ในวินาทีแรกที่พวกเขาเข้าสู่อาณาเขตฟีนิกซ์ พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนในอากาศทันที
แต่อากาศแบบนี้มันกลับทำให้เสี่ยวเยว่เฟิงและหลิงไช่หยุนรู้สึกเบิกบานเป็นอย่างมาก พวกนางต่างรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่พวกนางควรจะอาศัยอยู่
“ที่นี่คืออาณาเขตฟีนิกซ์!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดขึ้น “อาณาเขตฟีนิกซ์นั้นนับได้ว่าเป็นอาณาเขตที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของภูมิภาคหนานลี่และยังเป็นอาณาเขตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร เนื่องจากรอบ ๆ อาณาเขตฟีนิกซ์นั้นเต็มถูกโอบล้อมไปด้วยรอยแยกมิติทั้งหมด ซึ่งการที่จะเดินทางเข้าหรือออกอาณาเขตฟีนิกซ์ได้นั้นมีแค่เพียง 2 ช่องทางก็คือการเดินทางผ่านประตูเคลื่อนย้ายหรือผ่านแดนกระดูกขาวเท่านั้น”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อาณาเขตฟีนิกซ์อยู่ในจุดรอยต่อของภูมิภาคพอดี ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่มันจะมีสภาพแวดล้อมเช่นนี้”
อันที่จริงแล้ว หลิงตู้ฉิงรู้เป็นอย่างดีว่าทำไมสภาพแวดล้อมรอบด้านของอาณาเขตฟีนิกซ์มันเป็นแบบนี้
ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะในอดีตที่อัจฉริยะผู้เป็นเจ้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกำลังจะสร้างโลกใบใหม่และทำให้ทั้ง 5 ทวีปต้องแยกออกจากกัน อาณาเขตฟีนิกซ์ คือเศษชิ้นส่วนของทวีปหนานลี่ที่แตกออกไปแล้ว แต่บรรดาบรรพบุรุษฟีนิกซ์ต่างใช้พลังของตนเองรั้งอาณาเขตนี้เอาไว้และสร้างรอยแยกมิติโอบล้อมทุกด้านของอาณาเขต จงใจทิ้งช่องทางเข้าออกไว้เพียงเส้นทางเดียวเพื่อความปลอดภัยของลูกหลานตนเองในการป้องกันศัตรูที่จะเข้ามาบุกในอนาคต ซึ่งทางเข้าออกนั้นในภายหลังดันกลายไปเป็นแดนกระดูกขาว
“ถ้างั้นบ้านเกิดของเฟิงอยู่ที่เมืองไหน?” จ้าวเหมิงลู่ถามขึ้น
“บ้านเกิดของข้าอยู่ที่เมืองขนนกอัคคี ซึ่งอีกไม่นานพวกเราก็ไปถึงแล้วนายหญิง” เสี่ยวเยว่เฟิงหัวเราะ
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “การมาอาณาเขตฟีนิกซ์ในครั้งนี้ข้าวางแผนว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานสักหน่อย เพราะมันมีหลายอย่างที่ข้าต้องทำ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เฟิงเก็บรถมังกรซะ ต่อจากนี้พวกเราจะค่อย ๆ บินไปที่เมืองขนนกอัคคีด้วยตัวเอง”
หลิงตู้ฉิงสัมผัสได้ว่าในตอนนี้มันมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปมากกับภูเขาฟีนิกซ์ ดังนั้นเขาจึงต้องการค่อย ๆ สืบเรื่องราวทุกอย่างให้ชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องที่หนิงเฟิงสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรแถมยังเคยไปปรากฏกายที่เมืองขนนกอัคคี เขาต้องการรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เขาต้องการที่จะกำจัดปัญหาเหล่านี้ออกไปให้หมดก่อนที่เขาจะส่งหลิงไช่หยุนให้อยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะ
ทางด้านของเสี่ยวเยว่เฟิง เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ของหลิงตู้ฉิง นางก็รู้สึกสับสนแต่นางก็ยังทำตามที่สั่งโดยการเก็บรถมังกรไป ส่วนหลงเฉินก็กลายร่างเป็นมนุษย์และค่อย ๆ บินรวมกับกลุ่มของหลิงตู้ฉิงไปยังเมืองขนนกอัคคี
หลังจากกลุ่มของหลิงตู้ฉิงบินไปต่อได้ระยะทางกว่า 1,000 กิโลเมตร มันก็มีใครบางคนที่จำหน้าสองพี่น้องตระกูลเสี่ยวได้ หลังจากตกตะลึงอยู่สักพัก คนผู้นั้นก็รีบบินหายไปในทันที
เมื่อเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ สองพี่น้องก็เริ่มแสดงสีหน้ากังวลออกมา
“นายท่าน ดูเหมือนว่าคำสั่งล่าหัวพวกข้ายังคงไม่ถูกยกเลิก ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นคงไม่แสดงสีหน้าแบบนั้นออกมา” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องกังวลไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าแค่ทำตามที่ข้าสั่ง ข้ารับประกันว่าเจ้าสองคนพี่น้องจะปลอดภัยแน่นอน”
แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มของพวกเขาก็ถูกล้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก
“เมื่อในอดีตข้าอุตส่าห์ปล่อยให้พวกเจ้าหนีไป แต่ในตอนนี้เจ้ากลับกล้าย้อนกลับมาอีกงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
เสี่ยวเยว่เฟิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ไม่ต้องกลัว เจ้าพูดในสิ่งที่เจ้าคิดได้เลยหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาข้าจะช่วยเจ้าเอง” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดสนับสนุนของหลิงตู้ฉิงแบบนี้ เสี่ยวเยว่เฟิงก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที จากนั้นนางตะโกนสวนกลับไปว่า “แน่นอนว่าข้าต้องกลับมาอยู่แล้ว หานปิง!”
“กล้ากลับมาทั้ง ๆ ที่เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอสูรและกลายเป็นคนทรยศของพวกเราน่ะเหรอ!” หานปิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ก่อนหน้านี้องค์หญิงหวงเซียะได้ออกไปทำการสืบเรื่องราวด้วยตัวเองและได้จับตัวผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในอดีตกลับมาหมดแล้ว ซึ่งมันก็เหลือแต่พวกเจ้าเท่านั้นที่โชคดีไม่ถูกพบ ดังนั้นในเมื่อตอนนี้พวกเจ้ากลับมาที่นี่ด้วยตัวเอง งั้นพวกเจ้าก็จงตามข้ากลับไปที่เมืองขนนกอัคคีเพื่อรับโทษซะเถอะ!”
เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยขึ้นห้วน ๆ “อะไรก็ตามที่หนิงเฟิงทำลงไปมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้ากับน้องของข้าได้ออกมาจากกลุ่มของหนิงเฟิงนานแล้ว เพราะพวกข้าได้พบกับบรรพบุรุษของเผ่าเรา ซึ่งเขาอนุญาตให้ข้ากลายเป็นชนชั้นสูงเรียบร้อยแล้ว!”
“ไร้สาระ!” หานปิงเย้ยหยัน “เจ้ากับน้องของเจ้ามันเป็นแค่คนทรยศ พวกเจ้ากล้าดียังไงที่วันนี้มาอ้างตัวเองว่าเป็นชนชั้นสูงของเผ่าเรา!”
เสี่ยวเยว่เฟิงตะโกนกลับทันที “ก็เพราะหัวใจฟีนิกซ์ของข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าจึงได้ถูกอนุญาตให้เข้าร่วมกับชนชั้นสูง ในอดีตพวกเจ้าตระกูลหานขับไล่คนของตระกูลข้า หนี้ที่เจ้าเคยก่อไว้ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าแน่นอนเมื่อถึงเวลา!”
