ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 134 เราไม่ทำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ทำไม”

“เมื่อหกร้อยเจ็ดสิบเจ็ดปีกับอีกสามร้อยหกสิบสี่วันที่แล้ว ท่านได้ลอบออกจากสวนร้อยหญ้าเพื่อพบข้ากับศิษย์น้อง ในตอนนั้น ท่านบอกว่าท่านจะทำอะไรหากเราช่วยให้จักรพรรดิเซียนขึ้นครองบังลังก์ สองร้อยสิบสี่ปีกับหกสิบเก้าวันที่แล้ว โรคตาของจักรพรรดิเซียนทรุดหนักจนไม่อาจมองเห็นได้ เขาจึงตัดสินใจให้ท่านเป็นตัวแทนในการตอบฎีกาที่ส่งให้จักรพรรดิ เมื่อข้ากับศิษย์น้องคัดค้าน ท่านก็บอกว่าเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น เวลาชั่วคราวนั้นก็ผ่านมานานสองร้อยสิบสี่ปีกับอีกหกสิบเก้าวันแล้ว ยี่สิบปีที่แล้วก่อนจักรพรรดิเซียนจะกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ท่านบอกกับจักรพรรดิเซียนว่าท่านจะปกครองแค่ปีเดียวและจากนั้นจะคืนราชบัลลังก์ให้กับสกุลเฉิน แต่แล้ว…”

“เจ้าจะบอกว่าเราต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ตอนนั้นและส่งมอบราชบัลลังก์…ให้กับขยะพวกนี้หรือ”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่ราชรถสิบห้าคันที่เข้ามาในจิงตู และเหล่าอ๋องสกุลเฉินที่อยู่ในราชรถพวกนั้น รอยยิ้มดูถูกปรากฏขึ้นบนใบหน้านาง

“นี่เป็นเหตุผลที่ดี การกระทำเพื่อสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ของมวลประชา ดูจะสำคัญกว่าคำสัญญาของคนผู้หนึ่ง และท่านก็จะบอกว่าท่านต้องคำนึงถึงการดำรงอยู่สืบไปของตระกูลเทียนไห่”

นักพรตยืนอยู่กลางสายฝน ทอดมองไปยังสุสานเทียนซูกล่าวอย่างสุขุม “ยี่สิบปีก่อน เหตุผลเหล่านี้อาจพอใช้ได้ ทว่าตอนนี้ไม่ได้แล้ว เพราะข้าได้พิจารณาให้ท่านแล้ว”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ละสายตาจากภาพบนม่านแสงแล้วกล่าว “เช่นนั้นในมุมมองของเจ้า เราควรมอบบัลลังก์ให้กับใคร”

นักพรตบนม่านแสงน่าจะอยู่บนถนนสักแห่งทางตอนใต้ของจิงตู แต่ก็ดูเหมือนอยู่ที่อื่นด้วยในเวลาเดียวกัน

ไม่มีใครแน่ใจว่าเขาอยู่ที่ใดกันแน่ เพราะเขาไม่เคยให้ใครยืนยันตำแหน่งที่อยู่ได้ เขาเป็นดุจเงาในสายฝน เหมือนอยู่ในสายฝน แต่บางทีอาจอยู่เหนือขึ้นไป

เขากล่าว “ราชบัลลังก์ต้าโจวก็ควรส่งมอบให้กับบุตรคนเดียวขององค์จักรพรรดินีท่านกับจักรพรรดิเซียน”

เฉินฉางเซิงอยู่ด้านหลังจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ทว่านางมิได้หันไปมองขณะพูดอย่างเฉยชา “ส่งมอบให้กับเด็กที่กำลังจะตายเช่นนั้นหรือ”

“จักรพรรดิเซียนมีบุตรมากมาย ทว่าองค์จักรพรรดินีท่านมีเพียงคนเดียวเท่านั้น และเขาก็มีสิทธิ์อย่างไม่อาจปฏิเสธได้ที่จะเป็นรัชทายาท ในร่างเขามีเลือดราชวงศ์และยังมีเลือดตระกูลเทียนไห่เช่นกัน หลังจากเขาขึ้นครองบัลลังก์ เขาย่อมต้องห่วงใยครอบครัวมารดา หากเขาสืบทอดราชบัลลังก์ ราชวงศ์ก็ไม่คัดค้าน ตระกูลเทียนไห่เองก็ไม่คัดค้านเช่นกัน นี่ไม่นับว่าเหมาะเจาะหรอกหรือ”

นักพรตกล่าวต่อ “การบรรจบกันของเหนือใต้ก็ลุล่วงไปด้วยดีแล้ว มั่นใจได้ว่าราชวงศ์ต้าโจวจะดำรงไปอีกหลายชั่วอายุคนอย่างแน่นอน เหลือเพียงสิ่งเดียวที่จักรพรรดินีควรจะทำก็คือสละบังลังก์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

