ตอนที่ 922 เก้ามิ่งทั้งสี่

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 922 เก้ามิ่งทั้งสี่

ณ ตำหนักหยางซิน ภรรยาทั้งสิบคนได้มารวมตัวกันที่นี่ทั้งยังพาบุตรมาด้วย…ยกเว้นก็แต่หนานกงตงเซวี๋ย

หนานกงตงเซวี๋ยสามารถผลิตยาเพนนิซิลินได้สำเร็จแล้ว บัดนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบฤทธิ์ยาอยู่… นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกำชับไว้ว่า ผลการวิจัยทั้งหมดของสำนักศึกษาการแพทย์ต้องผ่านการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเสียก่อนจึงจะสามารถใช้ยานี้กับผู้ป่วยได้

สุ่ยหยุนเจียนอาจารย์ของหนานกงตงเซวี๋ยเข้ารับตำแหน่งคณบดีแห่งสำนักศึกษาการแพทย์ที่สร้างขึ้นมาใหม่ ในขณะเดียวกันก็ได้ก่อตั้งศูนย์วิจัยทางการแพทย์ขึ้นมา ซึ่งหนานกงตงเซวี๋ยใช้เวลาเกือบทั้งปีอยู่ในศูนย์วิจัยทางการแพทย์แห่งนี้

เรื่องนี้ทำให้หนานกงอี้หยู่ท่านปู่ของนางรู้สึกกังวลมากยิ่งนัก เพราะในฐานะพระสนมเอกแห่งราชวงศ์อู๋ นางควรคลอดบุตรก่อนแล้วค่อยไปวิจัยทางการแพทย์มิใช่หรือ ?

หนานกงตงเซวี๋ยลุ่มหลงในงานวิจัยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมอบ ‘กล้องจุลทรรศน์’ ให้กับนาง นางก็ได้เห็นในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยเอาไว้ว่ามันคือเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาวและน้ำเหลือง… ทุกสิ่งทุกอย่างราวกับเป็นการเปิดหน้าต่างบานใหม่ ทำให้นางได้เห็นถึงโครงสร้างภายในร่างกายมนุษย์ที่ยากจะจินตนาการถึง

ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แห่งนี้ แทบจะกลายเป็นเรือนของนางอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเกือบจะทำให้นางลืมสามีไปแล้วด้วย

สำนักศึกษาการแพทย์ปิดทำการในช่วงวันปีใหม่ สุ่ยหยุนเจียนจึงไล่หนานกงตงเซวี๋ยออกจากศูนย์วิจัย นางถึงได้กลับมายังวังหลวงแห่งนี้และตลอดสองวันที่ผ่านมาฟู่เสี่ยวกวนกับนางก็อยู่บนเตียงพร้อมความร้อนรุ่มราวกับไฟ

การอุ่นเตียงถือเป็นเรื่องที่วิเศษมากทีเดียว ทว่าโรคชอบทำงานของนางดูจะหนักไปสักหน่อย นางติดนิสัยรักความสะอาดมากจนเกินไป… เนื่องจากการทดลองต้องทำความสะอาดตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้องปลอดเชื้อ ซึ่งต้องใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้ออยู่บ่อยครั้ง

ดังนั้นทั้งก่อนและหลังการปรนเปรอความใคร่ พระสนมผู้นี้จะพาฟู่เสี่ยวกวนไปขัดถูร่างกายทุกครา ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องระทมทุกข์ทั้งกายและใจ มิมีผู้ใดหรอกที่ทนได้กับการโดนจับขัดถูตามร่างกายวันละสี่ถึงห้าครา

แล้วฟู่เสี่ยวกวนจะทำอันใดได้อีกกัน ? เขาทำได้เพียงอดทนพลางคิดว่าหากศูนย์วิจัยทางการแพทย์เปิดทำการหลังหมดช่วงหยุดยาว ความเป็นอยู่คงดีขึ้นมิน้อย

“ท่านพี่ พวกเราคงมิไปมือเปล่าใช่หรือไม่ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามขึ้นมา

เอ้อซานเตาเป็นทหารมากความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน เหล่าสตรีแห่งวังหลังก็รู้เรื่องนี้ดี

กอปรกับโจ่งหยูฮูหยินของเฮ้อซานเตา นางสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้ดีเลยทีเดียว ผ้าแพรและผ้าซาตินปักของเมืองสู่ประณีตงดงามมากยิ่งนัก นางมักจะส่งเข้ามาที่พระราชวังทีละหลายพับ โจ่งหยูจึงไปมาหาสู่กับพวกนางจนสนิทสนมกันเป็นอย่างดี

หยูเวิ่นหวินในฐานะจักรพรรดินีจึงมอบตราปลาทองให้แก่โจ่งหยู หากนางว่างก็สามารถมานั่งเล่นไพ่นกกระจอกหรือมาสอนวิธีปักผ้าแบบเมืองสู่ให้สตรีในวังหลังได้

“เลือกอัญมณีที่หลิวจิ่นนำกลับมา ติดไม้ติดมือไปด้วยสักหน่อยเถิด”

