พระชายาฉีพยักหน้า “ก็ดี เดี๋ยวพวกเรากราบไหว้เสร็จแล้วจะออกมา” 

 

 

แล้วพ่อลูกสามคนก็เดินออกมานอกวัด  

 

 

หลังจากที่พระชายาฉีพาทุกคนมากราบไหว้เสร็จแล้ว ก็กลับมาที่รถม้า เห็นสีหน้าของท่านอ๋องฉียังไม่ดีขึ้น เลยขมวดคิ้วสงสัย  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลยออกมายิ้ม พูดว่า “เสด็จแม่ กลับจวนก่อนเถอะเจ้าค่ะ มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยว่ากัน” 

 

 

คำถามของพระชายาฉีก็กลืนลงคอไป ขึ้นรถม้ากลับจวน  

 

 

นานๆ ทีจะไม่ได้ไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน หลังจากที่กลับมา เด็กๆ ทั้งหลายก็รวมกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน 

 

 

หลังจากที่พระชายาฉีบอกให้ทุกคนไปที่เรือนของนาง สั่งหลิงหลงให้ยกน้ำชามาให้คนละถ้วย พร้อมถามว่า “พวกเจ้ามีเรื่องอันใดปิดบังข้าหรือไม่ พูดมาเถอะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่หวงฝู่อี้เซวียน  

 

 

หลังจากหวงฝู่อี้เซวียนจิบชาเสร็จ จึงพูดว่า “เป็นเช่นนี้ขอรับ ตอนที่พวกเราช่วยเย่ว์เอ๋อร์ที่รัฐอิง…” 

 

 

พูดยังไม่ทันจบ ก็มีเสียงรายงานจากพ่อบ้านว่า “ขอรายงานท่านอ๋อง พระชายา มีคนจากวังหลวงมาขอรับ บอกว่ารัฐหมิงส่งทูตมาสานสัมพันธไมตรี ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ซื่อจื่อเข้าวังโดยด่วนขอรับ” 

 

 

ท่านอ๋องฉีได้ยินดังนั้น ก็หรี่ตา นี่ยังไม่ทันขึ้นปีใหม่ รัฐหมิงก็ส่งคนมาสานไมตรีแล้วงั้นหรือ แถมยังมีคำพูดของท่านอาจารย์เสวียนชิงที่ติดอยู่ในใจอีก สีหน้าจึงเคร่งขรึม ยืนขึ้นพูดว่า “ข้าจะเข้าวังไปกับเจ้า” 

 

 

ทั้งสองคนเข้าวัง แล้วมาที่ห้องทรงพระอักษรโดยทันที  

 

 

หลังจากที่ทูตของรัฐหมิงมาถึง ก็ให้เข้าพักที่เรือนรับรอง หวงฝู่ซวิ่นยังไม่ได้พบเขา เมื่อเห็นท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนมาด้วยกัน ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหยั่งเชิงถามดูว่า “เสด็จอา ท่านมาด้วยเรื่องอันใด” 

 

 

เพราะหลายปีมานี้ท่านอ๋องฉีไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวในราชสำนักเลย วันนี้เข้ามาในวัง หวงฝู่ซวิ่นจึงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก  

 

 

“คนของรัฐหมิงล่ะ” ท่านอ๋องฉีถาม  

 

 

“ข้าสั่งให้คนพาเขาไปพักในเรือนรับรองแล้ว เสด็จอามีเรื่องอันใดหรือ” 

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่ได้ตอบเขา แต่ถามต่อว่า “คนที่มาคือผู้ใด” 

 

 

“ไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เยียลี่ว์อาเป่า 

 

 

คำพูดของหวงฝู่ซวิ่น ทำเอาท่านอ๋องฉีที่ยังไม่ทันทำความเคารพก็เดินออกไปโดยทันที  

 

 

“เดี๋ยวก่อนเสด็จอา นี่ท่าน… …” หวงฝู่ซวิ่นไม่เข้าใจในการกระทำของท่านอ๋องฉีเลยแม้แต่น้อย จึงตะโกนเรียกให้เขาหยุดเพื่อถาม แต่ท่านอ๋องฉีก็ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เดินออกไปจากห้องหนังสือโดยทันที  

 

 

“น้องเซวียน เสด็จอาเขา… …” หวงฝู่ซวิ่นหันไปถามหวงฝู่อี้เซวียน  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนทำความเคารพแล้วบอกว่า “ฝ่าบาท มีเรื่องอันใดเอาไว้คราวหลังพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พูดจบ ก็รีบเดินออกไปโดยทันที  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็งงเข้าไปใหญ่ จึงออกคำสั่งหัวหน้าขันทีผู้ดูแลว่า “ให้คนไปสืบมา ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

