ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 133 นักบวชริมลำธาร นักพรตกลางสายฝน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ประมุขรองตระกูลถังนิ่งเงียบไป

ผู้พิทักษ์ใหญ่พยักหน้า “คืนนี้ชัดเจนว่าเซวียสิ่งชวนจะอยู่ในวังเพื่อดูแลผังลายจักรพรรดิ คนผู้นั้นมีลมปราณสมบูรณ์ และอยู่ในช่วงสูงสุดของชีวิต หากข้ากับเขาสู้กัน ข้าก็ไม่มีโอกาสทำสำเร็จมากนัก นอกจากนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จะมอบทวนหิมาลัยเทวาให้แก่เขา ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาย่อมเข้าใกล้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด”

ความหมายเบื้องหลังคำพูดนี้ชัดเจนมาก หากเซวียสิ่งชวนถือทวนหิมาลัยเทวาก็มีแต่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะเอาชนะเขาได้ ด้วยทรัพยากรของตระกูลถังที่สะสมมากว่าพันปี บางทีพวกเขาอาจจะร้องขอให้ยอดฝีมือระดับเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ให้ลงมือได้ แต่ค่ายกลพิฆาตสวรรค์ในวังหลวงนั้นมุ่งเน้นใช้กับยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่อาจคลี่คลายได้ ต่อให้ผู้พิทักษ์ใหญ่เสี่ยงลงมือเองก็มีโอกาสสำเร็จเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น

ประมุขรองตระกูลถังยังคงเงียบงัน

ผู้พิทักษ์ใหญ่กล่าว “ผู้พิทักษ์ตระกูลชิวซานนั้นไม่แข็งแกร่งเทียมข้า เซียงอ๋องเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่ไม่ยอมปรากฏตัวในจิงตูก่อนสถานการณ์จะได้ข้อสรุป จงซานอ๋องก็เป็นคนบ้าผู้หนึ่ง นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก”

“ไม่” ประมุขรองตระกูลถังส่ายหน้า “ตระกูลถังของพวกเราจะมอบข้อมูล การประเมินและเงิน แต่จะไม่ส่งคนออกไปแม้แต่คนเดียวจนกว่าจะถึงช่วงสุดท้ายอย่างแท้จริง”

“แล้วใครจะทำลายค่ายกลพิฆาตสวรรค์ หากเราไม่อาจเข้าวังหลวง ต่อให้ประมุขผู้เฒ่ามาจิงตูด้วยตัวเอง ก็ไม่มีโอกาสได้รับผังลายจักรพรรดิมา”

“คนผู้นั้นบอกประมุขผู้เฒ่าว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้เอง”

“ด้วยความรับผิดที่ยิ่งใหญ่ การเลือกคนมารับมือกับเรื่องเช่นนี้มิใช่ใช้ความเชื่อใจ แต่เป็นความสามารถ”

ประมุขรองตระกูลถังแย้ง “แม้แต่ข้ายังรู้สึกกลัวเมื่ออยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น ดังนั้นเชื่อได้ว่าหากเขาบอกว่าเขาทำได้ เขาก็จะทำได้”

เขาไม่ได้บอกชัดเจนว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่

ถังซานสือลิ่วย่อมไม่มีทางรู้ได้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขามั่นใจว่าคนที่พูดถึงก็คืออาจารย์ของเฉินฉางเซิง อดีตเจ้าสำนักฝึกหลวงซางสิงโจว

“ในเมื่อเป้าหมายของทุกคนในคืนนี้ก็คือเชิญจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กลับคืนสู่ทะเลดวงดาว เหตุใดไม่ช่วยเฉินฉางเซิงไปด้วยระหว่างนั้น”

เขาพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะข่มเสียงให้สงบเรียบเฉย แสดงออกว่าเขาไม่ได้สนใจมากนัก

ทว่าเขาไม่อาจปิดบังจากสายตาประมุขรองตระกูลถังที่ตอบกลับมา “เรื่องสองอย่างนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน”

ถังซานสือลิ่วตอบ “หากนี่คือหนทางของวิถีสวรรค์ เช่นนั้นการให้เฉินฉางเซิงมีชีวิตอยู่ก็ย่อมส่งผลต่อจิตใจจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์”

ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะอย่างไร้เสียงอีกครั้ง จากนั้นก็อธิบายอย่างเรียบเฉย “อย่างแรก เราไม่ได้ทำตัวเป็นผู้รับใช้วิถีสวรรค์ แต่พูดกันถึงเรื่องของมนุษย์ อย่างที่สอง เราแซ่ถังไม่ได้แซ่เฉิน เราไม่ใช่ขุนนางที่ซื่อสัตย์หรือผู้ภักดีต่ออ๋องทั้งสิบเจ็ดที่กลับมาจิงตู การมีชีวิตอยู่ของเฉินฉางเซิงไม่ใช่เรื่องที่เราสนใจ เราต้องสนใจเรื่องการอยู่รอดของพวกเราเอง”

ถังซานสือลิ่วถาม “เช่นนั้นอารองคิดบ้างหรือไม่ว่าจะทำอย่างไรหากเราเป็นฝ่ายแพ้”

ประมุขรองตระกูลถังยิ้ม “หากคนผู้นั้นไม่อาจทำลายค่ายกลพิฆาตสวรรค์และช่วยเราให้เข้าสู่วังหลวงได้ เช่นนั้นเราก็ต้องกลับไปเวิ่นสุ่ย”

ถังซานสือลิ่วตอบอย่างสุขุม “ดูท่านมั่นใจเหลือเกินว่าตระกูลถังของเราจะไม่ได้รับผลกระทบ”

“แน่นอน เพราะจะไม่มีใครเห็นเราปรากฏตัวในจิงตูแม้แต่ครั้งเดียว”

ประมุขรองตระกูลถังชี้แนะ “อย่าลืมคำพูดก่อนหน้านี้ของข้า ตระกูลถังของเราไม่ทำธุรกิจที่ขาดทุน”

ถังซานสือลิ่วตอบ “แต่ท่านก็เอ่ยชื่อหวังผ้อเช่นกัน”

ประมุขรองตระกูลถังไม่ได้โกรธเพราะคำพูดนี้ เขาถอนหายใจกล่าว “ถูกต้อง นอกจากหวังผ้อก็มีซูหลี ธุรกิจขาดทุนที่สุดสองอย่างที่ประมุขผู้เฒ่าเคยทำตลอดชีวิตของท่าน หากสองคนนั้นมายังจิงตูคืนนี้ ซูหลีไปสุสานเทียนซูเพื่อเหนี่ยวรั้งจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนหวังผ้อก็ทำการคำนวณความเปลี่ยนแปลงของค่ายกลเพื่อหาจุดอ่อน จากนั้นก็ไปยังวังหลวงใช้ดาบเดียวของเขาสู้กับเซวียสิ่งชวน เหตุใดพวกเรายังต้องมาที่นี่อีก แล้วผลลัพธ์เล่า คนหนึ่งยืนกรานจะใช้ชีวิตอย่างบัณฑิตที่มีกลิ่นอายยากจนเข็ญใจ ในขณะที่อีกคนยืนกรานจะทำตัวเอาแต่ใจใช้ชีวิตไม่สนโลกแต่กลับไม่อาจตัดขาดคู่ที่งดงามปานบุปผา น่าเสียดายจริงๆ”

“ข้าจะไม่พูดเรื่องที่หวังผ้อถูกอารองบีบออกจากเวิ่นสุ่ยก็แล้วกัน”

ถังซานสือลิ่วมองท่านอา แย้มยิ้มและกล่าว “ในยามที่ตระกูลถังต้องการพวกเขาที่สุด ทั้งคู่กลับไม่ปรากฏตัวที่นี่ บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขามองว่าตระกูลถังของพวกเรา ไม่สิ ตระกูลถังของท่านรู้จักแต่ใช้นิ้วคำนวณและใช้เงินเจรจา ทำให้พวกเขารู้สึกขยะแขยง อย่าว่าแต่ให้ความนับถือเลย”