สิ่งนี้ย่อมขาดมิได้อยู่แล้ว “ข้าคิดว่าท่านควรมีพระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์ให้เหล่าฮูหยินของไป๋ยู่เหลียน เฮ้อซานเตา เว่ยอู๋ปิ้ง และเฉินป๋อดีหรือไม่ ? ”

ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในกองทัพของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาติดตามอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ตอนที่อยู่ราชวงศ์หยูจนมาถึงชื่อเล่อชวน จากชื่อเล่อชวนย้ายมายังราชวงศ์อู๋แห่งนี้อีก ด้วยความจงรักภักดีของพวกเขา ฟู่เสี่ยวกวนควรให้รางวัลตอบแทนพวกเขาบ้าง

“เจ้าเอ่ยได้ถูกต้อง…หลิวจิ่น เตรียมร่างราชโองการ”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หลังจากขานรับเรียบร้อยแล้ว หลิวจิ่นก็รีบวิ่งไปที่ห้องทรงพระอักษรและนำร่างพระราชโองการสี่ฉบับกลับมายังตำหนักหยางซิน ฟู่เสี่ยวกวนออกราชโองการ 4 ฉบับ…แต่งตั้งให้เหล่าฮูหยินทั้งสี่ดำรงตำแหน่งเก้ามิ่ง

เขารับตราประทับมาจากหลิวจิ่น กดลงไปบนราชโองการทั้งสี่ฉบับ จากนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับหลิวจิ่นว่า “เมื่อราชสำนักเปิดทำการแล้ว เจ้าจงให้กรมพิธีการจดบันทึกรายชื่อของพวกนางเอาไว้ในหนังสือด้วยล่ะ จากนั้นก็วัดขนาดตัวเพื่อตัดเย็บอาภรณ์ เมื่อเย็บเสร็จแล้วก็จงส่งไปให้พวกนาง”

หลิวจิ่นตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาจำรายชื่อของท่านแม่ทัพทั้งสี่รวมถึงเหล่าฮูหยินระดับเก้ามิ่งทั้งสี่ได้จนขึ้นใจ

เพราะเห็นได้ชัดว่าแม่ทัพทั้งสี่ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าบาทโดยตรงและการเป็นขันทีที่ดีต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มิเพียงแต่เลียแข้งเลียขาฝ่าบาทเท่านั้น ดังนั้นจึงมิควรมองข้ามข้าราชบริพารคนสำคัญที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย

“เจ้านำราชโองการนี้ไปที่จวนของพวกนางก่อน พอกลับมาแล้ว ค่อยตามข้าไปที่จวนของเฮ้อซานเตา”

งานที่ได้รับมอบหมายถือว่ามิเลว นี่ก็หมายความว่าฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยให้เขาเป็นดุจตัวแทนพระองค์ ดังนั้นยามอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพทั้งสี่และเหล่าฮูหยิน เขาจะต้องมิทำให้ฝ่าบาทเสียหน้าเป็นอันขาด

หลิวจิ่นเดินออกมาจากตำหนักหยางซิน จากนั้นก็ขึ้นรถม้าแล้วมุ่งหน้าออกจากประตูวังหลวงทันที เขาเดินทางมาจนถึงจวนของเฮ้อซานเตา

เฮ้อซานเตากำลังสนทนากับแขกที่มาถึงแล้ว ซึ่งก็คือไป๋ยู่เหลียน เฉินป๋อและเว่ยอู๋ปิ้ง ส่วนโจ่งหยูกำลังเร่งมือทำงานอยู่ในห้องครัวโดยมีเหวินรัวซี ตู้ซานเหนียงและเจวียนเอ๋อร์อยู่ในห้องครัวด้วย

โจ่งหยูคือคุณหนูหกแห่งตระกูลโจ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ส่วนเหวินรัวซีเป็นหลานสาวของเหวินสิงโจวนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ ทั้งสองถือกำเนิดขึ้นในตระกูลใหญ่ ส่วนตู้ซานเหนียงและเจวียนเอ๋อร์นั้นมาจากตระกูลชาวไร่ชาวนา

ด้วยฐานะอันสูงส่งนี้ทำให้ตู้ซานเหนียงและเจวียนเอ๋อร์รู้สึกกดดันและรู้สึกมิสบายใจ

โจ่งหยูรับรู้ถึงความคิดของพวกนางได้ นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ซานเหนียง ช่วยข้าหั่นหน่อไม้หน่อยเถิด ส่วนเจวียนเอ๋อร์ช่วยข้านำเห็ดนี้ไปแช่น้ำที… สามีของข้ามักเอ่ยถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกองทัพให้ฟังอยู่เสมอ”

“เขาเอ่ยว่าเดิมทีที่เจี้ยนเหมิน เว่ยอู๋ปิ้งและกวนเสี่ยวซีไปที่ภูเขาเฟิ่งหลินก่อนหน้าเขาเสียอีก ตอนอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลินเขาและเว่ยอู๋ปิ้งก็เป็นสหายที่ดีต่อกัน ทั้งยังได้ฝึกฝนทักษะจากท่านแม่ทัพเฉินป๋อด้วยกันอีก”