ท่านอ๋องฉีออกมาจากวัง ก็ขี่ม้ามาที่เรือนรับรองทันที  

 

 

ขันทีที่ดูแลอยู่ที่เรือนรับรองก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบเข้าไปต้อนรับ “บ่าวขอคารวะ… …” 

 

 

“คนรัฐหมิงล่ะ” พูดไม่ทันจบ ท่านอ๋องฉีก็ถามด้วยน้ำเสียงดุดัน  

 

 

ขันทีชะงักไปครู่หนึ่ง 

 

 

ท่านอ๋องฉีจ้องไปที่เขาด้วยสายตาอันโกรธเกรี้ยว  

 

 

ขันทีขนลุกซู่ ราวกับโดนนน้ำเย็นสาดอย่างใดอย่างนั้น เมื่อได้สติจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เอ่อ อยู่ด้านในขอรับ” 

 

 

แล้วท่านอ๋องฉีก็เข้าไปทันที  

 

 

ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ขันทีอยากจะห้ามเขา แต่ก็กลัวจนเหงื่อแตกเต็มไปหมด  

 

 

ศึกระหว่างรัฐอู่กับรัฐอิง ฮ่องเต้รัฐหมิงเห็นว่า รัฐอู่แทบไม่ได้ทำอะไรเลย ก็ชนะศึกได้อย่างง่ายดาย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ศักยภาพและกองกำลังของรัฐอู่นั้นทำให้พวกเขาเกิดกลัวขึ้นมานั่นเอง หลังจากที่นอนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืน ในที่สุดก็คิดวิธีหนึ่งออกมาได้ ก็คือไปสานสัมพันธไมตรีกับรัฐอู่เสียก่อน เพื่อแสดงตนว่าตนไม่มีความคิดที่จะเปิดศึกกับรัฐอู่เลยแม้แต่น้อย  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าได้ยินว่าเสด็จพ่อของตนจะส่งคนมารัฐอู่ เขาจึงอาสา  

 

 

แต่ฮ่องเต้ไม่ยอม เพราะครั้งก่อนที่ออกไปเที่ยวเล่น ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว ถ้าหากว่าให้เป็นทูตไปรัฐอู่ ยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออันตรายอะไรบ้าง เขาเป็นถึงไท่จื่อแห่งรัฐหมิง เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ห้ามเกิดอะไรขึ้นกับเขาเป็นอันขาด 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าก็จนปัญญา จึงได้เล่าตอนที่ตนโดนลอบฆ่าตอนนั้นให้ฟัง เป็นเพราะคนของรัฐอู่ที่ช่วยชีวิตตนไว้ อีกทั้งยังเป็นชนชั้นสูง ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา จะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ของรัฐอู่อย่างแน่นอน ที่เขามา อย่างแรกก็เพื่อที่จะมาขอบคุณคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ อย่างที่สอง เขาจะได้สนิทชิดเชื้อกับพวกเขาเอาไว้ หากว่าเป็นเชื้อพระวงศ์จริงล่ะก็ มีเรื่องอันใดจะได้ง่ายขึ้น 

 

 

ฮ่องเต้รัฐหมิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ตอบตกลง ส่งเขามารัฐอู่  

 

 

ตอนที่ท่านอ๋องฉีมาถึงเรือนรับรอง เยียลี่ว์อาเป่ากำลังนั่งดื่มชาอยู่อย่างเพลิดเพลิน แม้ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก ก็ไม่ได้สนใจ 

 

 

หลังจากที่ท่านอ๋องฉีเดินเข้ามาในเรือนรับรอง ก็มองไปโดยรอบ เห็นทหารองครักษ์ยืนอยู่เต็มไปหมด จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านใน  

 

 

ยังไม่ทันถึงประตู ก็โดนคนของเยียลี่ว์อาเป่าเอาดาบจี้ถามว่า “หยุด เจ้าคือผู้ใด” 

 

 

เขาพูดภาษารัฐหมิง ท่านอ๋องฉีฟังไม่ออก แต่เห็นท่าทีที่ห้ามเขา ก็รู้ได้ว่ากำลังบอกเขาว่าอย่าเข้าไป จึงหรี่ตามอง 

 

 

