ตอนที่ 2,020 : ศิษย์พี่ของเวินเยี่ยน!
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ท่านมาหาข้ามีอะไรหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเหินร่างขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะหยุดอยู่เบื้องหน้าหลิวอวิ๋นค่อยถามออกไปด้วยสงสัย
ขณะเดียวกันเขาก็พบว่าสีหน้าของหลิวอวิ๋นนั้นเคร่งเครียดนัก
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักอะไรได้บางอย่าง ว่าหลิวอวิ๋นต้องมาหาเขาเพราะมีเรื่องสำคัญแน่
ครู่ต่อมาสีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็เผยความจริงจังออกมาเช่นกัน
“ศิษย์น้องหลิงเทียนข้าได้ยินมาว่า เจ้า ‘ตบหน้า’ เวินเยี่ยนต่อหน้าผู้คนไปหลายทีเลยหรือ?”
หลิวอวิ๋นกล่าวถามออกมาเสียงหนักขณะมองต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ สีหน้าเขายังผ่อนคลายลงทันทีหลังได้ยินคำถามของหลิวอวิ๋น
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ที่แท้ท่านมาหาข้าเพราะเรื่องนี้เองหรือ?”
ขณะที่ถามออกไป สีหน้าท่าทางของต้วนหลิงเทียนก็หวนคืนสู่ความปกติอีกครั้ง
ราวกับเรื่องราวของเวินเยี่ยนไม่อาจสร้างแรงกระเพื่อมใดๆในใจเขาได้เลย
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ…
“ศิษย์น้องหลิงเทียน เวินเยี่ยน หาใช่ศิษย์ที่แท้จริงธรรมดาๆไม่!”
เมื่อเห็นทีท่าไม่จริงจังของต้วนหลิงเทียน หลิวอวิ๋นก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นดั่งคำ ‘ฮ่องเต้ไม่กังวลขันทีเป็นกังวล’
จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “อาจารย์ของนางเป็นอาวุโสเพลิงทองที่ไปประจำอยู่ 1 ใน 4 แท่นบูชาจตุรลักษณ์…จ้าวแท่นบูชามังกรคราม!”
“จ้าวแท่นบูชามังกรคราม?”
ได้ยินคำของหลิวอวิ๋นต้วนหลิงเทียนแปลกใจเล็กน้อย
และมันก็แค่แปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ได้มีความหวาดกลัวใดๆแม้แต่น้อย เมื่อได้รับทราบว่าอาจารย์ของเวินเยี่ยนเป็นจ้าวแท่นบูชามังกรคราม
หลังชักสีหน้าแปลกใจครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็กลับมามีสีหน้าเฉยๆอีกครั้ง
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น นี่ท่านคงไม่ได้มาหาข้าถึงที่นี่เพราะแค่จะบอกข้าว่าอาจารย์ของเวินเยี่ยนเป็นจ้าวแท่นบูชามังกรครามหรอกนะ?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิวอวิ๋น
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนแค่ประหลาดใจเล็กน้อยแล้วก็กลับมาเฉยๆคล้ายไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก หลิวอวิ๋นได้แต่ยิ้มแห้งๆรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง “ศิษย์น้องหลิงเทียน…อาจารย์ของนางอย่างไรก็เป็นถึงจ้าวแท่นบูชามังกรคราม! เป็นอาวุโสเพลิงทองคนหนึ่งของลัทธิบูชาไฟเรา! ไฉนเจ้ายังเฉยอยู่ได้กัน!?”
“แล้วทำไมข้าต้องกลัวด้วยเล่า? อย่าบอกนะว่ามันจะถ่อมาหาข้าถึงที่แล้วลงมือสังหารข้าเพียงเพราะข้าตบหน้าเวินเยี่ยนไม่กี่ที?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบหลิวอวิ๋นด้วยใบหน้าไม่อีนังขังขอบ ไม่ได้มีแม้แต่ระลอกความเปลี่ยนแปลงใดๆ
อันที่จริงถึงหลิวอวิ๋นไม่มาบอกเรื่องนี้ เขาเองก็พอจะคาดเดาไว้บ้างแล้ว
เวินเยี่ยนนั่น 9 ใน 10 ต้องมีอาจารย์เป็นตัวตนระดับสูงในลัทธิบูชาไฟแน่นอน
เพราะสุดท้ายแล้วเวินเยี่ยนนั่นก็เป็นถึงอันดับ 9 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง สมควรต้องมีอาวุโสเพลิงทองหรือตัวตนที่มีฐานะสูงกว่านั้นสักคนรับนางเป็นศิษย์ไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะได้รับทราบเรื่องราวจากหลิวอวิ๋นเขาก็เพียงแปลกใจเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้อะไรมากมาย
นอกจากนั้นสาเหตุที่ทำให้เขาประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะอาจารย์ของนางเป็นอาวุโสเพลิงทอง แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นจ้าวแท่นบูชามังกรครามต่างหาก
“เจ้า…”
หลิวอวิ๋นถึงกับต้องอ้าปากค้างหลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สุดท้ายมันก็อึ้งไปพักใหญ่!