โจ่งหยูเอ่ยไปพลางมือก็ทำงานไปพลาง “ส่วนท่านแม่ทัพเฉินป๋อได้รับการฝึกฝนมาจากท่านแม่ทัพไป๋ยู่เหลียน ซึ่งท่านแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนได้รับการฝึกฝนมาจากฟู่… ได้รับการฝึกฝนมาจากฝ่าบาทอีกที”

“ดังนั้นกองทัพบก กองทัพเรือและกองนาวิกโยธินอันใดนั่น บัดนี้ฝ่าบาททรงก่อตั้งขึ้นมาเองทั้งหมด ความหมายคือเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกัน ส่วนสตรีเยี่ยงพวกเราที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาต่างก็เป็นพี่สะใภ้และน้องสะใภ้กันทั้งนั้น”

“องค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดินีและเหล่าพระสนมเอกล้วนเป็นผู้มีนิสัยโอนอ่อนผ่อนตามและเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย หลังจากนี้พวกเราต้องเข้าไปเยี่ยมเยียนที่วังหลังบ้างแล้ว ห้ามแบ่งแยกกันเป็นอันขาด ! ”

เหวินรัวซีเหลือบมองโจ่งหยู พลางคิดว่าสตรีจากเมืองสู่ผู้นี้ ช่างมีความคิดละเอียดอ่อนมากยิ่งนัก !

นางจึงพยักหน้าเห็นด้วย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “พี่สาวน้องสาวทั้งสอง น้องโจ่งเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว สามีของข้าก็เอ่ยถึงเรื่องนี้บ่อย ๆ ว่าพวกเขาเป็นแม่ทัพที่เก่งที่สุด…”

เหวินรัวซียังเอ่ยมิทันจบก็ได้ยินเสียงสาวใช้วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน สาวใช้มิสามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป จึงเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “เรียนฮูหยินทั้งหลาย…รีบไปล้างมือแล้วออกไปรับราชโองการเถิดเจ้าค่ะ ! ”

ราชโองการเยี่ยงนั้นหรือ ?

โจ่งหยูจ้องมองอี้ฉุยแล้วเอ่ยถามว่า “ราชโองการอันใดกัน ? ”

“เรียนฮูหยิน พระราชโองการของฝ่าบาท พระองค์ทรงประทานบรรดาศักดิ์ให้แก่ฮูหยินทั้งสี่เจ้าค่ะ ! ”

แน่นอนว่าเหล่าฮูหยินทั้งสี่กำลังรู้สึกมึนงง พระราชโองการประทานบรรดาศักดิ์เยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่ถือว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิต !

พวกนางแต่ละคนล้วนหน้าซีดเผือด อยู่ ๆ ก็มีบรรดาศักดิ์เทียบเท่าขุนนาง นับแต่นี้สืบไปพวกนางจะได้รับเบี้ยหวัดจากราชสำนักอีกด้วย !

“ไอหยา… ฮูหยินทั้งหลาย อย่ามัวแต่เหม่อลอยสิเจ้าคะ ! ”

โจ่งหยูรู้สึกตัวขึ้นมาเป็นคนแรก นางจึงรีบเอ่ยว่า “รีบไปล้างมือแล้วออกไปกันเถิด”

เฮ้อซานเตาและสหายอยู่ที่ห้องโถง เพราะเรื่องใหญ่นี้จำเป็นต้องไปที่ห้องโถงเพื่อรับราชโองการโดยพร้อมเพรียงกัน

พวกนางทั้งสี่คนเดินออกมา หลิวจิ่นเหลือบมองชั่วครู่ จากนั้นก็กระแอมไอสองคราแล้วเริ่มอ่านราชโองการทั้งสี่ฉบับทันที

ตู้ซานเหนียงและเจวียนเอ๋อร์ดูเหมือนว่าตนเองกำลังตกอยู่ในความฝัน

เรื่องเยี่ยงนี้เคยเห็นแต่ในละครงิ้ว ทว่าบัดนี้มันกำลังเกิดขึ้นกับตนเอง… นี่คือภรรยาที่พึ่งพาเกียรติของสามีเพื่อให้ได้มาซึ่งยศถาบรรดาศักดิ์ใช่หรือไม่ ?

แต่เดิมเป็นชาวนาอยู่ที่ชนบท บัดนี้กลับได้ราชโองการประทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นเก้ามิ่ง ทำให้พวกนางรู้สึกว่านี่มันมิใช่เรื่องจริง

“ฮูหยินทั้งสี่โปรดรับราชโองการแล้วทูลขอบพระทัยต่อฝ่าบาท ! ”

“อีกประเดี๋ยวฝ่าบาทจะทรงเสด็จมา พวกท่านโปรดเตรียมต้อนรับเถิด”

เมื่อหลิวจิ่นส่งมอบราชโองการเสร็จสิ้นแล้ว จึงขอตัวลาด้วยความปีติยินดี

ในขณะนั้นเฮ้อซานเตาก็หัวเราะขึ้นมา “ไอหยา ! ฝ่าบาทมอบของขวัญให้ชิ้นใหญ่มากจริง ๆ ! ”