ขันทีตามมาติดๆ พอเห็นคนของรัฐหมิงกำลังตะคอกเสียงใส่ท่านอ๋องฉี เหงื่อบนหน้าก็ไหลออกมาไม่หยุด เลยรีบขึ้นมาปรามว่า “เก็บอาวุธของเจ้าเดี๋ยวนี้ นี่คือท่านอ๋องของพวกเรา” 

 

 

เขาพูดภาษารัฐอู่ คนของเยียลี่ว์อาเป่าก็ฟังไม่ออก เลยถลึงตากลับมาที่พวกเขาด้วยความโกรธ  

 

 

ทั้งสองคนไม่มีใครยอมใคร เยียลี่ว์อาเป่าเห็นว่าสถานการณ์แปลกๆ เลยลุกขึ้นมองออกมา เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียน ก็ดีใจเป็นอย่างมาก รีบเดินออกมาตะคอกใส่คนของเขาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้ ออกไป!”  

 

 

คนของเขาตอบรับ เก็บดาบ แล้วถอยออกไป 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าเดินมาตรงหน้าหวงฝู่อี้เซวียน ยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้มีพระคุณ พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะขอรับ” 

 

 

ไม่มีผู้แปลภาษา หวงฝู่อี้เซวียนเลยฟังไม่ออกว่าเขาพูดว่าอะไร ได้แต่เพียงตอบ “อืม” แล้วสั่งขันทีว่า “ไปตามผู้แปลภาษามาให้ข้าที” 

 

 

ขันทีก็หน้าบูด ที่เรือนรับรองนี้ก็มีแต่ขันทีแบบเขาเท่านั้นแหละ บ้านยากจนข้นแค้น เลี้ยงไม่ไหวเลยส่งเข้ามาเป็นขันทีในวังหลวง ไม่รู้จักตัวหนังสือสักตัว จะมีใครไปรู้ภาษารัฐหมิงได้เล่า 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าถึงนึกขึ้นได้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนฟังภาษาตนไม่รู้เรื่อง เลยหันมาออกคำสั่งเบาๆ  

 

 

ผู้ติดตามก็ตอบรับ แล้วไปที่เรือนๆ หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปหน่อย เรียกคนๆ หนึ่งมา  

 

 

ผู้ที่มาสีหน้าซีดเซียว เดินเซไปเซมา จนมาถึงตรงหน้าทุกคน แล้วทำความเคารพเยียลี่ว์อาเป่า  

 

 

แล้วเยียลี่ว์อาเป่าพูดกับเขา 

 

 

คนนั้นมองข้ามท่านอ๋องฉีไป แล้วทำความเคารพหวงฝู่อี้เซวียน พูดภาษารัฐอู่ว่า “นายท่าน ข้าคือทูตผู้ติดตามในครั้งนี้ พูดได้หลายภาษา ในขณะที่เดินทางมาป่วยเป็นไข้หวัด เพิ่งจะได้พักผ่อนเมื่อครู่นี้ เลยไม่ได้ออกมาต้อนรับนายท่านได้ทันเวลา ขอนายท่านโปรดอภัยด้วยขอรับ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เยียลี่ว์อาเป่า แต่ไม่ได้พูดอะไร  

 

 

แล้วขันทีก็รีบแนะนำ “ท่านผู้นี้คือท่านอ๋องฉีผู้สูงส่งของรัฐอู่ และท่านนี้คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี” 

 

 

“ขอคารวะท่านอ๋อง ขอคารวะซื่อจื่อ” สีหน้าของทูตของก็ตกใจ ทำความเคารพอย่างไม่ทันตั้งตัว จากนั้นยืนตัวตรง แปลให้เยียลี่ว์อาเป่าฟัง 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าก็รีบทำความเคารพทั้งสองคนโดยทันที  

 

 

ทูตเห็นดังนั้น ก็ตกใจเข้าไปใหญ่  

 

 