ไร้คำจะกล่าวแล้วจริงๆ!
“ศิษย์พี่หลิวอวิ๋น ข้ารู้ว่าท่านหวังดีและห่วงความปลอดภัยของข้า…อย่างไรก็ตามอาจารย์ของนางก็เป็นถึงอาวุโสเพลิงทองคนหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ควรลดตัวลงมาทำอะไรข้าเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอก…”
เมื่อสัมผัสได้ว่าที่หลิวอวิ๋นเป็นกังวลก็เพราะหวังดีต่อเขา ต้วนหลิงเทียนทำได้แค่กล่าวบอกอีกฝ่ายด้วยความมั่นใจ
“ศิษย์น้องหลิงเทียน ที่เจ้ากล่าวมันก็ถูก แต่ถึงอาจารย์เวินเยี่ยนที่เป็นจ้าวแท่นบูชามังกรครามจะไม่มาวุ่นวายอะไรกับเจ้า…แต่มันเองก็มีศิษย์ส่วนตัวคนอื่นอยู่ด้วย! และเจ้านั่นก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงเช่นกัน!!”
ขณะกล่าวถึงศิษย์ส่วนตัวคนอื่นของจ้าวแท่นบูชามังกรคราม หลิวอวิ๋นก็ชักสีหน้าจริงจังไม่น้อย
“หากเจ้านั่นมันรู้ว่าเจ้าทำอะไรกับเวินเยี่ยนล่ะก็ ข้าเกรงว่ามันจะไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ!”
กล่าวถึงตรงนี้หลิวอวิ๋นก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนที่ยังคงแลสบายๆ พอได้ยินประโยคนี้ของหลิวอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะโค้งคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ค่อยถามออกไปว่า “แล้วศิษย์ส่วนตัวของจ้าวแท่นบูชามังกรครามที่เป็นศิษย์ที่แท้จริงคนนั้น…พลังฝีมือของมันเป็นเช่นไรบ้าง?”
ก็อย่างที่หลิวอวิ๋นกล่าวไว้
บางทีอาจารย์ของเวินเยี่ยนอาจไม่ลดตัววลงมายุ่งเรื่องนี้
ทว่าศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนย่อมไม่คิดปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆแน่
ดังนั้นพอได้ฟังว่าเวินเยี่ยนมีศิษย์พี่อยู่ด้วย ใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความหวั่นไหวไม่น้อย ยังอยากรู้นักว่าศิษย์พี่ของนางมีพลังฝีมือระดับไหน
หากอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขา เช่นนั้นวันหน้าเขาก็ต้องคอยระวังตัวให้มากขึ้น
เขาก็ไม่ใช่ว่าจะชมชอบถูกผู้อื่นทุบตีรังแกสักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าต่อให้อีกฝ่ายทุบตีเขาวันนี้ แล้วเขาจะสามารถล้างแค้นอีกฝ่ายได้ในวันหน้าก็ตาม
“ศิษย์พี่คนโตของเวินเยี่ยนมันเป็นอันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง…พลังฝึกปรือของมันบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา! ตอนนี้พลังฝีมือของมันสมควรร้ายกาจนัก!!”
กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าหลิวอวิ๋นก็ทวีความเคร่งเครียดทั้งหวาดกลัวไม่น้อย ราวกับศิษย์พี่ใหญ่ของเวินเยี่ยนเป็นโรคระบาดก็ไม่ปาน
“อันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง ทั้งยังเป็นเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน?”
ได้ยินคำตอบของหลิวอวิ๋น ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดหยีลงทันใด
ตัวตนที่อยู่ในขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนนั้น ต้วนหลิงเทียนคิดว่าหากเขาใช้กระบี่นิลสวรรค์ด้วยการจ่ายพลังเซียนสุริยันทั้งหมดหลังยกระดับพลังจากใช้ปฐมเวทย์กลืนกินแล้ว เขาน่าจะพอฆ่ามันได้…แต่นั่นก็แค่คิดเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในลัทธิบูชาไฟแห่งนี้หากไม่ได้ไปลงนามในสัญญาเป็นตาย และสู้กันบนสังเวียนเป็นตาย ต่อให้ทำได้จริงแต่เขาก็ไม่กล้าฆ่าศิษย์พี่ใหญ่ของเวินเยี่ยน!
