่เล็กน้อยในช่องท้องของเขา

ใช่แล้ว ยังมีคนในโลกที่ห่วงใยข้า เหมือนกับโหย่วหรงหรือผู้คนในสำนักฝึกหลวง หรือลั่วลั่วที่อยู่ไกลถึงเมืองไป๋ตี้ หรือศิษย์พี่ที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน…

“ขอบคุณท่าน” เขากล่าวกับแผ่นหลังของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่

เขาขอบคุณนางที่พูดคำพูดเหล่านี้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขา ช่วยให้เขายังจำได้ว่ายังมีความงดงามในชีวิตอยู่

เช่นนี้เมื่อเขาจากไป แม้ไม่เต็มใจอยู่บ้างเพราะเขามีความหลังให้ระลึกถึง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเศร้าเพราะไม่มีสิ่งใดให้ระลึกถึง

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไหลลงจากเขาสุสานเทียนซูตามสองข้างของถนนเสิน สุดท้ายก็กลายเป็นสายน้ำตกที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างน่าตะลึง

เสียงฝนยามราตรีนั้นน่ารำคาญ แต่กระแสน้ำฝนนั้นเป็นหายนะ ยังพอเห็นสัตว์อสูรมากมายซ่อนตัวอยู่ในป่า แต่ไม่มีเสียงแมลงฤดูใบไม้ร่วงร้องให้ได้ยินอีกต่อไป

กระรอกที่กระโดดผ่านป่าเหมือนจะมองหาสถานที่หลบซ่อนจากสายฝน แต่ก็ไม่อาจหาพบ ตัวจึงเปียกโชกอย่างรวดเร็ว ฝนตกหนักเกินไป จนหางกระรอกที่มันลื่นยากจะเปียกน้ำได้ก็ยังเปียกโชก หางที่ปุกปุยเรียบลู่ ขนสีเทาเปียกแนบไปกับร่าง เป็นภาพที่น่าสังเวชยิ่งนัก

หากหางนั้นแห้งและปุกปุย บางทีกระรอกอาจดูอ้วนท้วน

เฉกเช่นกระรอกในป่าของสวนร้อยหญ้า

สายตาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ไล่ตามกระรอกผ่านป่าไปเป็นเวลานานก่อนจะละสายตาจากมา

ยอดฝีมือได้มารวมกันอยู่ที่สุสานเทียนซู ใต้ม่านฝนในความมืดของจิงตูที่ดูสงบนิ่ง มีคลื่นใต้น้ำไหลอยู่มากมาย

อำนาจปกครองต้าโจวของนางในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับการท้าทายที่รุนแรงที่สุด

แต่ในเวลาเช่นนี้ นางกลับตั้งใจมองดูกระรอกซ่อนตัวจากฝน

นางกำลังคิดอะไรอยู่

“ในตำหนักเมื่อสองปีก่อน เจ้าน่าจะได้เห็นกระรอกตัวหนึ่ง”

นางพลันกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา

คำพูดที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ

เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง งุนงงกับสิ่งที่นางกล่าว

จากนั้นเขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ท่ามกลางความมึนงง

นี่เป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว สองปีก่อน คืนจัดงานชุมนุมไม้เลื้อย เขาถูกม่ออวี่หลอกล่อไปยังตำหนักเย็น แล้วก็ขังเอาไว้ในค่ายกลวังถง เพื่อที่จะหลบหนี เขาจึงเสี่ยงเข้าไปยังชั้นใต้ดินผ่านประตูนำทาง ได้พบกับมังกรดำและกลับออกมาผ่านสระน้ำในวังหลวงอย่างยากลำบาก

ในครั้งนี้ หญิงวัยกลางคนได้ยืนอยู่ริมบ่อ บางทีอาจกำลังเตรียมล้างมือหรือซักผ้า

ในตอนนั้น เขาโผล่ออกมาจากสระด้วยสภาพน่าสงสาร เสื้อผ้าเปียกโชกและก็ดึกมากแล้ว หญิงวัยกลางคนดูเหมือนจะตกใจและก้าวถอยหลังไป เกี๊ยะไม้กระทบกับหินเทา

ในตอนนั้น ที่ป่าริมสระมีกระรอกตัวหนึ่งกำลังกินอยู่ มันทิ้งผลไม้และกระโดดขึ้นชั้นสองของตำหนักที่อยู่ด้านข้างด้วยความหวาดกลัว วิ่งไปตามระเบียง มันแกว่งหางไปโดนกระถางดอกไม้

ในตอนนั้น หญิงวัยกลางคนอยู่ใต้กระถางดอกไม้พอดี

ในตอนนั้น เฉินฉางเซิงเพิ่งจะหนีออกมาจากความระกำลำบาก ยังอยู่ภายในส่วนลึกของวัง เขาอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดอย่างมาก ซึ่งไม่อาจให้ใครพบเห็นได้ ทว่าเมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็ไม่คิดอะไรก่อนจะรุดวิ่งไป

เขากอดหญิงวัยกลางคนเอาไว้แนบอกและหมุนตัวบังนาง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้กระถางดอกไม้ตกลงมา ก็จะตกลงบนหลังของเขาไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น

โชคยังดีที่กระถางดอกไม้ไม่ตกลงมา

ในตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง เพราะนางไม่ใช่หญิงวัยกลางคนแต่เป็นจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แล้วนางจะตกใจได้อย่างไร

การกระทำของเขาในตอนนั้นไม่เป็นเรื่องเสียเปล่าและน่าหัวเราะในสายตานางหรอกหรือ

แต่เหตุใดนางถึงพลันพูดถึงกระรอกตัวนั้นขึ้นมาในตอนนี้

เมื่อเขาคิดถึงเวลานั้น เฉินฉางเซิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย

……

……

[1] คำว่า 痛快 แปลว่าปีติยินดี แยกออกเป็น 痛 ที่แปลว่าเจ็บปวด และ 快 ที่แปลว่าสุขใจ