แล้วหวงฝู่ซวิ่นก็กลืนน้ำลายลงคอ หมดมาดฮ่องเต้ไปเลยทีเดียว นั่งหลังตรงออกคำสั่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ให้เสด็จอาเข้ามา”
หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตอบรับ แล้วออกไป ไม่นานท่านอ๋องฉีก็เดินเข้ามา
เมื่อเข้ามาในห้องทรงพระอักษรก็ยืนด้านหน้าหวงฝู่ซวิ่นอย่างนอบน้อม ยังไม่ทันให้เขาได้พูดอะไร ก็ทำการคารวะเต็มยศอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ถวายบังคมฝ่าบาท”
หวงฝู่ซวิ่นตกใจขนลุกซู่ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นฮ่องเต้มาหลายปีแล้วล่ะก็ เขาคงตกใจลุกหนีไปไหนต่อไหนแล้ว ที่หน้าผากมีเหงื่อไหลออกมาเล็กน้อย ตอนแรกก็ว่าห้องหนังสือนี้บรรยากาศดี แต่ตอนนี้กลับรู้สึกร้อนขึ้นมาทันทีทันใด
ยังคงนั่งนิ่ง พยายามข่มใจที่เต้นแรง แล้วพูดด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อยว่า “เสด็จอา ท่าน……”
“คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ฝ่าบาทคงได้ยินมาบ้างแล้ว กระหม่อมมาขอบพระคุณฝ่าบาทที่ให้เกียรติจวนอ๋องฉีของกระหม่อมเพียงนี้”
ประโยคนี้ทำไมยิ่งฟังยิ่งพิลึก รู้สึกได้ถึงความต้องการคิดบัญชีย้อนหลังอย่างไรไม่รู้ แต่ท่านอ๋องฉีพูดด้วยท่าทางสำรวม ทำให้หวงฝู่ซวิ่นใจเสาะขึ้นมาแล้วสิ จึงหัวเราะกลบเกลื่อนออกไป พูดเปลี่ยนเรื่อง แล้วออกคำสั่งว่า “ยกเก้าอี้มาให้เสด็จอา”
ขันทีก็ลากเก้าอี้มา วางไว้ตรงด้านหลังท่านอ๋องฉี
ท่านอ๋องฉีนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ แล้วมองจ้องไปที่หวงฝู่ซวิ่น
“เสด็จอามองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
“เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็ผ่านมาหลายปีแล้วที่ท่านได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ กระหม่อมแก่แล้ว ตอนนี้ยังพอมีเวลา จึงแวะมาดูฝ่าบาทเสียหน่อย… …” คำพูดของเขายังไม่ทันจบ หวงฝู่ซวิ่นก็สันหลังเย็นวาบ เหงื่อไหลเต็มไปหมด
“เสด็จอา ท่านมีเรื่องอะไรก็กล่าวมาตรงๆ เถอะ ไม่ว่าเรื่องใดหลานจะตอบรับท่านทุกเรื่อง” หวงฝู่ซวิ่นพูดตะกุกตะกัก ถึงขั้นลืมสรรพนามที่ใช้แทนตนเองไปเลยทีเดียว
“ฝ่าบาทเข้าใจกระหม่อมผิดแล้ว กระหม่อมไม่ได้มีเรื่องมาขอร้องท่านเลย เพียงแค่อยากพบท่านก็เท่านั้น กระหม่อมจะนั่งเงียบๆ มองท่านแบบนี้ก็พอแล้ว” ท่านอ๋องฉีพูดด้วยสีหน้าจริงใจ ไม่มีท่าทีผิดแปลกเลยสักนิด
ไม่ทำอะไรทั้งนั้น นั่งมองจ้องเขาอย่างเดียว แค่คิดภาพ หวงฝู่ซวิ่นก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว เลยเริ่มนั่งไม่ติด ค่อยๆ ลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าท่านอ๋องฉี แล้วทำท่าทีปกติ พูดเอาใจว่า “เสด็จอาขอรับ หรือว่าหลานทำผิดอะไรไปหรือไม่ ท่านพูดออกมาตรงๆ เลยเถิด หลานจะแก้ไขแน่นอนขอรับ”
ท่านอ๋องฉีก็รีบลุกขึ้นทันที “ฝ่าบาท ท่านอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลย ท่านเป็นถึงฮ่องเต้ จะไปทำผิดอะไรตอนไหนกัน ที่ผิดเป็นกระหม่อมเอง ไม่สิ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น กระหม่อมเพียงนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอฝ่าบาทนานแล้ว เลยอยากเข้ามาดูฝ่าบาทให้เป็นบุญตา ถ้าหากท่านเห็นว่ากระหม่อมทำการไม่เหมาะสม ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมทูลลา แล้วจะไม่เข้าวังมาเจอหน้าฝ่าบาทอีก”
ท่านอ๋องฉีแค่คิดถึงตน เลยมาหาที่ห้องทรงพระอักษร ทั้งยังไม่รบกวนเขาอ่านฎีกาอีก เอาแต่นั่งมองเขาเงียบๆ แล้วถ้าตนไม่อนุญาต ไล่เขาออกไปล่ะก็ แบบนี้หากข่าวแพร่ออกไป ไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านจะมีข้อคิดเห็นอย่างไร แค่เสด็จย่ากับเสด็จพ่อ ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว โดยเฉพาะเสด็จย่า ที่อายุมากขึ้นทุกวัน นางเองก็เริ่มเลอะเลือน แค่เรื่องปกติธรรมดานางก็พูดได้สองสามชั่วยาม แล้วถ้าหากว่าเรื่องนี้เข้าถึงหูวัยทองอย่างนางล่ะก็ คงพูดไปสามวันเจ็ดวัน อย่างไรเสียท่านอ๋องฉีก็เป็นลูกชายของนาง ส่วนตนนั้นเป็นแค่หลาน
หวงฝู่ซวิ่นลำบากใจเหลือเกิน รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่พูดเช่นนั้นกับเยียลี่ว์อาเป่าไปเพื่อความสนุกชั่วครั้งคราวเท่านั้น ทำให้ตนเองต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้
เห็นเขาไม่พูดอะไร ท่านอ๋องฉีเลยกล่าวโทษตนเองว่า “ดูเหมือนว่ากระหม่อมจะรบกวนฝ่าบาทจริงๆ สินะ เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ๆ ไม่เลย” หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกโดนแทงกลางอก แต่ก็ยังยิ้มแล้วพูดว่า “เสด็จอาไม่ได้รบกวนหลานเลย ท่านนั่งตรงนั้นไปเถิดขอรับ นั่งไปเถอะ”
“กระหม่อมไม่ได้รบกวนฝ่าบาทจริงๆ งั้นหรือ” ท่านอ๋องฉีถามด้วยท่าทางไม่เชื่อ แล้วยังทำทีจะเดินออกไปอีกด้วย
“ไม่เลยขอรับ ไม่เลย เสด็จอาเชิญนั่งเถิด” หวงฝู่ซวิ่นรีบแก้ต่างทันที แล้วยังยื่นมือออกมาเชื้อเชิญอีกด้วย
“ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมก็ไม่เกรงใจแล้ว” ท่านอ๋องฉีพูด แล้วนั่งลง
หวงฝู่ซวิ่นได้แต่ฝืนยิ้มออกมา “เสด็จอานั่งลงเถิด หลานยังมีฎีกาที่จะต้องตรวจอีกมากมาย”
พูดจบ ก็ออกคำสั่ง “ยกน้ำชาให้เสด็จอาด้วย”
ตอนที่พูดประโยคนี้ ก็จงใจพูดคำว่า ‘ยกน้ำชา’ ออกมาเน้นๆ หนักๆ เพื่อให้ขันทีผู้ดูแลทั้งหลายเข้าใจว่า เอามาเยอะๆ เอาชาที่ดีที่สุด มาให้ท่านอ๋องฉีได้ดื่ม ให้ดื่มจนอยากเข้าห้องน้ำ จะได้ไปๆ เสียที นี่เป็นวิธีที่เขาคิดได้ตอนที่เข้าตาจนเมื่อสักครู่
แต่วันนี้ขันทีทั้งหลายอยู่ดีๆ ก็โง่ขึ้นมาเสียงอย่างนั้น ไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ หลังจากที่ตอบรับแล้ว ก็ยกน้ำชาถ้วยเล็กๆ ออกมาให้กับท่านอ๋องฉี
หวงฝู่ซวิ่นแทบอยากจะโบยเขาสักแปดสิบที แต่ละคนปกติฉลาดนักไม่ใช่หรือไง แล้วเหตุใดวันนี้ถึงได้โง่เช่นนี้ล่ะ
ถึงใจจะคิดได้เช่นนี้ แต่อยู่ต่อหน้าท่านอ๋องฉีแล้วไม่กล้าทำอะไร เพราะทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว เลยจำใจต้องเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสือของตนแล้วตรวจฎีกาต่อไป
แต่ว่า สายตาที่ท่านอ๋องฉีจ้องมองไปที่เขานั้น แม้ว่าจะมีความสำราญเบิกบานใจอยู่ แต่หวงฝู่ซวิ่นรู้ว่ามันไม่เป็นเช่นนั้น แล้วจะให้ตรวจฎีกาต่อไปได้เยี่ยงไรเล่า
นั่งทรมานอยู่ได้หนึ่งชั่วยามกว่าๆ เล่มฎีกาเล่มแรกที่ถืออยู่อย่างไร ตอนนี้ก็ยังถืออยู่อย่างนั้น หวงฝู่ซวิ่นทำใจตรวจไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นอย่าได้พูดถึงว่าจะแก้ปัญหาในฎีกานี้ได้อย่างไรเลย
“ฝ่าบาท ถึงเวลาเสวยอาหารกลางวันแล้ว” เสียงของหัวหน้าขันทีผู้ดูแลดังขึ้นเหมือนเสียงสวรรค์
หวงฝู่ซวิ่นเลยแอบถอนหายใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น แล้ว “อืม” เบาๆ แล้ววางเล่มฎีกาที่มือลงอย่างช้าๆ พูดด้วยความดีใจว่า “เสด็จอาขอรับ ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้วขอรับ ไปทานข้าวกับหลานเถิดขอรับ”
“อ่อ ดี” ดูเหมือนท่านอ๋องฉีจะยังดูไม่พอ เลยตอบรับอย่างไม่ลังเล
แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับชะงักไป กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกกันเลยทีเดียว แล้วยืนขึ้น น้ำเสียงดีใจเมื่อครู่ได้หายไป กลายเป็นความปวดหัวและกัดฟันพูดขึ้นว่า “ขอเชิญเสด็จอาขอรับ!”