‘สละบังลังก์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น’ แค่คำพูดนี้เท่านั้นไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

‘ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น’ อันแจ่มชัด

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองนักพรตในสายฝนอย่างเงียบงัน

นักพรตยืนอยู่ในสายฝนเงียบๆ เขาพูดทุกอย่างที่ต้องการพูดแล้ว ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไป และบทสนทนาระหว่างคนทั้งสองก็น่าจะได้ยินไปทั่วทั้งต้าลู่แล้ว

ด้วยเหตุใดไม่ทราบ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พลันหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่ร่าเริงอย่างมาก ทว่าเปี่ยมด้วยความดูถูก

“นับจากสองปีก่อนที่เจ้าส่งเขามาจิงตูจนถึงตอนนี้ เจ้าก็ดูเหมือนจะทำสิ่งหนึ่งมาตลอด ให้เราได้เห็นเขา”

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่บนพื้น มองดูหลังที่สูงส่งยิ่งใหญ่ของนาง ครั้นได้ยินคำพูดของนาง เขาก็ตระหนักว่าเป็นเรื่องจริง

ไม่ว่าจะเป็นการหมั้นหมายกับจวนขุนพลเทพตงอวี้ การเกิดใหม่ของสำนักฝึกหลวง การชุมนุมไม้เลื้อย การประกาศบนถนนเสิน เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นการเร่งให้เขาเติบโต แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำให้เขาตกอยู่ในสายตาจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์

เรื่องมากมายมุขนายกเหมยลี่ซาเป็นผู้ผลักดัน แต่เบื้องหลังเขาย่อมเป็นเงาร่างของนักพรตผู้นี้อย่างเลี่ยงไม่ได้

“ได้เห็นเขาก็จะเกิดความสงสัย จำเป็นต้องสืบสวนไขข้อกังขา”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เอามือทั้งสองไพล่หลัง สายตามองดูนักพรตในสายฝน กล่าวกับโลกในสายฝนช้าๆ “เขาเป็นดั่งผลไม้ที่ยังไม่สุก ถูกหล่อเลี้ยงโดยพวกเจ้าทั้งหลาย จากนั้นก็ปล่อยให้เราได้เห็น จนในที่สุดก็สุกและส่งกลิ่นหอม ใครได้กลิ่นก็เต็มไปด้วยความปรารถรถจะกินเขา”

“สำหรับคนทั้งโลก นี่คือผลไม้ที่ล่อใจที่สุด สำหรับเราแล้วก็ยิ่งล่อใจมากขึ้นไปอีก”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่หันหน้ากลับมามองเฉินฉางเซิงแล้วกล่าว “นี่เป็นผลลัพธ์อันน่าพอใจที่สุดของวงจรวิถีสวรรค์ บทสรุปอันสมบูรณ์แบบของเหตุและผล”

นางหันไปมองโลกทั้งใบในสายฝน รอยยิ้มเย้ยหยันแย้ยที่มุมปาก “แต่…เราจะไม่กิน”

ทั้งโลกเงียบงัน ในสุสานเทียนซูและในจิงตู มีแต่เสียงสายฝนตกกระทบพื้นดังให้ได้ยิน

นางกล่าวต่อ “ผลอายุวัฒนะนี้บางทีอาจทำให้มนุษย์เป็นอมตะได้ แต่สันนิษฐานได้ว่ามันมีแต่ผลเสียต่อข้า”

ในที่สุด นางก็มีสีหน้าเสียดาย ถอนหายใจแล้วกล่าว “เซียนมอบผลอายุวัฒนะแก่ข้า…น่าเสียดายที่ไม่มีพวกเจ้าคนใดเป็นเซียน มีแค่คนธรรมดา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”

คนธรรมดา ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

……

……

ในแดนเทพมีสวนอยู่แห่งหนึ่ง ในสวนมีต้นไม้ บนต้นไม้มีผลไม้

ผลไม้นี้บรรจุไว้ด้วยพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุด เมื่อกินผมไม้นี้ก็จะก้าวข้ามโลกียวิสัย ได้รับประสบการณ์และความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณที่เกินจินตนาการ

นี่คือตำนาน ตำนานของดินแดนเซิ่งกวง

คนในโลกนี้ย่อมไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เขาเคย

นักบวชริมลำธารผู้มาจากที่ห่างไกลเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปทางจิงตูที่ห่างไกล ดวงตามีประกายเคร่งขรึม

