ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 65 มาขอเก้อ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เห็นเขาพูดเช่นนี้ หวงฝู่ซวิ่นก็ยิ่งสนใจ อยากจะถามให้กระจ่าง 

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอก แต่บอกเขาไม่ได้ต่างหาก ตอนนี้หวงฝู่ซวิ่นเป็นฮ่องเต้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าเขาอาจจะฉวยโอกาสนี้ ทำเรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ทำได้เพียงอธิบายอย่างคลุมเครือว่าตอนที่ครอบครัวของตนติดอยู่ที่รัฐหมิง บังเอิญพบกับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงเข้าก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอะไรนั้น ไม่ได้บอกเขา 

 

 

เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ หวงฝู่ซวิ่นก็ร้อนรน ทำทีน่าเกรงขรามวางมาดเป็นฮ่องเต้ ตรัสถามว่า “ข้าขอสั่งเจ้า บอกกับข้ามาเดี๋ยวนี้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

ใครจะไปรู้ว่ามันใช้ไม่ได้กับหวงฝู่อี้เซวียน เขาลุกขึ้น ปัดก้นแล้วเดินออกไปหน้าตาเฉย  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นโกรธจนกระทืบเท้า อยากจะตามเขาออกไปแล้วจับเข้ามาถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย  

 

 

แต่พอดี ขันทีที่เขาส่งไปสืบก็กลับมา แล้วเอาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เรือนรับรองรายงานกับเขา 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นฟังจบ โบกมือสั่งให้ขันทีที่มารายงานออกไป แล้วตนก็ลูบคาง หรี่ตาครุ่นคิด  

 

 

ท่านอ๋องฉีกลับจวนไป เห็นว่าพระชายารู้เรื่องนี้แล้ว จึงปลอบใจนางว่า “ข้าได้เตือนไท่จื่อแห่งรัฐหมิงเอาไว้แล้ว เขาไม่กล้ามาสู่ขอหรอก” 

 

 

คำพูดของท่านอาจารย์ชิงเสวียนก็ยังคงวนเวียนในหู พระชายาฉีวางใจไม่ลง รู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่ง่ายเหมือนกับที่ท่านอ๋องฉีพูด 

 

 

และแน่นอน วันต่อมา ขุนนางบุ๋นบู๊มาที่ราชสำนักพร้อมหน้าพร้อมตา ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงก็มาเข้าเฝ้า ถวายเครื่องราชบรรณาการล้ำค่ามากมายให้กับฮ่องเต้เพื่อสานสัมพันธไมตรี 

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็แสดงน้ำใจตอบกลับ สั่งให้คนเก็บของบรรณาการเหล่านั้น แล้วให้สัจจะว่า “เพียงแค่รัฐหมิงของท่านไม่รุกรานประชาชนในแถบชายแดนของข้า ไม่เริ่มเปิดศึกก่อน พวกเรารัฐอู่ก็จะไม่สั่งกองทหารไปโจมตีพวกท่านเช่นกัน” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าก็พูดอย่างจริงจังและซื่อสัตย์ว่า “ทั้งสองรัฐเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ไม่มีศึกสงคราม ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข นี่เป็นภาพที่เสด็จพ่อของข้าอยากให้เป็นเช่นเดียวกัน ขอฝ่าบาททรงวางพระทัย ไม่ว่าอย่างไร รัฐหมิงของพวกเราก็จะไม่เปิดศึกอย่างแน่นอน” 

 

 

นี่เป็นการรับประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยียลี่ว์อาเป่านั้นเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป คำพูดของเขาต้องเชื่อถือได้อยู่แล้ว หวงฝู่ซวิ่นดีใจนัก หัวเราะออกมา พูดว่า “ดีๆ ดีมาก” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าเห็นหวงฝู่ซวิ่นดีใจ จึงใช้โอกาสนี้โค้งถวายบังคมแล้วเอ่ยปากขอว่า “ฝ่าบาท ตอนที่ข้าอยู่ที่รัฐหมิง เคยได้พบเจอหวงฝู่สือเมิ่งแห่งจวนอ๋องฉี ตอนนั้นข้าประทับใจนางเป็นอย่างมาก มิเคยลืมเลือน ในครานี้ นอกจากมาเพื่อสานสัมพันธไมตรีแล้ว ยังจะขอพระราชานุญาตให้ข้าได้ไปสู่ขอนางด้วยเถิด” 

 