ท่านอ๋องฉีก็ไม่ได้เกรงใจ ลุกเดินมาที่ห้องอาหาร
อาหารเลิศรส แต่หวงฝู่ซวิ่นกลับไม่ได้รู้สึกอยากกินเลยสักนิด เพราะแม้ว่าท่านอ๋องฉีจะนั่งอยู่อีกทางหนึ่ง แต่ก็ไม่กินอะไรทั้งสิ้น ยังคงมองจ้องหวงฝู่ซวิ่นไม่หยุด ราวกับว่าจ้องเขาทั้งชีวิตนี้ก็จ้องไม่พอ
หวงฝู่ซวิ่นเองก็ทนไม่ไหว ข้าวยังกินไม่ทันหมด ก็วางชามกับตะเกียบลง โบกมือให้ผู้ดูแลทั้งหมดออกไป ยืนขึ้น แล้วยอมรับผิดกับท่านอ๋องฉีอย่างน่าสงสาร “เสด็จอาขอรับ หลานผิดไปแล้ว ท่านปล่อยข้าไปเถิด”
เห็นเขาพูดเช่นนี้ ท่านอ๋องฉีก็ไม่จำเป็นที่ต้องแสร้งทำเป็นอีกต่อไป ปล่อยตัวตามสบาย กลับมาเป็นท่านอ๋องฉีคนเดิม แล้วบอกว่า “ฝ่าบาทผิดตรงไหนหรือ”
ประโยคนี้ของเขา ทำให้หวงฝู่ซวิ่นโล่งใจเป็นอย่างมาก รีบตอบกลับทันทีว่า “หลานไม่ควรยุยงให้เยียลี่ว์นั่นไปสู่ขอแต่งงานขอรับ”
“แค่เพียงฝ่าบาทต้องการ ข้ากับซื่อจื่อจะทำเพื่อท่านโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่ความตาย แต่เมิ่งเอ๋อร์กับเย่ว์เอ๋อร์เป็นแก้วตาดวงใจของข้า ถ้าหากว่าท่านต้องการใช้พวกนางเป็นเครื่องมือเพื่อการใหญ่ของท่าน ข้าไม่อนุญาต และพวกเราจวนอ๋องฉีก็ไม่อนุญาตเช่นเดียวกัน”
ฟังเขาพูดจบ หวงฝู่ซวิ่นตกใจเป็นอย่างมาก รีบอธิบายโดยทันที “เสด็จอา หลานไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยนะขอรับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ตอนนี้กองกำลังรัฐอู่ของพวกเรานั้นแข็งแกร่งนัก ไม่ต้องใช้วิธีผูกมิตรด้วยการสมรสก็มั่นคงได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลานสาวสองคนนี้ข้าก็เห็นมาแต่อ้อนแต่ออด ต่อให้พวกท่านจะยอมให้พวกนางแต่งออกไปแดนไกล ข้าเองนี่แหละที่จะไม่ยอมให้พวกนางแต่งออกไปเด็ดขาด”
“ที่ท่านพูดเป็นความจริงอย่างนั้นหรือ”
“แน่นอนขอรับ ข้าเป็นถึงฮ่องเต้ พูดคำไหนคำนั้น ไม่ตระบัดสัตย์ต่อเสด็จอาอย่างแน่นอนขอรับ”
“ดี กระหม่อมจะจำคำพูดของฝ่าบาทเอาไว้ และหวังว่าต่อจากนี้จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“แน่นอนขอรับ” หวงฝู่ซวิ่นตอบรับอย่างเต็มปาก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งเดียวก็เกินพอ ถ้ามีครั้งที่สอง เกรงว่าเจ้าหวงฝู่อี้เซวียนคนใจดำนั่นคงเอาชีวิตตนถึงที่แน่
ได้ยินเช่นนี้ท่านอ๋องฉีพอใจเป็นอย่างมาก แล้วมองหวงฝู่อี้ซวิ่นอีกครั้งหนึ่ง ลุกขึ้น แล้วพูดทิ้งท้ายว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็เสวยต่ออย่างสบายใจเถิด กระหม่อมทูลลา” หลังจากนั้น ก็เดินออกไป
มองเขาเดินออกไป แล้วมองกลับมาที่อาหารเลิศรสบนโต๊ะที่ไม่ได้แตะเลยสักคำ นี่เป็นครั้งแรกที่หวงฝู่ซวิ่นรู้สึกว่าตนเป็นฮ่องเต้ที่ปอดแหกที่สุด ขนาดเสด็จอายังกลัวเพียงนี้ แต่เรื่องน่าแปลกก็คือ เขาไม่มีความโกรธเลยสักนิด แต่กลับรู้สึกว่า แท้จริงแล้วตนอยากให้เป็นเช่นนี้ มีความผูกพันซึ่งกันและกัน ไม่เหมือนกับเสด็จพ่อ ที่เป็นฮ่องเต้ผู้โดดเดี่ยวมาทั้งชีวิต พอสุดท้าย สายสัมพันธ์พี่น้องก็แทบไม่เหลืออะไรเลย
พอท่านอ๋องฉีเข้าวังมา เหล่าไทเฮา[1]กับฮ่องเต้องค์ก่อนก็รู้ทันที แต่คิดว่าเขาคงมีเรื่องสำคัญมาปรึกษาหวงฝู่ซวิ่น เลยก็ไม่ได้ถามอะไรมาก แต่เวลาก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้ว เขาก็ยังไปเสวยอาหารกลางวันกับหวงฝู่ซวิ่นอีก นี่มันไม่ปกติ ดังนั้น ทั้งสองคนเลยส่งคนของตนไปสืบ พอท่านอ๋องฉีเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษร ขันทีผู้ดูแลตำหนักเหล่าไทเฮาก็รีบเข้ามาทำความเคารพทันที “ท่านอ๋อง เหล่าไทเฮาได้ยินว่าท่านเข้าวังมา เลยอยากให้ท่านไปหานางเสียหน่อยขอรับ”
แม่ของตนเอง อีกทั้งอายุก็มากแล้ว ท่านอ๋องฉีกลับไม่ค่อยได้มาหานางในวังเสียเท่าไร เมื่อได้ยินขันทีผู้ดูแลพูดดังนั้น เลยรีบไปที่ตำหนักเหล่าไทเฮาทันที
เหล่าไทเฮาตอนนี้ก็อายุเจ็ดสิบปีแล้ว เรื่องต่างๆ ในวังก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว หน้าที่รับผิดชอบทั้งหมดถูกส่งต่อให้กับไทเฮาองค์ปัจจุบันจัดการ ส่วนตนก็อยู่แต่ในตำหนักของตนเอง ใช้ชีวิตที่เหลือไปวันๆ แต่วันนี้จวนอ๋องฉีเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ หลังจากกูกูผู้ดูแลได้ยินเรื่องราวดังกล่าว ก็อดไม่ได้ที่จะมาบอกนาง เหล่าไทเฮากระวนกระวายใจยิ่งนัก กลัวว่าลูกคนรองของตนจะโกรธจนทำเรื่องผิดๆ เลยสั่งให้คนไปห้ามเขาเอาไว้
เมื่อท่านอ๋องฉีเดินเข้ามา ก็คารวะ “ขอคารวะเสด็จแม่!”
“นั่งเถอะ”
“ขอบพระคุณขอรับเสด็จแม่”
หลังจากขอบคุณเสร็จแล้ว ท่านอ๋องฉ็นั่งลงอย่างเรียบร้อย
“เรื่องวันนี้ข้าได้ยินหมดแล้วล่ะ ในเมื่อเจ้าไม่ยินยอมให้เมิ่งเอ๋อร์แต่งงาน ก็ปัดๆ ไปให้สิ้นเรื่อง อย่าเอาเรื่องนี้มาบาดหมางกับฮ่องเต้เลย” เหล่าไทเฮาไม่ได้พูดอ้อมค้อม พูดโน้มน้าวโดยทันที
[1] เหล่าไทเฮา คือ ไทเฮาของฮ่องเต้องค์ก่อน หรือ เสด็จย่าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน