ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 132 ผังลายจักรพรรดิทั้งสองที่กางกั้นด้วยเวลาหนึ่งพันปี

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ขณะหัวหน้าปฏิคมกล่าวรายงานแต่ละประโยค จุดบนแผนที่ก็จะส่องสว่างขึ้นตามลำดับ แต่ละจุดมีความสว่างแตกต่างกันไป

ถังซานสือลิ่วยืนฟังอยู่ที่มุมห้อง สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เข้าใจตัวเลขที่รายงานแต่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศ

ประมุขรองตระกูลถังมองไปที่จุดแสงที่ทยอยกันสว่างขึ้นบนแผนที่ มิได้ดูหงุดหงิดหรือว่าผ่อนคลายตลอดเวลาที่ผ่านไป

สำหรับเขาแล้วเรื่องเช่นนี้เหมือนจะเป็นงานธรรมดาทั่วไป

เวลาผ่านไประยะหนึ่ง หัวหน้าปฏิคมทั้งสามก็รายงานเสร็จ ประมุขรองตระกูลถังมองดูแผนที่แล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง “ความคืบหน้านับว่าค่อนข้างช้าอยู่”

เสียงดีดลูกคิดยังดังต่อเนื่องอยู่ด้านนอกห้อง เสียงลูกคิดหลายร้อยรางดังผสมปนเปกัน ไม่ใช่เสียงที่รื่นหูเอาเสียเลย

หัวหน้าปฏิคมคนหนึ่งตอบ “การเตรียมการหนึ่งปีมานี้ เราทำได้แค่ประเมินคร่าวๆ เท่านั้น การคำนวณที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มขึ้นคืนนี้ ยากที่จะทำให้เร็วกว่านี้ได้”

ประมุขรองตระกูลถังมองไปนอกห้อง ดูเหล่านักบัญชีที่กำลังจมจ่อมอยู่กับงานดีดลูกคิดกันอย่างไม่วางมือแล้วกล่าว “เหลือเวลาอย่างมากครึ่งชั่วยาม”

หัวหน้าปฏิคมตอบ “ข้าจะจับตาดูพวกเขา”

“แค่จับตาดูไม่พอ” ประมุขรองตระกูลถังมองตาของหัวหน้าปฏิคมและสั่ง “พวกเจ้าก็ไปร่วมด้วย เอาลูกคิดมาให้ข้าด้วย”

ลูกคิดและเอกสารกองใหญ่ถูกนำเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว

ประมุขรองตระกูลถังไม่สนใจถังซานสือลิ่วที่มุมห้อง มือขวาพลิกเปิดเอกสาร มือซ้ายดีดลูกคิด บางครั้งก็หยุดมือและเขียนตัวเลขลงบนเอกสาร

เมื่อเทียบกับนักบัญชีข้างนอกห้อง ความเร็วของเขาไม่นับว่าเร็วนัก แต่การกระทำนั้นชัดเจน ความเร็วของมือขวาที่เปิดหน้าเอกสารและมือซ้ายที่ดีดลูกคิดคำนวณนั้นประสานกันอย่างเหมาะเจาะพอดีด้วยจังหวะที่ยากจะเข้าใจ เขาทำการคำนวณกองเอกสารขนาดเท่าภูเขาย่อมๆ อย่างรวดเร็ว

คนรับใช้นำเอกสารอีกกองเข้ามา

เอกสารกองนี้ก็ถูกคำนวณเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน

จนตอนนี้ประมุขรองตระกูลถังถึงยอมพักสักครู่ เขายกกาน้ำชาบนโต๊ะที่เย็นชืดไปนานแล้วขึ้นดื่มช้าๆ

หลังจากทำการคำนวณตัวเลขจำนวนมากในเวลาอันสั้น เขาก็ดูเขียวคล้ำไปบ้างเนื่องจากใช้ดวงจิตมากเกินไป