 

คำพูดของเขาราวกับคลื่นพายุซัด ทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพูดกันไปต่างๆ นาๆ  

 

 

ทุกคนต่างรู้ว่า หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของท่านอ๋องฉี ไม่ตองพูดถึงเรื่องอายุของท่านหญิงทั้งสองหรอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะแต่งงาน แม้อายุจะถึงแล้วก็เถิด ไม่ต้องให้ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอหรอก เพราะคนที่อยากจะสู่ขอนางทั้งสองนั้นต่อแถวยาวเป็นหางว่าว อีกอย่าง รัฐหมิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงรัฐอู่ตั้งไกลแสนไกล ท่านอ๋องฉียอมสิแปลก 

 

 

แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่ซวิ่นก็เจื่อนลง อารมณ์ดีเมื่อครู่นี้มลายหายไปในพริบตา มองไปที่เยียลี่ว์อาเป่าที่ยืนหลังตรง หนักแน่น และสายตาที่รอคอยมุ่งมั่นของเขา ก็อยากที่จะตบหน้าอันงดงามของเขาสักทีสองที ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย หลานสาวสองคนนั้นของเขาของ่ายนักหรือไง ไม่ต้องพูดถึงตัวหวงฝู่สือเมิ่งหรอก แค่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนสองคนนี้ ถ้าหากว่าเขาตอบรับให้สู่ขอได้ล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้นั่งบนบัลลังก์ตัวนี้อย่างสงบสุขเลย แถมยังต้องคิดหาทางหนีอีกต่างหาก ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหนียักษ์สองตนนั้นได้พ้น  

 

 

หลังจากที่ก่นด่าเจ้าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงที่ให้คำถามยากเกินกว่าเขาจะตอบได้ต่อหน้าขุนนางทั้งหลายในใจเสร็จ ใบหน้าที่ยิ้มเจื่อนของหวงฝู่ซวิ่นก็กลับมายิ้มอีกครั้ง แล้วตอบว่า “เรื่องสู่ขอท่านหญิงน้อยของจวนอ๋องฉี เป็นเรื่องที่จะต้องให้อ๋องฉีกับซื่อจื่อเป็นคนตัดสินใจ แม้ข้าจะเป็นฮ่องเต้ ก็ไม่ได้มีอำนาจก้าวก่าย หากว่าเจ้าอยากสู่ขอจริงๆ ล่ะก็ ไปสู่ขอที่จวนด้วยตัวเองเถิด” 

 

 

พูดจบ ก็สะใจยิ่งนัก ไม่บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นงั้นรึ ข้าจะส่งต่อให้จวนอ๋องของเจ้าเลยแล้วกัน ดูสิว่าจะทำอย่างไร 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าฟังล่ามแปลจบ ก็ตกใจเงยหน้าขึ้น มองไปที่หวงฝู่ซวิ่น เพราะที่รัฐหมิง เรื่องแต่งงานของหญิงเชื้อพระวงศ์ล้วนแล้วแต่มีฮ่องเต้ตัดสินใจทั้งนั้น แล้วเหตุใดรัฐอู่ถึงไม่เป็นเช่นนั้นเล่า 

 

 

เขาในตอนนี้ไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพราะระเบียบไม่เหมือนกัน แต่เพราะคนที่เขาจะไปขอนั้นพิเศษเกินไป ขนาดหวงฝู่ซวิ่นที่เป็นฮ่องเต้ยังไม่อาจตัดสินใจได้เชียวหรือ 

 

 

หลังจากที่ประชุมเสร็จ เรื่องที่ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอท่านหญิงน้อยแห่งจวนอ๋องฉีต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่ ก็ลือกันไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุ ไม่นานก็ลือไปทั่วเมืองหลวง จนไปถึงหูของจวนอ๋องและจวนตระกูลเมิ่งที่เป่ยเฉิง 

 

 

ท่านอ๋องฉีโกรธเป็นอย่างมาก อยากไปคิดบัญชีที่เรือนรับรองเดี๋ยวนี้เลย แต่ได้พระชายาฉีมาห้ามเอาไว้ “ท่านพี่ อีกไม่นานเมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์ก็อายุครบสิบสามปีเต็มแล้ว การที่มีคนมาสู่ขอนั้นเป็นเรื่องดี ถ้าท่านไปมีเรื่องกับเขาล่ะก็ จะมีใครกล้ามาขอพวกนางอีกเล่าเจ้าคะ” 