“ไม่ว่าเจ้าจะเพ้อเจ้อขนาดไหนเจ้าก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าเจ้ายังเป็นคนทรยศไปได้หรอก” หานปิงตะโกนขึ้น “จับพวกมันทั้งหมดไว้ นอกเหนือจากพี่น้องตระกูลเสี่ยว คนที่เหลือจะถูกรับโทษในข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับคนทรยศ!”
เมื่อเห็นว่าใช้คำพูดไม่ได้ผล เสี่ยวเยว่เฟิงจึงกลายร่างเป็นฟีนิกซ์ที่แท้จริงให้กับทุกคนได้เห็นและพูดว่า “พวกเจ้าไม่มีคุณสมบัติพอจะจับกุมข้าผู้ที่เป็นชนชั้นสูงของเผ่า ตระกูลหานของเจ้าจะต้องก้มหัวให้กับข้า!”
ทางด้านของทหารเมืองขนนกอัคคีที่กำลังจะตอบรับคำสั่งของหานปิง เมื่อพวกเขาเห็นร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริงของเสี่ยวเยว่เฟิงเช่นนี้พวกเขาก็หยุดทันที เนื่องจากตามความเข้าใจของพวกเขาแล้วมันเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่สามารถกลายร่างเป็นฟีนิกซ์ที่แท้จริงจะทรยศต่อเผ่าฟีนิกซ์
แม้แต่หานปิงในตอนนี้ก็อยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อเขาได้เห็นสองสาวพี่น้องกลายร่างเป็นฟีนิกซ์ที่แท้จริง
เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าคู่พี่น้องคู่นี้จะกลายเป็นชนชั้นสูงอย่างที่พวกนางกล่าวอ้างจริง ๆ
ทำไมพวกนางที่เมื่อก่อนคือคนทรยศในตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงไปได้?
อันที่จริงมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หานปิงจะไม่รู้ว่า เสี่ยวเยว่เฟิงและเสี่ยวหลิงเฟิงจะได้กลายเป็นชนชั้นสูง เพราะว่าก่อนหน้านี้ที่หลิงตู้ฉิงบอกให้หวงเซียะจัดการเรื่องสถานะให้พวกนางนั้น หวงเซียะไม่ได้จัดการอะไรให้หลังกลับมาถึงภูเขาฟีนิกซ์
เนื่องจากหลิงตู้ฉิงได้ลบความทรงจำของหวงเซียะไปจนนางจำไม่ได้ว่า หลิงตู้ฉิงเป็นใคร ดังนั้นเมื่อหวงเซียะนึกถึงชื่อ เสี่ยวเยว่เฟิงและเสี่ยวหลิงเฟิงได้จากความทรงจำของนางที่ไม่สมประกอบของนาง นางจึงไม่ได้จัดการอะไรเพราะว่าแม้แต่หลิงตู้ฉิง นางยังไม่รู้ว่าเป็นใครแล้วนางจะไปรู้ได้ยังไงว่า เสี่ยวเยว่เฟิงและเสี่ยวหลิงเฟิงเป็นใคร ดั้งนั้นนางจะมอบสถานะชนชั้นสูงให้กับคนที่นางไม่รู้จักได้ยังไง
ผลที่ออกมามันก็เลยเป็นแบบนี้ที่เห็น
เสี่ยวเยว่เฟิงเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าเชื่อแล้วรึยัง? เอาล่ะตอนนี้เจ้าก็จงภาวนาเอาไว้ให้พ่อกับแม่ของข้ายังคงมีชีวิตอยู่ ไม่เช่นนั้นตระกูลหานของเจ้าก็เตรียมตัวรอการล้างแค้นของพวกเราสองพี่น้องในอนาคตได้เลย! และอีกอย่างหลังจากนี้เจ้าควรจะคืนสิ่งของทุกอย่างที่เป็นของตระกูลข้ากลับมาให้ข้าด้วย!”