“หากสวีโหย่วหรงใช้ถาดดาวโชคชะตาคำนวณ นางย่อมทำได้เร็วกว่าข้าสองเท่า”

ประมุขรองตระกูลถังวางกาน้ำชาลงอย่างเหนื่อยล้าและกล่าว “แต่หากหวังผ้อยังทำงานเป็นนักบัญชีให้ตระกูลเรา ก็คงไม่จำเป็นต้องให้ข้ามาลำบากเช่นนี้”

ในตอนนี้ มีเพียงถังซานสือลิ่วอยู่ในห้อง ดังนั้นเขาย่อมพูดกับถังซานสือลิ่ว

“ตระกูลเราทำธุรกิจ และเมื่อทำธุรกิจ ก็ไม่อาจขาดทุน ตอนที่ท่านพ่อให้หวังผ้อออกจากเวิ่นสุ่ย ธุรกิจนี้ออกจะขาดทุนมากเกินไปหน่อย”

ถังซานสือลิ่วรู้ว่าอารองกำลังเตือนเขาว่าอย่าได้อาจลากธุรกิจของตระกูลไปตกต่ำเพื่อเฉินฉางเซิงกับสำนักฝึกหลวง

“หวังผ้อไม่ได้จากเวิ่นสุ่ยเพราะอารองใจแคบและไม่ชอบหน้าเขาหรอกหรือ ถึงได้คิดหาทุกวิธีที่จะบีบเขาออกไป”

เขากล่าวเย้ยหยันประมุขรองตระกูลถัง

ประมุขรองตระกูลถังมองเขาอย่างใจเย็นและกล่าว “หุบปากเถอะ ข้ายังมีเรื่องอีกมากต้องทำในวันนี้ ไม่มีอารมณ์มาเล่นเป็นเด็กๆ กับเจ้า”

ผลการคำนวณจากนักบัญชีหลายร้อยคนถูกรวบรวมเข้ามาในห้องนี้และสรุปให้อ่านได้ง่ายที่สุด

มีเพียงแค่สองเรื่องเท่านั้น คือ แต่ละตำแหน่งในจิงตูได้รับการยืนยันหรือไม่ และระดับความแข็งแกร่งอยู่ที่เท่าไร

แสงจำนวนมากขึ้นปรากฏขึ้นบนแผนที่ซึ่งแขวนอยู่บนผนัง ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นเส้นและเปลี่ยนไปเป็นลวดลายอันลึกลับ

ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ที่มุมห้อง มองดูลวดลายนี้และในที่สุดก็จำได้ว่าตอนที่เขายังเด็กมากเคยได้ยินเรื่องเล่าจากประมุขเฒ่าตอนที่นั่งอยู่บนตัก เป็นเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้…

แต่ว่ามันคืออะไรกันนะ

ในที่สุดการคำนวณทั้งหมดก็ได้ข้อสรุป และเสียงดีดลูกคิดน่ารำคาญพวกนั้นก็เงียบลงในที่สุด เหลือเพียงเสียงหอบหายใจที่เหนื่อยล้าและเสียงครางด้วยความเมื่อยแขนของนักบัญชี ถังซานสือลิ่วเห็นนักบัญชีสองคนถึงขนาดเป็นลมล้มพับเพราะว่าใช้พลังงานมากเกินไป

ถังซานสือลิ่วเดินไปที่ผนังหินอีกครั้ง สำรวจมองลวดลายบนแผนที่ เขาเลิกคิ้วขึ้น ยื่นมือออกมาล้วงของออกจากแขนเสื้อ

ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากของชิ้นนั้นและตกไปบนแผนที่จิงตู ก่อตัวเป็นลวดลายที่ดูคล้ายกัน

ลวดลายทั้งสองซ้อนทับกัน โครงร่างโดยทั่วไปเหมือนกัน มีแค่จุดเล็กๆ บางจุดเท่านั้นที่แตกต่างไปบ้าง นอกจากนี้ ระดับความสว่างก็ต่างกันออกไป

“การเปลี่ยนแปลงนี้ใหญ่หรือไม่” ประมุขรองตระกูลถังถาม

ถังซานสือลิ่วรู้สึกประหลาดใจ คิดในใจ ข้าไม่เคยเห็นลายทั้งสองมาก่อน แล้วข้าจะไปตอบได้อย่างไร แล้วไอ้ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี่…หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอะไรกัน

“ผ่านพ้นมาพันปีแล้ว การเปลี่ยนแปลงย่อมมิใช่เล็กน้อย”

สุ้มเสียงชราดังออกมาจกาเงามืดของห้อง และชายชราในชุดผ้าฝ้ายก็ปรากฏตัวขึ้น

ถังซานสือลิ่วจ้องมองชายชรา ถามด้วยความตกใจ “ผู้พิทักษ์ใหญ่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ชายชราพยักหน้าให้เขาแล้วเดินมาอยู่ข้างประมุขรองตระกูลถัง มองดูลวดลายทั้งสองที่ซ้อนทับกันและกล่าว “โชคดีที่ยังมีทางแก้อยู่”

ถังซานสือลิ่วไม่อาจสะกดความสงสัยเอาไว้ได้ เขาเดินไปถาม “ลวดลายนี้คืออะไรกัน”

“ทั้งสองก็คือผังลายจักรพรรดิของจิงตู ผังที่เพิ่งคำนวณออกมาในคืนนี้คือลายปัจจุบัน ส่วนอันที่ประมุขรองนำออกมาเป็นของเมื่อหนึ่งพันปีก่อน”

ผู้พิทักษ์ชราของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยตอบ

ประมุขรองตระกูลถังเสริม “การเปลี่ยนแปลงหนึ่งพันปีของจิงตูแสดงอยู่ในผังลายทั้งสองนี้ นี่คือประวัติศาสตร์”

ได้ยินเช่นนี้ ถังซานสือลิ่วก็หันไปมองลวดลายบนผนังอีกครั้ง และความรู้สึกที่ได้รับในตอนนี้ย่อมต่างออกไป

“มีเพียงตระกูลถังของเราเท่านั้นที่สามารถมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์นี้ได้ เพราะตระกูลถังของเราดำรงอยู่ในประวัติศาสตร์สืบมา อย่างน้อยก็ประวัติศาสตร์ของจิงตู เราอยู่มานานกว่าผู้อื่น นานกว่าแม้แต่ราชวงศ์เฉิน ดังนั้นตระกูลถังของเราย่อมมีเหตุผลมากพอที่จะกลับมายังจิงตู เจ้าต้องเข้าใจถึงความจำเป็นในการนับถือประวัติศาสตร์”

ประมุขรองตระกูลถังมองดูเขาและกล่าว “หากเจ้าไม่อาจเข้าใจสิ่งนี้ แล้วเจ้าจะคู่ควรแซ่ถังได้อย่างไรกัน”

ประโยคนี้คือคำตอบของคำถามที่เขาถามถังซานสือลิ่วในตอนต้น ‘สิ่งที่ตระกูลลถังให้ความนับถือมากที่สุดคือสิ่งใด’

ไม่ใช่เงินที่จะทำให้คนเป็นดั่งเทพ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกับตระกูลสูงศักดิ์ พรรคสำนักและทางการ หรือแม้กระทั่งกับเมืองเสวี่ยเหล่า หากแต่เป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานซึ่งประมุขของสี่ตระกูลใหญ่ครอบครอง

กล่าวตามเหตุผล ถังซานสือลิ่วย่อมมีปฏิกิริยากับคำพูดพวกนี้ แต่เขากลับคิดถึงเรื่องอื่น จากนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของเขาขาวซีดในทันที

เขานึกได้ว่าลายทั้งสองที่กางกั้นด้วยเวลาหนึ่งพันปีนี้คืออะไร

ใช่แล้ว มันคือผังลายจักรพรรดิ

เฉกเช่นที่ผู้พิทักษ์ใหญ่ได้กล่าวไว้

มีน้อยคนในโลกที่รู้ว่ามีผังลายจักรพรรดิอยู่ แต่ตอนที่เขายังเด็ก ก็เคยได้ยินถึงสิ่งนี้ตอนที่อยู่บนตักประมุขผู้เฒ่า

นี่เป็นความลับยิ่งใหญ่ของจิงตูแห่งราชวงศ์ต้าโจว ทั้งยังเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวที่สุด!

แล้วตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยต้องการจะทำอะไรกันแน่ คลื่นจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาในใจเขา คืนนี้ พวกเขาวางแผนจะทำการใหญ่เช่นนั้นหรือ

ประมุขรองตระกูลถังและผู้พิทักษ์ใหญ่เองก็จ้องมองไปยังแผนที่

เส้นทั้งหลายบนผังลายทั้งสองที่ถูกแบ่งแยกด้วยเวลาหนึ่งพันปีนั้นชี้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

ตรงจุดที่สายตาของคนทั้งสามจับจ้องไป

ใจกลางตอนเหนือของแผนที่จิงตู วังหลวง

ประมุขรองตระกูลถังกล่าวอย่างเรียบเฉย “หัวใจของค่ายกลอยู่ที่นั่นจริงๆ”

ผู้พิทักษ์ใหญ่ถอนหายใจ “กลายเป็นว่าหัวใจของค่ายกลยังอยู่ที่ตรงนั้น”

“นับตั้งแต่ตอนที่ไท่จู่ก่อตั้งราชวงศ์ตรงหน้าสุสานเทียนซู เขาก็เริ่มจัดสร้างผังลายจักรพรรดิขึ้น ไท่จงกับจักรพรรดิเซียนก็สืบทอดงานที่เขาเริ่มเอาไว้ต่อไป”

ประมุขรองตระกูลถังสำรวจมองแผนที่และกล่าว “ที่แห่งนั้นเปลี่ยนแปลงมากที่สุด นอกจากเส้นที่ไล่ไปตามคลองที่เจี้ยงกงเป่ยหลี่ จุดนี้คือหัวใจของค่ายกล อยู่ลึกเข้าไปในวังหลวง”

ผู้พิทักษ์ใหญ่มองไปยังจุดแสงเจิดจ้าบนผังลายจักรพรรดิที่สองและกล่าว “ตอนนี้ดูแล้วเหมือนว่าข่าวลือทั้งหลายในอดีตล้วนเป็นจริง ไท่จงสร้างหอหลิงเยียนเพื่อที่เขาจะได้เปลี่ยนหัวใจของค่ายกลที่สำคัญที่สุดและเปราะบางที่สุด ให้กลายเป็นค่ายกลพิฆาตสวรรค์ที่อันตรายที่สุด มีเป้าหมายอยู่ที่ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะ”

ประมุขรองตระกูลถังกล่าว “ท่านพ่อบอกว่าหากจักรพรรดิไท่จงสร้างค่ายกลพิฆาตสวรรค์จริง ต่อให้ยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะบุกเข้าไปก็มีแต่ตายเท่านั้น”

ผู้พิทักษ์ใหญ่เงียบไปเป็นเวลานาน ในที่สุดก็กล่าวขึ้น “ข้าจะลองดูว่ามีทางลอบเข้าไปได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังซานสือลิ่วก็ตกใจอีกครั้งหนึ่ง

ผู้พิทักษ์ใหญ่มีการบำเพ็ญเพียรที่ยากหยั่งถึง อยู่ห่างจากเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์แค่ครึ่งก้าวมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยนอกเหนือไปจากตัวประมุขผู้เฒ่าเอง และเขาก็กำลังจะลงมือด้วยตัวเองแล้วเช่นนั้นหรือ