……

……

นักพรตในสายฝนยังคงสงบนิ่งอย่างมาก แต่อารมณ์ที่แท้จริงนั้นยากจะรู้ได้

ถนนโดยรอบเงียบสงัดงัน ในราตรีอันมืดมิดอย่างยิ่ง ผู้คนยังหลับใหล มีแต่เขาที่ยังตื่นอยู่ แต่ว่าจิตใจของเขาแจ่มใสหรือไม่

เขาโผล่ออกมาจากความว่างเปล่ากลางสายฝนราตรี ตั้งแต่เขาก้าวออกมา ก็ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียวหล่นต้องชุดนักพรตของเขา ทว่าในยามนี้ หยดน้ำหลายหยดปรากฏขึ้นบนเส้นผมของเขา ส่องประกายสดใส

ใช่แล้ว ผลอายุวัฒนะนี้เป็นแผนการ เป็นหลุมพราง

นอกจากสารานุกรมซีหลิวที่ซ่อนไว้หลังเรื่องทั้งหมดนี้ ก็ไม่มีอะไรไม่แจ่มชัดอีก ทุกอย่างล้วนเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่ซับซ้อนแม้แต่น้อย

ตอนที่เขาเริ่มวางหลุมพรางนี้เมื่อยี่สิบปีก่อน เขาก็ตระหนักถึงจุดนี้ดี

กับดักนี้ไม่เคยซับซ้อนมากนัก ด้วยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับของวิถีสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น กับดักยิ่งซับซ้อนก็ยิ่งสะดุดตาเทียนไห่ที่ระแวดระวังอยู่เสมอรวมถึงคนอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน

แต่เขาเชื่อว่านอกจากเหล่าเทพที่อยู่ในดินแดนอันห่างไกล ก็ไม่มีใครแล้วที่จะมองผ่านปัญหาของผลอายุวัฒนะได้ แม้แต่ตัวเทียนไห่เอง

เขายังเชื่อว่าผลอายุวัฒนะนี้มีแรงดึงดูดที่ยากขัดขืนต่อทุกผู้คน โดยเฉพาะเทียนไห่

มันเป็นกับดักถึงตายที่สอดคล้องกับวิถีสวรรค์ ไม่มีเหตุผลแม้แต่อย่างเดียวที่จะล้มเหลวได้

แต่กระนั้นเทียนไห่ก็ยังไม่ติดกับ

มิใช่เพราะนางมองปัญหาของผลอายุวัฒนะออก แต่นางแค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น

นางต้องการจะกินผลอายุวัฒนะนี้หรือไม่ แน่นอนว่าต้องการ

กระนั้นก็ตาม นางรู้ดีว่าคนพวกนี้ได้ลงทุนลงแรงมากมาย ใช้เวลายี่สิบปีเพื่อส่งเขามาให้นาง โดยเปลือกนอกแล้วพวกเขาใช้สารานุกรมซีหลิวลดอายุเขาไปสามปี ราวกับไม่ต้องการให้นางพบว่าเขาเป็นใคร แต่คนพวกนี้จะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางย่อมรู้ว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ต้องอยากให้นางกินเขาเป็นแน่

ทั้งโลกรอให้นางกินเขาอยู่เงียบๆ

ทั้งโลกตั้งตาดูนางกินลูกชายของตัวเอง

ดังนั้นนางก็จะไม่กิน

ต่อให้ผลไม้นี้ไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อย ต่อให้การกินผลไม้นี้อาจทำให้นางหลุดพ้นจากความเป็นตาย และเข้าสู่ระดับมหาอิสระได้อย่างแท้จริง นางก็จะไม่ยอมกิน

มิใช่เพราะความระมัดระวังหรือรอบคอบ แต่เป็นการทำตามใจต้องการ

นางคือเจตจำนงของตัวนางเอง

เจตจำนงของนางก็คือหากทั้งโลกอยากให้นางทำอะไร นางก็ไม่มีทางทำอย่างแน่นอน

……

……

หลังวัดเก่าเมืองซีหนิง

นักบวชพอจะเข้าใจบางอย่าง และหันหน้าเล็กน้อยมองขึ้นไปตามลำธาร

ราตรีมืดมนไม่มีการจุดโคมไฟในเมืองอันกันดารแห่งนี้ ทุกอย่างมืดสนิท

ทว่าในสายตาของเขา ภาพโดยรอบยังคงชัดเจนไม่ต่างกับตอนกลางวัน เขามองเห็นปลาลอยตัวอยู่ในร่องหินอย่างเงียบงัน มองเห็นกลีบดอกไม้ลอยไปตามลำธาร

เมื่อกลีบดอกไม้ลอยมาที่เท้าเปลือยเปล่าของเขา มันก็เบนออกไปช้าๆ

เขายิ้มและถอนหายใจ

เศร้าอยู่บ้างแต่ไม่ผิดหวัง

……

……

“บางทีคือความอายุยืน บางทีคือการตกสู่นรกไปชั่วกาล นี่เป็นการพนันอย่างหนึ่ง ไม่กินเขาไม่ได้หมายความว่าสายตาของท่านมองทะลุวิถีสวรรค์อันสูงส่ง ท่านก็แค่หวาดกลัว”

นักพรตในสายฝนไม่รู้สึกผิดหวัง เพราะมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น

เขากล่าวต่อ “ท่านรู้ว่านี่เป็นกับดักของวิถีสวรรค์ คู่ต่อสู้ของท่านไม่ใช่ข้า แต่เป็นวิถีสวรรค์ ดังนั้นท่านจึงไม่กล้าก้าวขึ้นสู่เวที”

ได้ยินเช่นนี้ คิ้วจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็เลิกขึ้นเล็กน้อยประดุจหงส์กำลังจะออกบิน

“เมื่อหวาดกลัววิถีสวรรค์ แล้วไม่กลัวการสะท้อนกลับของวิถีสวรรค์เช่นนั้นหรือ”

นักพรตกล่าวกับนางอย่างสุขุม “อย่าลืมว่ายามที่ท่านได้กล่าวคำสาบานเลือดกับท้องฟ้าพร่างดาว ข้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”

“ต่อให้วิถีสวรรค์ตกลงมา คนที่จะตายก็ยังเป็นเขา”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวต่ออย่างสุขุม “เราจะมองดูเขาตาย ทำให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น”

นักพรตถอนหายใจ “อย่างที่คิดไว้ ท่านยังคงเป็นคนเลือดเย็นที่สุดในโลก”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “เจ้าก็เช่นกัน”

ทั้งสองพูดคุยราวกับว่ายืนอยู่ตรงหน้ากัน แต่อันที่จริงพวกเขาอยู่ห่างกันหลายสิบลี้ และบางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนหลายพันลี้

เพราะที่อยู่ของนักพรตบนโลกนี้เป็นเพียงภาพมายาไร้ซึ่งตัวตน ไม่อาจระบุได้

เฉินฉางเซิงเองก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหนบนโลกนี้

เขาเคยเชื่อว่าเขาเป็นนักพรตน้อยจากวัดเก่าเมืองซีหนิง เป็นศิษย์ของอาจารย์ แต่ตอนนี้เขาพบว่าเขาไม่ใช่อะไรเลยนอกจากผลไม้ลูกหนึ่ง

หากถูกกินก็จะมีคุณค่าอยู่บ้าง หากไม่ถูกกิน ก็จะถูกละเลย ได้แต่รอให้สุกงอมเกินไปจนร่วงหล่นกลายเป็นเศษซากเหลวแหลก

เขาคือลูกของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ แต่นางก็มองดูเขาตายอย่างใจเย็น

ว่าตามเหตุผล คนทั้งสองที่พูดคุยกันอยู่นี้ เป็นสองคนที่ใกล้ชิดกับเขาที่สุดในโลก

คนหนึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด อีกคนเป็นอาจารย์ที่เลี้ยงเขามาจนเติบโต

แต่ยามที่พวกเขาพูดกัน กลับไม่แม้แต่จะมองมาที่เขาด้วยซ้ำ

เมื่อพูดถึงความเลือดเย็นไร้หัวใจ ใครจะรับรู้ได้อย่างชัดเจนลึกซึ้งมากไปกว่าเขาในคืนนี้ได้อีก

ความเฉยชา ความเศร้าสร้อย ทั้งยังความน่าขันเช่นนี้ นี่เป็นความรู้สึกแบบใดกัน

มันฝังลึกลงไปถึงกระดูกเขา

ความเจ็บปวดประหนึ่งบางอย่างแทงเข้ามาในกระดูก ผุดพล่านขึ้นมาจากทุกส่วนของร่างกายภายในเวลาอันสั้น

มีเสียงดังปุเบาๆ หลายครั้ง เข็มที่ปักอยู่บนคอเขากระดอนออกไป ปักลึกลงไปบนแผ่นหินปูพื้น

เลือดที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตไร้ขีดจำกัด ไหลออกมาจากอวัยวะภายในราวกับน้ำป่าไหลหลาก

ปราณแท้ที่เหลืออยู่ในเส้นลมปราณที่ขาดวิ่น ซึมเข้าสู่กระดูกและเนื้ออย่างต่อเนื่อง

รอยแตกร้าวราวใยแมงมุมปรากฏขึ้นบนอวัยวะภายในของเขา

ใบหน้าซีดเผือด

เจ็บปวดอย่างที่สุด

เขากำลังจะตาย