รอยยิ้มเขาช่างไร้เดียงสา บริสุทธิ์และเจิดจ้า

ประมุขรองตระกูลถังมองกลับมาเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นตบหน้าถังซานสือลิ่ว

ถังซานสือลิ่วถูกตบกระแทกกำแพง มีสภาพน่าอนาถใบหน้าด้านซ้ายบวมปูด เลือดซึมออกมาจากมุมปาก

แต่เขาก็ยังยิ้ม ยิ้มอย่างดีใจ ทำให้รอยยิ้มเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม

“ข้าบอกแล้ว ว่าจะไม่เล่นเป็นเด็กกับเจ้า” ประมุขรองตระกูลถังกล่าวกับเขาอย่างเคร่งขรึม

ถังซานสือลิ่วโงนเงนลุกขึ้น เอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ บรรจงเช็ดเลือดออกจากริมฝีปากและกล่าว “ไม่ นั่นเป็นเพราะท่านรู้ว่าข้าพูดถูก”

ประมุขรองตระกูลถังยิ้มให้เขา “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าอารองของเจ้าไม่กล้าฆ่าเจ้า”

ถังซานสือลิ่วยิ้มตอบ “ในสำนักฝึกหลวง ข้าเคยบอกต่อหน้าผู้คนมากมายว่าอารองหมายให้ข้าตายมาตลอด แล้วข้าจะคิดว่าท่านไม่กล้าได้อย่างไร”

เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ แต่หัวเราะและกล่าวต่อ “ข้าเชื่อว่าประมุขผู้เฒ่ารู้บทสนทนาที่เราคุยกันในสำนักฝึกหลวงแล้ว และข้าก็เชื่อว่าท่านปู่ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็จะรายงานเรื่องการสนทนานี้กลับไปยังเวิ่นสุ่ย หลังจากข้ากลับบ้าน ข้าก็จะบอกประมุขผู้เฒ่าเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ดังนั้นหากอารองไม่ฆ่าข้าก็คงจะเป็นปัญหาทีเดียว”

ประมุขรองตระกูลถังยังคงยิ้มอยู่ “เจ้ารู้วิสัยทัศน์และจิตใจของประมุขผู้เฒ่าดียิ่งกว่าใคร”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะอีกครั้งแล้วกล่าว “คนแก่…ไม่ว่าจะมีวิสัยทัศน์ดีเพียงไร ก็ยังมีความฝ้าฟาง ไม่ว่าจะมีจิตใจคั่งแค้นเช่นไร ก็ยังเอ็นดูหลานชายเพียงคนเดียวอยู่ดี ต่อให้อารองมีลูกแล้วเลี้ยงจนโตอายุเท่าข้า ต่อให้ปากหวานเหมือนท่าน ท่านก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีและข้าคำนวณว่าถึงตอนนั้นก็คงสายไปแล้ว ดังนั้นอารอง หากท่านใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่ายต่อไป หรือทำตัวเป็นลูกล้างลูกผลาญต่อไปแม้ว่าทุกคนจะรู้อยู่แล้วก็ตาม บางทีท่านคงต้องฆ่าข้าก่อนกลับเวิ่นสุ่ย หาไม่แล้วเราคงไม่อาจแสร้งทำเป็นว่า ท่านไม่เห็นข้า ข้าไม่เห็นท่าน ได้อีกต่อไป”

ในยามที่ทั้งสองคนพูด พวกเขาต่างก็ยิ้มให้แก่กัน ใบหน้าทั้งคู่หล่อเหลาคล้ายกัน ทว่าภาพนี้กลับไม่มีความปรองดองอย่างน่าประหลาด ใครเห็นเป็นต้องตัวสั่นด้วยความกลัว

พวกเขาเป็นอาหลานแบบไหนกัน

ในที่สุดรอยยิ้มประมุขรองตระกูลถังก็จางไป เขามองถังซานสือลิ่วและกล่าว “นี่ไม่เท่ากับบีบให้ข้าต้องแก่งแย่งชิงตระกูลหรอกหรือ”

ถังซานสือลิ่วหัวเราะ “ตระกูลถังของเรา…ไม่สิ ตระกูลถังของท่านชอบใช้ผลประโยชน์มาควบคุมคนไม่ใช่หรือ ข้าเองก็อยากลองดูเช่นกัน”

ได้ยินเช่นนั้น ประมุขรองตระกูลถังก็หัวเราะอย่างไร้เสียงอีกครั้ง ปากอ้ากว้างดูน่ากลัวทีเดียว

“เลิกหัวเราะเช่นนั้นเถอะอารอง” รอยยิ้มถังซานสือลิ่วหายไปอย่างฉับพลันและกล่าวอย่างจริงใจ “มันดูโง่เขลาเช่นคนปัญญาอ่อน”

……

……

ด้วยว่าอยู่ใกล้กับท้องฟ้าราตรี ในวันปกติที่มีดวงดาวสุกสกาว ยอดเขาสุสานเทียนซูสมควรสว่างกว่านี้ แต่ทว่าคืนนี้ ราตรีเต็มไปด้วยเมฆดำบดบังดวงดาว ความมืดจึงลึกล้ำยิ่งกว่าส่วนอื่นของจิงตู ม่านแสงที่เกิดจากแสงกระจ่างชัดบนถนนเสินจึงดูชัดเจนมากขึ้นในความต่างนี้ ทำให้แม้แต่รายละเอียดเล็กน้อยก็ยังมองเห็นได้

ตอนนี้เฉินฉางเซิงเห็นภาพสำนักฝึกหลวงบนม่านแสงรวมถึงชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายกับถังซานสือลิ่วอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครแต่เขาพอจะเดาได้ กระนั้นเขาก็ไม่อาจคิดได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างอาหลานคู่นี้ ไม่รู้ว่าคนจากตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเตรียมจะทำอะไรในจิงตู

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ย่อมรู้มากกว่าแต่นางไม่สน

นางรู้มาก่อนแล้วว่าตระกูลถังย่อมส่งคนมาแน่นอน ตาเฒ่าที่ริมน้ำเวิ่นสุ่ยซึ่งถูกนางสะกดข่มมานานกว่าสองศตวรรษจะยอมพลาดโอกาสในคืนนี้ได้อย่างไร

ทุกคนที่ควรมาก็มาแล้ว

“คนที่ไม่ควรมาก็มาแล้ว”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ละสายตาจากม่านแสงในความมืดแล้วมองไกลออกไป

เป็นที่ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวของจูลั่วกับกวนซิงเค่อ อู๋ฉยงปี้กับเปี๋ยยั่งหง สิบเจ็ดอ๋องกบฏหรือสี่ตระกูลใหญ่ ก็ไม่มีใครทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของนางได้

ทว่าเมื่อนางหันไปมองที่ห่างไกล สีหน้าของนางกลับตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย

จิงตูอยู่กลางต้าลู่ ที่ห่างไกลนั้นอาจเป็นดินแดนต้าซีหรือบางทีเป็นหมู่เกาะในทะเลใต้ หรือทุ่งหิมะไร้ขอบเขตทางตอนเหนือไปยังเมืองเสวี่ยเหล่า

หรืออาจเป็นสุสานเมฆา

ในสุสานเมฆามีภูเขาโดดเดี่ยวลูกหนึ่ง ห่างจากภูเขาโดดเดี่ยวไปสามร้อยลี้มีเมืองที่มีผู้คนประปรายอยู่เมืองหนึ่ง เมืองนั้นเรียกว่าเมืองซีหนิง

นอกเมืองมีวัดเก่าแห่งหนึ่ง ด้านหลังวัดเก่ามีลำธารเล็กๆ ว่ากันว่าลำธารนี้ไหลมาจากภูเขาโดดเดี่ยวภายในสุสานเมฆา

นักบวชผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ลำธารเมื่อไรก็ไม่ทราบ

นักบวชผู้นี้สวมใช่เสื้อคลุมนักบวช เต็มไปด้วยฝุ่นและรอยขาดแต่ก็แผ่กลิ่นอายเหนือธรรมชาติ

นักบวชผู้นี้มีรูปร่างหล่อเหลาสง่างาม ยากจะบอกได้ว่ามีอายุเท่าไร แต่น่าจะอยู่ในวัยกลางคน ที่หางตามีริ้วรอยจางๆ ดวงตากระจ่างใสเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตา ประหนึ่งว่าสามารถมองไปได้ไกลอย่างหาใดเปรียบ มองเห็นได้ทุกอย่าง

นักบวชจุ่มเท้าลงในลำธารพลางถอนหายใจ

การถอนหายใจนี้เจืออารมณ์อันซับซ้อน

เท้าคู่นั้นเดินทางมาหลายหมื่นลี้ เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน

เขากับคนในตระกูลที่เหลือได้ไปจากต้าลู่เกือบพันปีแล้ว เนิ่นนานเหลือเกิน

รอยยิ้มจางปรากฏบนใบหน้านักบวช สายฝนพลันเริ่มร่วงรินลงมาจากท้องฟ้าเหนือลำธาร

สุสานเมฆาเป็นสถานที่สิ้นสุดของหมู่เมฆและต้นกำเนิดแห่งน้ำทั้งมวล ที่แห่งนี้ใกล้กับสุสานเมฆามาก สายฝนย่อมสดชื่นที่สุด

ห่างไปหลายหมื่นลี้ที่จิงตูก็มีฝนเริ่มตกลงมา ฝนโปรยปรายในมืดมิด ตกลงไปบนถนนและสุสาน

ตอนใต้ของเมืองบนถนนที่ธรรมดาสายหนึ่ง สายฝนสายหนึ่งเปลี่ยนรูปเล็กน้อย ลำแสงสะท้อนผ่านมันมา

นักพรตคนหนึ่งเดินออกจากราตรีฝนพรำ มาจากที่ใดไม่ทราบ

เขายืนอยู่ในความมืดใต้สายฝนฤดูใบไม้ร่วง แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นั่น

เขาอยู่ในที่บางแห่ง แห่งใดก็ได้บนโลก ตำแหน่งที่แท้จริงเปลี่ยนไปอยู่ตลอด ยากจะระบุได้

ละอองฝนตกลงมาอย่างไร้เสียงและสองฝั่งของถนนธรรมดาสายนี้ผู้คนต่างก็หลับใหลไปหมดแล้ว ไม่มีใครตื่นขึ้นมา

มีแต่เขาที่ยังตื่นอยู่

นักพรตมองไปทางใต้ไปยังสุสานเทียนซู สีหน้าสุขุม

บนยอดเขาสุสาน จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองผ่านความมืดมาที่เขา

เฉินฉางเซิงก็เห็นนักพรตคนนั้น

เขาอุทานอย่างไร้เสียง “อาจารย์” แต่ไม่ได้ร้องออกมาจริงๆ

เพราะนักพรตไม่ได้มองมาที่เขา มองแค่เพียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เท่านั้น

เขาจำได้ว่าในช่วงสิบกว่าปีที่ใช้ชีวิตอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิง อาจารย์มักจะมองไปที่ศิษย์พี่ไม่ใช่เขา ราวกับว่าเขาไม่เคยมีตัวตนในสายตาของอาจารย์

“จักรพรรดินี สละบัลลังก์เสียเถอะ” นักพรตกล่าวพร้อมมองไปยังสุสานเทียนซู