 

 

“ไม่มีใครขอ ก็อยู่ที่นี่ไปนั่นแหละ จวนอ๋องฉีแห่งนี้จะเลี้ยงพวกนางไปตลอดชีวิตไม่ได้งั้นรึ” ท่านอ๋องฉีเกี้ยวกราด  

 

 

“ท่านพี่ ท่านอย่าพูดด้วยความโกรธสิเจ้าคะ เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์จะอยู่ที่จวนแห่งนี้ตลอดไปได้อย่างไรกัน… …” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เจื่อนลง “พวกนางเป็นหญิงสาว อย่างไรเสียก็ต้องแต่งออกไป” 

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่อยากจะคิดถึงตอนนั้น แล้วก็ไม่กล้าคิด ได้แต่หลับตาลง พอลืมตาขึ้น ความโกรธในแววตาก็หายไป แต่สีหน้าดันทำให้น่าตกใจยิ่งกว่า  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงภาพนี้ไว้ตั้งนานแล้ว จึงไม่ได้ร้อนรนมากนัก หลังจากที่หวงฝู่สือเมิ่งกลับมาจากกั๋วจื่อเจี้ยน ก็เรียกนางมาหา แล้วเล่าเรื่องที่ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงสู่ขอนางต่อหน้าขุนนางทั้งหลาย  

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็ตกใจจนตาถลน “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้อย่างไร ข้า ข้าไม่เคยคุยกับเขาเลยสักนิดนะเจ้าคะ” 

 

 

เมื่อเห็นว่าลูกสาวของตนไม่ได้คิดอะไร ทั้งสองคนก็โล่งอก วางใจลงได้  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วลูบหัวของหวงฝู่สือเมิ่ง แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น ก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มาใส่ใจหรอก แต่ว่าหลายวันนี้ข้างนอกต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันมาก เพราะฉะนั้นเจ้ายังไม่ต้องไปกั๋วจื่อเจี้ยน อยู่ที่จวนไปก่อน รอให้พายุลูกนี้ผ่านไปก่อนค่อยว่ากัน” 

 

 

“เจ้าค่ะท่านแม่” 

 

 

คนในใจวนไม่ได้มีทีท่าใดๆ ต่างทำหน้าที่ของตนปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงทำให้คนที่คอยจ้องจะดูอะไรน่าสนุกๆ ต่างผิดหวังไปตามๆ กัน แล้วคิดว่า ต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ดูจากทรงท่านอ๋องฉีแล้ว น่าจะไปคิดบัญชีถึงที่ จัดหนักให้กับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นต่างหาก แล้วเหตุใดจึงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยล่ะ  

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดไปต่างๆ นาๆ แล้วเรื่องก็เกิด 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าฟังคำของหวงฝู่ซวิ่น พอกลับไปที่เรือนรับรองก็สั่งให้คนไปสืบมาว่าถ้าจะไปสู่ขอต้องทำอย่างไรบ้าง 

 

 

หลังจากที่ทูตถามผู้คนมามากมาย ก็กลับมารายงาน  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าฟังจบก็สั่งให้คนของตนจัดเตรียมของให้พร้อมเสร็จในวันเดียว  

 

 

วันต่อมา เยียลี่ว์อาเป่าก็ขี่ม้างาม สั่งให้คนยกของขวัญ เชิญแม่สื่อมา มีเครื่องดนตรี จัดขบวนอย่างยิ่งใหญ่ ยิ้มแย้มแจ่มใสเดินทางมาสู่ขอที่จวนท่านอ๋องฉี 

 

 

ใบหน้าฟ้าประทานของเขา และอีกไม่นานก็จะได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ตนเองรักใคร่ เขาจึงอารมณ์ดีเป็นที่สุด เลยยิ่งทำให้เขามีสง่าราศีมากกว่าปกติ นับตั้งแต่ออกจากเรือนรับรองมาระหว่างทางก่อนถึงจวนอ๋องฉี ต่างก็ตกสาวโสดไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

 

 

นายประตูของจวนอ๋องก็ทำหน้าที่ปกติ ยืนอยู่ที่หน้าประตู ชะเง้อออกไปดูว่าคึกครื้นอะไรกัน แล้วสังเกตได้ว่ามันแปลกๆ ขบวนนั้นกำลังมุ่งหน้ามาที่จวนอ๋องฉีนี่นา จึงตกใจเป็นอย่างมาก ขนลุกซู่ไปทั้งตัว รีบวิ่งเข้าไปข้างในโดยทันที  

