ตอนที่ 921 ตระกูลเฮ้อและตระกูลโจ่ง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 921 ตระกูลเฮ้อและตระกูลโจ่ง

บรรยากาศช่วงเทศกาลของเมืองกวนหยุนในปีนี้คึกคักกว่าปีที่แล้วมากนัก

อย่างแรกคือมีราษฎรเพิ่มขึ้นจำนวนมากในเมืองกวนหยุน อย่างที่สองคือกระเป๋าเงินของราษฎรหนาขึ้นกว่าเดิม

พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อน มีผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าปีที่แล้ว แม้ราคาของสินค้าจะลดลงบ้างเล็กน้อย ทว่าราษฎรก็สามารถบริหารจัดการสินค้าเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม

บรรดาเด็กน้อยได้เสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่ เหล่าสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนต่างก็ซื้อผ้าไหมสองพับหรือซื้อเครื่องประดับมาเพิ่ม

เหล่าบุรุษเรียบง่ายกว่ามากนัก เนื่องจากบัดนี้ผ้าฝ้ายในตลาดมีเนื้อผ้าค่อนข้างดีกว่าและยังหนากว่าผ้าลินินแบบเดิม อีกทั้งราคาก็มิแพงอีกด้วย พวกเขาจึงซื้อผ้าฝ้ายให้ทุกคนในเรือนเพื่อเอาไว้ตัดเย็บชุดใหม่

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเรือนของชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น

แน่นอนว่าเรือนของเฮ้อซานเตามิใช่เรือนของชาวบ้านธรรมดา แม้อดีตจะเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อ ทว่าบัดนี้เขามีฐานะเป็นผู้บัญชาการทหารดาบเทวะกองทัพที่สอง

และบัดนี้สมาชิกตระกูลของเฮ้อซานเตาและสมาชิกตระกูลของโจ่งเซียงจือ พ่อตาของเฮ้อซานเตาก็ได้มาถึงเมืองกวนหยุนแล้ว

ปีที่แล้วเฮ้อซานเตาและโจ่งหยูคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งได้เข้าพิธีสมรสตามธรรมเนียมต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่งผลให้ตระกูลเฮ้อและตระกูลโจ่งมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในเมืองกวนหยุน ดังนั้นทั้งสองตระกูลจึงย้ายฐานอุตสาหกรรมส่วนใหญ่มาที่ราชวงศ์อู๋และตั้งรกรากอยู่ที่นี่

ณ จวนของเฮ้อซานเตา

โจ่งหยูจ้องมองเฮ้อซานเตาอยู่เนิ่นนาน ดูเหมือนว่าอุปนิสัยของสตรีชาวสู่มิได้แปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด แม้ว่าสามีของนางจะมีฐานะเป็นถึงท่านแม่ทัพก็ตาม ทว่าเฮ้อซานเตาก็ยังเป็นแกะน้อยผู้อ่อนโยนยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งเสมอ

“ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่จวนของเราเพื่อร่วมฉลองปีใหม่ด้วย เหตุใดถึงมิบอกกล่าวให้เร็วกว่านี้เล่า ! ”

“เจ้าเป็นทหารจนเลอะเลือนไปหมดแล้วหรือเยี่ยงไร ? ปีนี้เจ้าก็อายุ 29 ปีแล้ว เจ้าจะนำเนื้อหมูเนื้อแกะมาเลี้ยงต้อนรับฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? จริงที่ว่าฝ่าบาททรงเป็นกันเอง สามารถเสวยอันใดก็ได้เพราะเคยเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง แต่องค์จักรพรรดินีและพระสนมเอกทั้งหลายนั้น… เจ้าคิดจะเตรียมเนื้อหมูเพียงอย่างเดียวให้พวกนางเสวยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ด้วยเหตุผลนี้โจ่งหยูจึงกัดฟันกรอดพลางยื่นมือไปดึงหูของเฮ้อซานเตา จากนั้นก็บิดไปแรง ๆ หนึ่งทีจนเฮ้อซานเตาต้องร้อง “โอ๊ย ! ” ออกมา เขาส่งสายตาอ้อนวอนพลางเอ่ยขอความเมตตาว่า

“เจ้าเบาหน่อย เบา ๆ หน่อยเถิด… จักรพรรดินีและเหล่าพระสนมมิได้เรื่องมากถึงเพียงนั้น ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี ทุกนางล้วนเป็นผู้ที่มิถือตัว”

“ฮึ ! เจ้ามิคิดแต่ข้าคิด ! โอรสสวรรค์จะมาฉลองปีใหม่ที่จวนของเรา นี่ถือเป็นเกียรติและโชคดีของวงศ์ตระกูล มิว่าเยี่ยงไรงานเลี้ยงครานี้ต้องออกมาดีที่สุด ! ”

โจ่งหยูปล่อยมือออกจากใบหูของอีกฝ่าย เฮ้อซานเตายกมือขึ้นถูใบหูเพื่อบรรเทาความเจ็บ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “ฝ่าบาทเพิ่งตรัสกับข้าเมื่อเช้านี้เอง อีกอย่างไป๋ยู่เหลียนก็จะพาเหวินรัวซี ฮูหยินของเขามาด้วย”

โจ่งหยูเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด นางจ้องมองเขาด้วยความโกรธ “เฮ้อซานเตา คนเยี่ยงเจ้าใช้ไม้ตีสามร้อยคราก็มิจำ ยังมีผู้ใดอีกรีบเอ่ยออกมาให้หมด ! ”

เฮ้อซานเตาแสยะยิ้ม จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “นอกจากนี้ก็มีใต้เท้าจัวเปี๋ยหลี จัวตงหลาย หยุนซีเหยียน จงสือจี้ เว่ยอู๋ปิ้ง…”

“หยุดเอ่ยเถิด เอาเป็นว่าจงไปเขียนรายชื่อมา”

โจ่งหยูรู้สึกราวกับว่าจะเป็นลมเสียให้ได้ นางเหลือบมองเฮ้อซานเตาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ซานเตา ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงล้วนมีฐานะสูงส่งกันทั้งสิ้น จะจัดแบบเรียบง่ายเฉกเช่นยามที่อยู่หลินจื๋อมิได้ ! ”

“นี่จะทำให้ผู้อื่นเกิดความประทับใจต่อจวนเฮ้อของเรา มิอาจปล่อยให้ผู้อื่นดูหมิ่นจวนเฮ้อได้เป็นอันขาด นอกจากนี้…ที่เจ้าได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพก็มิใช่เพราะฝ่าบาททรงวางพระทัยหรอกหรือ ? เจ้าคงเข้าใจประโยคที่ว่าความสำเร็จต้องร่วมมือช่วยเหลือกันใช่หรือไม่ ? เจ้าจะไปรบกวนฝ่าบาททุกครามิได้ ดังนั้นเจ้าต้องสร้างไมตรีกับเหล่าขุนนางในราชสำนักเอาไว้บ้าง ! ”

“ข้ามิเสียดายที่ได้จ่ายเงินเลย แต่เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการเตรียมการ ทว่าเจ้าเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้ มันจะทันเวลาได้เยี่ยงไร ? นอกเสียจากว่าไปสั่งอาหารที่หอซื่อฟางมา เฮ้อ…ต่อไปนี้จงจำเอาไว้ว่าหากเชิญแขกมาที่จวนก็ต้องบอกข้าล่วงหน้า แม้อาหารที่หอซื่อฟางจะอร่อย ทว่าคุณค่าของมันก็มิเหมือนกับที่ลงมือปรุงเองได้หรอก!”

“เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ”

เฮ้อซานเตาจะเข้าใจอันใดเล่า !

บัดนี้เฮ้อซานเตากำลังเขียนรายชื่อพลางคิดในใจว่าก็แค่ทานข้าวด้วยกันมิใช่หรือ ? ล้วนเป็นผู้ที่คุ้นเคยกันทั้งหมด เหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้ด้วยกัน ?

ในความคิดของเฮ้อซานเตา เพียงแค่เลือกอาหารง่าย ๆ มิกี่อย่างกับสุราก็พอแล้วมิใช่หรือ

ทว่าในมุมมองของโจ่งหยู เรื่องการจัดงานเลี้ยงต้อนรับมิจำเป็นต้องใหญ่โตเกินไปก็จริง ทว่าควรมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและมื่นชื่น… ความอบอุ่นที่โจ่งหยูนึกถึงคือฝีมือการปรุงอาหารของนาง หากได้ลงมือปรุงอาหารมื้อนี้ด้วยตนเองเพื่อต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติและหากทำให้แขกเกิดความประทับใจก็จะเป็นการเพิ่มเกียรติยศให้แก่เฮ้อซานเตาไปด้วยมิใช่หรือ ?

“บัดนี้เจ้าจงไปสั่งอาหารที่หอซื่อฟางสำหรับสี่โต๊ะ จากนั้นก็ให้พวกเขานำมาส่งที่จวนในยามอู่”

เฮ้อซานเตาตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “แล้วเจ้าจะทำอันใด ? ”

“ข้าหรือ ? ข้าก็จะไปปรุงอาหารสามอย่างมาเสริมบนโต๊ะเยี่ยงไรเล่า”

“ไปเถิด เกรงว่าจะมิทันการแล้ว ! ”

เฮ้อซานเตายกยิ้มมุมปาก พลางตีไปที่สะโพกของโจ่งหยูเบา ๆ จากนั้นก็ควบอาชาออกไปจากจวนอย่างมีความสุข

โจ่งหยูเดินออกจากห้อง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “อี้ฉุย ซือฉิน เหอเซียง… ตามข้าไปที่ห้องครัวเร็วเข้า ! ”

ทันใดนั้นจวนเฮ้อก็พลันชุลมุนขึ้นมา พวกนางกำลังเร่งมือทำงานภายใต้การกำกับดูแลของฮูหยิน

“จ้าวลี่จู้…จงพาคนไปทำความสะอาดลาน จัดที่ว่างในเรือนหลักทางทิศเหนือ จากนั้นก็ให้ยกโต๊ะไปเตรียมไว้ 4 โต๊ะ… และเพิ่มโต๊ะสำหรับเหล่าสตรีอีก 2 โต๊ะด้านใน ยกเตาผิงออก… เปลี่ยนเป็นแขวนโคมไฟให้ทั่ว”

“จากนั้นให้ไปเตรียมชาเอาไว้ด้วย เอาเป็นชาดอกไม้จากเมืองสู่ของเรา”

“เตรียมโต๊ะสำหรับเล่นไพ่นกกระจอกอีก 2 โต๊ะ เมื่อจักรพรรดินีและเหล่าสนมเอกเสด็จมาก็จะสามารถเล่นไพ่นกกระจอกเพื่อฆ่าเวลาได้”

“……”

เฮ้ออีฟู่อดีตผู้นำตระกูลเฮ้อจากราชวงศ์หยูยกมือขึ้นลูบเครายาว มองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างมีความสุข ตั้งแต่มีลูกสะใภ้เข้ามาในจวนก็มิมีสิ่งใดให้คนชราเยี่ยงเขาทำ มิว่าจะเป็นทั้งเรื่องในจวนและนอกจวน

คุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งเป็นลูกสะใภ้ที่ใช้ได้เลยทีเดียว ภายใต้การดูแลของนางส่งผลให้ตระกูลเฮ้อได้เปิดกิจการร้านผ้าแพรปักจากเมืองสู่ในเมืองกวนหยุน ทั้งยังจ้างช่างเย็บปักจากเมืองสู่มาอีกด้วย พวกเขามีฝีมือประณีตจนเข้าตาเจ้านายในวังหลวง ป้ายหน้าร้านที่แขวนเอาไว้ เป็นชื่อที่จักรพรรดินีเขียนด้วยพระองค์เองและยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทให้เป็นร้านเย็บปักอันดับสองในใต้หล้า… !

มิรู้ว่าร้านเย็บปักอันดับหนึ่งในใต้หล้านั้นคือที่ใด เป็นการเย็บปักของซูโจวเยี่ยงนั้นหรือ ?

เนื่องจากได้รับความโปรดปรานจากทางราชสำนัก ส่งผลให้กิจการรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นในทุก ๆ วัน ปลายปีนี้โจ่งหยูจึงซื้อร้านค้าเพิ่มอีก 1 ร้าน เอ่ยว่าจะเปิดสาขาในปีหน้าและยังเอ่ยอีกว่าในสามปีข้างหน้าจะขยายสาขาไปอีก 50 แห่ง

โจ่งหยูเป็นผู้มีฝีมือในการบริหาร ดังนั้นเรื่องการดูแลตระกูลจึงมิมีเรื่องใดให้ตำหนิเลย

แม้ว่างานจะยุ่ง ทว่านางก็ยังสามารถดูแลจวนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ นี่ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อพ่อและแม่สามีเยี่ยงพวกตน

ตรงกันข้ามกับบุตรชายของตน เจ้าลูกสุนัขพึ่งพาอาศัยมิได้เลยจริง ๆ เขายังคงเป็นดั่งเช่นตอนอยู่ที่หลินจื๋อ เพียงแต่ว่าเขามิกล้าออกไปเที่ยวเตร่ตามหอนางโลมดั่งเช่นแต่ก่อนก็เท่านั้น นอกจากนี้ก็มิมีอันใดเปลี่ยนแปลงอีก

เขามีฐานะเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพ เอ่ยกันว่าได้เบี้ยหวัดราว 20 ตำลึงในทุกเดือน แต่เมื่อเขากลับมาที่จวนก็มิเคยมีเงินติดตัวกลับมาเลย นอกจากจะมิเคยซื้อของมาฝากคนในครอบครัวแล้ว เขายังไปแบมือขอเงินจากโจ่งหยูอีกด้วย

ลูกสะใภ้ก็แสนดียิ่งนัก มิเอ่ยตำหนิเจ้าลูกสุนัขเลยสักคำ ทั้งยังให้เงินเขาไปตั้ง 100 ตำลึงอีกด้วย เกรงว่าบัดนี้เขาจะใช้จ่ายจนหมดแล้วด้วย… ช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง !

อืม…หมู่นี้เฮ้ออีฟู่รู้สึกว่างงานจนเบื่อหน่าย เยี่ยงนั้นก็ถือโอกาสที่เจ้าลูกสุนัขได้หยุดงาน บอกให้เขาทำให้ลูกสะใภ้คลอดหลานชายมาให้เขาอุ้มสักที !