เพราะเมื่อถึงตอนนั้น แม้ศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนจะถูกเขาฆ่าได้ แต่เขาก็ไม่อาจรอดพ้นโทษประหารของลัทธิบูชาไฟได้อยู่ดี!
ศิษย์พี่ของเวินเยี่ยน ไม่เหมือนศิษย์หลานของหลี่อันอย่างพี่น้องสกุลหยวนที่เขาฆ่าทิ้งไปที่แท่นบูชานกไฟวันนั้น!
เพราะในฐานะที่มันเป็นถึงอันดับที่ 2 ในทำเนียบยอดฝีมือศิษย์ที่แท้จริง ย่อมหมายความว่าพรสวรรค์ของมันไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม!
นอกจากนั้นมันยังเป็นศิษย์คนโตของจ้าวแท่นบูชามังกรครามอีก
หากต้วนหลิงเทียนฝ่าฝืนกฏของลัทธิบูชาไฟเพื่อฆ่ามัน ถึงแม้ตอนนั้นต้วนหลิงเทียนจะแสดงรากวิญญาณสีน้ำเงิน เปิดเผยคุณค่าของตัวเองออกไป แต่หอคุมกฏของลัทธิบูชาไฟย่อมไม่ตัดสินเหมือนก่อน
เพราะสุดท้ายแล้วศิษย์พี่ของเวินเยี่ยน ก็ไม่ใช่อะไรที่พี่น้องสกุลหยวนจะเทียบได้เลย
อย่างไรก็ตามหากต้วนหลิงเทียนคิดฆ่าศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนจริงๆ นั่นหมายความว่าเขาต้องใช้กระบี่นิลสวรรค์ในสังเวียนเป็นตาย! ทว่าพอถึงตอนนั้น…ด้วยสายตาของเนี่ยสุ้ยที่เป็นเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน ย่อมต้องมองกระบี่นิลสวรรค์ออกแน่ แม้เขาจะใช้พลังทั้งหมดก็ตาม!
พอถึงตอนนั้นเข้าจริงๆ เกรงว่าเรื่องกระบี่นิลสวรรค์ก็ไม่พ้นถูกเปิดเผย และนั่นย่อมกระตุ้นความโลภของยอดฝีมือทั้งหลาย กลายเป็นชักนำหายนะเภทภัยมาสู่ตัว!
และนั่นไม่ใช่อะไรที่เขาอยากจะเห็น
‘กล่าวได้ว่า…ต่อให้ศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนมันลงนามในสัญญาประลองเป็นตายกับข้าจริง ข้าก็ไม่อาจใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่ามันต่อหน้าอาวุโสเนี่ยสุ้ยได้อยู่ดี!’
‘เพราะอาวุโสเนี่ยสุ้ยคงไม่พลาดให้ข้าใช้วิธีบังกระบวนท่าสังหารได้อย่างรอบที่แล้วอีกแน่นอน คิดปกปิดสายตามันอีกครั้งเกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้…’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอย่างจริงจัง
สุดท้ายเขาก็ได้ข้อสรุป
หากเขาบังเอิญเผชิญหน้ากับศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนขึ้นมาจริงๆ…ก็ได้แต่ต้องทนแล้วล่ะ!
แน่นอนว่าให้อีกฝ่ายทุบตีทรมานเขาแค่ไหน เขาย่อมสามารถทานทนได้!
เมื่อหลิวอวิ๋นเห็นสีหน้าจริงจังคร่ำเครียดของต้วนหลิงเทียน มันก็รู้ได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนกำลังกังวลเรื่องศิษย์พี่ของเวินเยี่ยน มันรีบกล่าวออกมาทันที “ศิษย์น้องหลิงเทียนอย่าได้กังวลไป ตราบใดที่เจ้าปิดด่านบ่มเพาะอยู่ที่บ้าน มันก็ไม่มีวันทำอะไรเจ้าได้…เพราะมันไม่มีทางกล้าบุกรุกเข้าไปในบ้านของเจ้า!”
“นอกจากนั้นข้าจะคอยเป็นหูเป็นตายให้เจ้า ไปจับตาดูความเคลื่อนไหวของศิษย์พี่เวินเยี่ยนนั่นให้! หากมันปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เจ้าก็สามารถไปไหนมาไหนได้…แต่ถ้าข้าพบว่ามันไม่ได้ปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เจ้าก็อย่าได้ไปไหน เร่งบ่มเพาะพลังอยู่ในบ้านเสีย! ตราบใดที่พลังฝีมือเจ้าเหนือกว่ามันเมื่อไหร่ค่อยออกมา ถึงตอนนั้นมันก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว…เอาล่ะ ข้าไปดูมันให้เลยว่าตอนนี้มันปิดด่านอยู่หรือไม่!”
หลิวอวิ๋นกล่าวจบคำก็เร่งเหินร่างจากไปทันที โดยไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนตอบคำอะไร
เมื่อเห็นหลิวอวิ๋นทำอย่างนี้ ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย
ขณะเดียวกันเขาก็เร่งกลับเข้าไปในม่านพลังของค่ายกลประจำเกาะอีกครั้ง
เพราะตราบใดที่เขาอยู่ในม่านพลังของค่ายกล ต่อให้อาวุโสเพลิงทองบุกมาเองก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้
“ความรู้สึกแบบนี้ ช่างขัดใจข้าจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะกล่าวบ่น
ตอนนี้หากศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนมันโผล่มาจริง เขาก็ทำได้แค่หลบอยู่ในที่พักเท่านั้น
เว้นแต่เขาจะบังเกิดอาการร่างกายอยากปะทะนึกคึกให้อีกฝ่ายทุบตีรังแก…
ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะเขาไม่อาจใช้กระบี่นิลสวรรค์ฆ่าศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนได้
‘ข้าหวังว่าศิษย์พี่ของเวินเยี่ยนนั่น มันไม่ปิดด่านก็ขอให้ออกไปทำภารกิจอะไรข้างนอกเสียเถอะ…ไม่งั้นข้าก็ได้แต่รอจนกว่าจะทะลวงด่านพลังได้อีกครั้ง จะได้ใช้กระบี่นิลสวรรค์สยบมันได้!’
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้แม้จะจ่ายพลังทั้งหมดเพื่อใช้กระบี่นิลสวรรค์ ก็ยังไม่แน่ว่าจะจัดการเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนได้ง่ายๆ
“ผู้เฒ่าหั่ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยน ข้าต้องบรรลุถึงด่านพลังใดหรือถึงจะทำให้มันไม่อาจมองเห็นร่องรอยกระบี่ของข้าได้?”
ต้วนหลิงเทียนที่สงสัย ก็เร่งส่งเสียงไปกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที
“หากเจ้าคิดลงมืออย่างไร้ร่องรอย โดยที่ขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนทั่วไปมิอาจมองเห็นกระบี่เจ้าได้แน่ๆ…พลังฝึกปรือของเจ้าสมควรต้องบรรลุถึงขอบเขตเซียนปฐพีขั้นสูงสุดให้ได้เป็นอย่างน้อย”
ผู้เฒ่าหั่วได้ยินก็กล่าวตอบออกมาในเวลาที่เหมาะสม
หลังจากเฝ้าดูเรื่องราวที่ผ่านมาของต้วนหลิงเทียนกอปรทั้งใช้สำนึเทวะแผ่ออกไปตรวจสอบผู้ฝึกตนด้านนอก ผู้เฒ่าหั่วก็มีความเข้าใจในระดับพลังฝีมือของผู้ฝึกตนในดินแดนเทพยุทธเซียนเต๋าภูมิภาคเบื้องบนไม่น้อย
พอได้ยินคำถามดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วจึงกล่าวตอบไปได้ไม่ยากเย็น
“เซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนทั่วไป?”
ได้ยินคำตอบของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ผู้เฒ่าหั่ว จากที่ท่านพูด…หมายความว่าต่อให้พลังฝึกปรือของข้าบรรลุถึงเซียนปฐพีขั้นสูงสุด แต่ก็ยังไม่อาจลงมือได้อย่างไร้ร่องรอย โดยที่ชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนจับไม่ได้?”
“ใช่”
ผู้เต่าหั่วกล่าวตอบ ค่อยอธิบายเพิ่ม “หลังจากบรรลุถึงขอบเขตเซียนสววรค์แล้ว แม้จะต่างกันเพียงแค่ขั้นเดียว…ทว่าแต่ละขั้นนั้นนับว่าต่างกันคนละโลก”
“หากเจ้าคิดจะปกปิดกระบี่นิลสวรรค์ ลงมือได้อย่างไร้ร่องรอยโดยที่ชนชั้นยอดฝีมือของขอบเขตเซียนสวรรค์ 3 เปลี่ยนมิอาจมองเห็นได้เลยจริงๆ เกรงว่าเจ้าต้องยกระดับพลังฝึกปรือให้บรรลุถึงเซียนนภาเสียก่อน”