สื่อสารไม่เข้าใจ ก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง ท่านอ๋องฉีไม่มีคำถามอะไรแล้ว คนเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตนเองเลย ตัวเมิ่งเอ๋อร์เองก็ไม่ยินยอมอย่างแน่นอน แต่พอมองดูดีๆ แล้ว รูปลักษณ์อันงดงาม ดูดีมีราศี ราวกับมีแสงจันทร์สาดส่องลงมาที่ตัวของเขา ทำให้เป็นที่น่ามองจนมิอาจละสายตาได้ ความโกรธในใจก็หายไป คนเช่นนี้ เหมาะสมกับหลานสาวของตน แต่น่าเสียดาย เขาเป็นไท่จื่อแห่งรัฐหมิง จะต้องรับตำแหน่งเป็นฮ่องเต้ในอนาคต ไม่เพียงแต่เขาหรอก คนในจวนก็คงจะไม่มีใครเห็นด้วยที่จะให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งออกไปไกลขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังจะต้องมาแก่งแย่งชิงดีกับเหล่านางสนมอีกไม่รู้กี่คน นี่เป็นสิ่งที่ครอบครัวไม่อยากให้เป็น และมิอาจรับได้ เมิ่งเอ๋อร์ของพวกเขาควรที่จะได้รับความรักแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น  

 

 

สีหน้าไม่พอใจของท่านอ๋องได้หายไป พูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์มีภาระหน้าที่รับผิดชอบใหญ่หลวงนัก มาถึงรัฐอู่ ก็ควรรู้ว่าอะไรควรมิควรทำ หวังว่าท่านจะไม่ทำให้พวกเราไม่พอใจ” 

 

 

พูดจบ ไม่ทันรอให้ทูตแปลให้เยียลี่ว์อาเป่าฟัง ก็เดินออกจากเรือนรับรองไปทันที 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็เช่นกัน เหลือแต่เพียงขันทีที่ยืนเกาหัวงงๆ กับทูตรัฐหมิงที่ยืนชะงักอยู่ตรงนั้น 

 

 

เมื่อเยียลี่ว์อาเป่าได้ยินดังนั้น ก็มองไปที่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยสายตาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเม้มปากแน่น 

 

 

หลังจากที่ท่านอ๋องฉีกับหวงฝู่อี้เซวียนไปแล้ว พระชายาฉีก็ร้อนรน มองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว  

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่รัฐหมิงให้ทุกคนฟัง 

 

 

“เจ้าหมายถึง ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงจะใช้โอกาสที่มาสานไมตรีกับเราเพื่อมาสู่ขออย่างนั้นหรือ” พระชายาฉีฟังจบก็ถามขึ้น  

 

 

“มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ” 

 

 

“ไม่ได้เด็ดขาด!” พระชายาฉีรีบลุกขึ้นปฏิเสธโดยทันที “รัฐหมิงห่างไกลจากบ้านเรานัก เมิ่งเอ๋อร์จะแต่งออกไปไกลขนาดนั้นได้อย่างไร ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็หลุดหัวเราะออกมา แล้วโน้มน้าวว่า “เสด็จแม่เจ้าคะ นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกเราเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องจริง บางทีรัฐหมิงอาจมาเพื่อสานไมตรีแค่นั้นก็ได้ เช่นนี้พวกเราไม่เป็นกระต่ายตื่นตูมไปหน่อยหรือเจ้าคะ” 

 

 

“แม่เชื่อที่เจ้าพูด เจ้าบอกว่าเขามีใจให้กับเมิ่งเอ๋อร์ นั่นก็แสดงว่าเป็นจริงแน่นอน เจ้าเดาไม่ผิดหรอก ไม่ได้การล่ะ แม่จะต้องหาวิธีหยุดเขาให้ได้” 

 

 

“เสด็จพ่อออกไปแล้วนี่ไงเจ้าคะ คาดว่าน่าจะบอกฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้ไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอ ก็คงต้องโดนฮ่องเต้ปฏิเสธก่อน” 

 

 

“ก็จริง ซวิ่นเอ๋อร์คงเข้าใจพวกเรา และคงไม่ยอมให้เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์แต่งออกไปไกลแน่นอน เขาต้องไม่รับปากอย่างแน่” คิดได้ดังนั้น พระชายาฉีก็ใจชื้น นั่งลงได้  

 

 

พอออกมาจากเรือนรับรอง ท่านอ๋องฉีก็ขี่ม้ากลับมาจวนอ๋องทันที ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนเข้าไปที่วัง 

 

 

คนที่หวงฝู่ซวิ่นส่งให้ไปสืบยังไม่ทันกลับมา ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่กำลังครุ่นคิด หวงฝู่อี้เซวียนก็กลับมา เขาโบกมือให้คนใช้ออกไปให้หมด แล้วเดินตรงดิ่งไปถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดเสด็จอาถึงได้โกรธขนาดนั้น” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองไปที่เขา จากนั้นเก็บสายตาแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ฝ่าบาท ถ้าหากว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงมาสู่ขอแต่งงาน ท่านปฏิเสธไปเลยก็พอ”