 

 

พอหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวได้รับรายงานแล้ว ก็ขมวดคิ้วขมวดเป็นปอม มองตากันแล้วลุกขึ้น เดินไปที่หน้าประตูจวนโดยทันที 

 

 

ท่านอ๋องฉีกับพระชายาก็ได้รับรายงานแล้วเช่นเดียวกัน จึงรีบตามออกมา 

 

 

ยังไม่ทันถึงหน้าประตู เยียลี่ว์อาเป่าก็เห็นหวงฝู่อี้เซวียนสองสามีภรรยายืนอยู่ที่หน้าประตูจากไกลๆ จึงรีบลงจากม้า เอาเชือกส่งให้กับผู้ติดตาม เดินไปหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว “เยียลี่ว์ขอคารวะซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ” 

 

 

เขาเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ฐานะสูงกว่าทั้งสองคน แต่กลับมาคารวะทั้งสอง เมิ่งเชี่ยนโยวเลยได้แต่พยักหน้าด้วยความพอใจ แต่หวงฝู่อี้เซวียนกลับถามกลับไปด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ไท่จื่อเยียลี่ว์เล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ ด้วยเหตุอันใดกัน” 

 

 

“เยียลี่ว์รู้สึกประทับใจท่านหญิงน้อยหวงฝู่สือเมิ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบ จึงมาสู่ขอ ข้าไปสืบมาแล้ว ว่านี่เป็นประเพณีของรัฐอู่ ท่านพอใจหรือไม่” เยียลี่ว์อาเป่าดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับพูดด้วยความนอบน้อม 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาพูดจบ กลับรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวของหวงฝู่อี้เซวียน ในใจนึกสงสัย เลยแอบหันไปมองขบวนสู่ขอที่ตนจัดมา ไม่รู้ว่าผิดพลาดประการใด จึงทำให้หวงฝู่อี้เซวียนโกรธถึงเพียงนี้  

 

 

ท่านอ๋องฉีกับพระชายาก็มาถึง เห็นคนที่แห่มาดูซ้อนกันไปมานับไม่ถ้วน ท่านอ๋องฉีอยากจะฆ่าเยียลี่ว์อาเป่าเสียให้ตายๆ ไปเลย 

 

 

เมื่อเยียลี่ว์อาเป่าเห็นพวกเขา ก็โค้งคารวะอย่างนอบน้อม แต่โดนท่านอ๋องฉีพูดปฏิเสธอย่างเลือดเย็นว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ฐานะสูงส่ง มาคารวะพวกเราแบบนี้ไม่ถูกต้องนัก หรือนี่ท่านต้องการกดดันพวกเราต่อหน้าคนมากมายอย่างนั้นหรือ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ากำลังจะโค้งคารวะก็หยุดชะงักลง เงยหน้าขึ้น มองไปที่ท่านอ๋องฉี รู้สึกได้ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร  

 

 

ได้ยินเสียงกลองที่ดังแสบหู ท่านอ๋องฉีได้แต่กำหมัดซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง พยายามฝืนกำปั้นของตนเองไม่ให้ต่อยลงไปที่ใบหน้าฟ้าประทานของเจ้าเยียลี่ว์ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ช่างจริงใจยิ่งนัก เดินทางจากรัฐหมิงเป็นพันๆ ลี้เพื่อมาสู่ขอแต่งงาน แต่เกรงวันนี้ท่านคงไม่สมปรารถนา” 

 

 

พอล่ามแปลจบ เยียลี่ว์อาเป่าก็ชะงักไป ถามด้วยความสงสัยว่า “เพราะเหตุใด” 

 

 

“เป็นเพราะด้วยฐานะที่สูงส่งของท่าน พวกเราจวนอ๋องไม่คู่ควรหรอก” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าชะงักไป ไม่นาน ก็ตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ข้า ข้าไม่สน” 

 

 

นี่มันสีซอให้ควายฟังชัดๆ ท่านอ๋องฉีเกรี้ยวกราดทันที จึงพูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนทำให้เยียลี่ว์อาเป่าคอหดไปอย่างไม่รู้ตัวว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ไม่สนใจ แต่จวนอ๋องฉีของเราสน ขออภัยที่ไม่สามารถตอบรับ อย่างไรเสียขอเชิญท่านมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถิด”