ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 68 มาเพิ่มอีกหนึ่งคน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ท่านอ๋องฉีตอบรับ แล้วพูดว่า “เสด็จแม่ ลูกเพียงแค่เอาเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนวันนี้มารายงานให้ฮ่องเต้ฟังอย่างละเอียดเท่านั้น ไม่ได้ทำอันใดเลย ขอเสด็จแม่โปรดวางพระทัย” 

 

 

เหล่าไทเฮาลอบถอนหายใจ ลูกของนาง นางเลี้ยงมากับมือ รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีอะไรก็พูดตรงๆ ไม่เคยปากไม่ตรงกับใจ แต่ไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ไปได้จากใครมา ทำเสแสร้งแกล้งทำเป็นกับเขาแล้ว ขนาดกับแม่เช่นนางเขายังทำได้ลงคอ 

 

 

เสียงถอนหายใจเบาๆ ของเหล่าไทเฮา ท่านอ๋องฉีทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วพูดเปลี่ยนเรื่องโดยทันที แล้วสนทนากับนางไปได้พักหนึ่ง 

 

 

หลังจากเสวยอาหารกลางวันเสร็จ เหล่าไทเฮาเคยชินกับการบรรทมกลางวัน หลังจากที่พูดคุยกันได้พักหนึ่ง ก็ง่วงเสียแล้ว สติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่านอ๋องฉีเห็นดังนั้น จึงยืนขึ้น แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “เสด็จแม่ ลูกยังมีเรื่องในจวนที่จะต้องจัดการ ขอตัวลากลับจวนก่อน แล้วเดี๋ยวไว้วันหลังจะพาพระชายากับเด็กๆ มาหาท่าน” 

 

 

เหล่าไทเฮาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ปิดปากหาวไปแล้วหลายครั้ง จึงโบกมือ “ไปเถอะ กลับไปบอกยัยหนูสองคนนั้น บอกให้พวกนางเข้าวังมาพบข้าบ่อยๆ หน่อย” 

 

 

พอเดินออกมาจากตำหนักเหล่าไทเฮา ท่านอ๋องฉีก็ออกจากวังตรงกลับจวนโดยทันที  

 

 

หน้าประตูจวนเก็บกวาดเรียบร้อย ไม่เห็นร่องรอยแม้แต่นิดเดียว ประตูจวนก็เปิดออกแล้ว นายประตูผู้ขี้เกียจก็ยืนกอดอกพิงรับแสงแดดอยู่ที่โต๊ะข้างประตู  

 

 

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้า เห็นท่านอ๋องฉีกลับมา ก็รีบยืนตัวตรงต้อนรับโดยทันที 

 

 

ท่านอ๋องฉีลงจากม้า ยื่นเชือกผูกม้าให้กับเขา แล้วเดินตรงเข้าไปในจวนทันที 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์อยู่ในเรือนตลอด ไม่ได้ออกไปไหน ที่จวนเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทั้งสองคนได้ยินเข้า หวงฝู่เย่าเย่ว์ผู้อยากรู้อยากเห็น ก็อยากจะออกมาดู แต่โดนหวงฝู่สือเมิ่งห้ามเอาไว้ “ท่านแม่สั่งเอาไว้ว่า ให้พวกเราอยู่แต่ในเรือน อย่าออกไปไหน ถ้าหากว่าเจ้ายังดื้อดึงจะออกไปล่ะก็ ท่านแม่จะโกรธเอาได้นะ” 

 

 

ความอยากออกไปของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ลดลงทันที ทำหน้ามุ่ยแล้วเดินไปนั่งข้างๆ หวงฝู่สือเมิ่ง ซบไหล่ของนาง “พี่ใหญ่ ท่านว่ามาสิ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ มันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

“ไม่ว่าเรื่องใด ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา เจ้าควรอยู่ที่นี่เฉยๆ ดีกว่านะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เบะปาก ถอนหายใจออกมากเบาๆ ว่า “อยู่แต่ในเรือนทุกวันแบบนี้น่าเบื่อจะตาย วันพรุ่งพวกเราไปหาท่านยายที่นอกเมืองดีไหม ไม่ได้เจอกันหลายวัน นางจะต้องคิดถึงพวกเราแน่นอน” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน ไว้ตอนเย็นพวกเราไปบอกท่านพ่อท่านแม่นะ ว่าวันพรุ่งจะพารุ่ยเอ๋อร์ไปบ้านท่านยาย” 

 

 

ในขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งคุยกัน ก็มีแม่บ้านคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องกับไท่จื่อแห่งรัฐหมิงต่อสู้แล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็ลุกโหยงขึ้นมา ลุกลี้ลุกลน สีหน้าดีใจอยากจะเดินออกไป 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งดึงนางเอาไว้ แล้วถามแม่บ้านเพื่อความแน่ใจอีกทีว่า “เจ้าว่าท่านปู่ตีกับใครนะ” 

 

 

“ไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ที่ชื่อว่าเยียลี่ว์อาเป่าเจ้าค่ะ วันนี้เขานำของขวัญมา และนำคนมาสู่ขอ ทำให้ท่านอ๋องโกรธ เลยลากเขาเข้ามาในจวน สั่งสอนไปหนึ่งยกเจ้าค่ะ” กำลังหอบ แต่เสียงของแม่บ้านมีความชอบใจแบบบอกไม่ถูก 

 

 

โตมาด้วยกัน ก็ย่อมรู้ใจกันเป็นธรรมดา คาดว่านางคงไม่ได้ออกไปดูเฉยๆ แน่ คงไปช่วยท่านอ๋องตีเขาอย่างแน่นอน แบบนี้ไม่ได้สิ อย่างไรเสียเยียลี่ว์อาเป่าก็เป็นถึงไท่จื่อแห่งรัฐหมิง ท่านปู่ลงมือได้ แต่ถ้าเย่ว์เอ๋อร์ลงมือก็เท่ากับดูหมิ่นเขา คิดได้ดังนั้น ก็ทำหน้าดุ พูดว่า “เย่ว์เอ๋อร์ อย่าวุ่นวาย อยู่ในเรือนนี้ดีๆ” 

 

 

จะขอร้องก็ไม่มีประโยชน์ แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ไม่กล้าออกไป ทำได้แต่ยืนเขย่งอยู่ตรงประตู ยืดคอยาวมองออกไปด้านนอก แต่ว่านางตัวเล็กเกินไป เลยมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น  

 

 

แล้วเรื่องราวก็จบลง ท่านอ๋องฉีเข้าวังไป หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาที่เรือนของตนเอง หวงฝู่สือเมิ่งเลยยอมปล่อยนางออกไป 

 

 

หวงฝูเย่าเย่ว์ถือชายกระโปง วิ่งเหยาะๆ มาที่เรือนของทั้งสองคน พอเข้าไปก็เอ่ยปากถามโดยทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เจ้าคะ” 

 

 

พูดจบ ตัวนางก็พุ่งเข้าไปด้านในห้องอย่างรวดเร็ว  

 

 

“เจ้าลูกคนนี้หนิ นิสัยอยากรู้อยากเห็นของเจ้าเนี่ย ไม่รู้ได้จากใครมา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพูด  

 

 

“ท่านแม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ” เมื่อไม่ได้คำตอบ หวงฝู่เย่าเย่ว์จึงร้อนรนถามอีกครั้ง 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็เดินตามมา พอหวงฝู่เย่าเย่ว์ถามเสร็จ นางก็เปิดม่านประตูเดินเข้ามาพอดี แล้วเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่” แล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นหน้าสงสัยของลูกสาวทั้งสอง ก็ยิ้มแล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง 

 

 

หลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์ฟังจบ ก็ปิดปากขำเบาๆ แล้วพูดออกมาว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ สมองของไท่จื่อแห่งรัฐหมิงโดนประตูหนีบหรือยังไง ขนาดทักทายยังพูดไม่เป็น แล้วยังจะกล้ามาสู่ขอแต่งงานถึงที่นี่เนี่ยนะ เช่นนั้นก็ไม่แปลกหรอกที่โดนท่านปู่เล่นงานจนน่วม” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหน้าแดง นั่งก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร  

 

 

วันต่อมา เยียลี่ว์อาเป่าที่หน้าช้ำไปแถบหนึ่งก็บอกลาหวงฝู่ซวิ่น บอกว่าตนและพวกจะรีบกลับรัฐของตนโดยทันที  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นมองจ้องไปที่หน้าอันบอบช้ำของเขา ก็คิดในใจว่าจะใช้เวลากี่วันถึงจะหายดี อย่ารอให้ถึงรัฐของเขาก่อน แล้วรอยช้ำยังไม่หาย พอถึงเวลานั้นสองรัฐผิดใจกันมันจะไปกันใหญ่  

 

 

ยิ่งมองก็ยิ่งนึกภาพตอนที่ท่านอ๋องฉีต่อยเขา คงจะหนักน่าดู ที่ทำเพราะคงอยากให้เยียลี่ว์อาเป่าจำไปตลอดชีวิต ว่าต่อจากนี้อย่ามาสู่ขอหลานสาวเขาอีก ดังนั้น ช่วงนี้อย่าเพิ่งเจอกันเลยดีกว่า ริมฝีปากแสยะยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ไท่จื่อเยียลี่ว์ รอประเดี๋ยว ข้ามีของสำคัญจะมอบให้กับท่าน” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไป แล้วขอบพระคุณ  

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกระซิบบอกหัวหน้าขันทีผู้ดูแลเบาๆ หัวหน้าขันทีผู้ดูแลตอบรับเสร็จ ก็รีบเดินออกไป ขึ้นหลังม้า มาที่จวนอ๋องฉีเพื่อขอพบเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยตนเอง บอกว่าฮ่องเต้ต้องการยารักษาอาการฟกช้ำให้กับไท่จื่อแห่งรัฐหมิง 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวได้ฟัง ก็เข้าใจ จึงรีบหยิบยาส่งให้เขาหนึ่งขวดทันที 

 

 

หัวหน้าขันทีผู้ดูแลก็เก็บเอาไว้ในอก แล้วมุ่งหน้ากลับวังอย่างรวดเร็ว นำมาถวายให้กับหวงฝู่ซวิ่น  

 

 

“ไท่จื่อเยียลี่ว์ นี่เป็นยารักษาอาการฟกช้ำที่ซื่อจื่อเฟยทำด้วยตนเอง ท่านนำกลับไปทาวันละสองครั้ง ไม่เกินสามวัน ใบหน้าของท่านก็จะกลับมาปกติ” หวงฝู่ซวิ่นชี้ไปก็พูดไป 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าเข้าใจในความหมายของเขาโดยทันที จึงน้อมรับไว้ ขอบคุณแล้วเดินทางกลับรัฐหมิง แต่ว่าขณะที่กำลังจะออกจากประตูเมือง เขาเปิดม่านรถม้าออก เม้มปาก มองไปที่ทิศทางของจวนอ๋องตั้งอยู่นานสองนาน  

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น รู้แต่ว่าเยียลี่ว์อาเป่าไปแล้ว ทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นที่สุด อารมณ์ดีเสียจนยิ้มหน้าบานไปทั้งวัน  

 

 

แต่น่าเสียดาย ที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาอยู่ได้ไม่ทันไร เพราะว่ามีพวกไม่มีสมองมาขอท้าตีท้าต่อยถึงที่จวนอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ อีกทั้งยังมากันไม่ขาดสาย  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าไปได้สองวัน เมิ่งเชี่ยนโยวเกรงว่าที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ยังคงพูดถึงเรื่องนี้อยู่ เลยไม่ได้ให้เด็กๆ ไปกั๋วจื่อเจี้ยน ให้พวกเขาฝึกซ้อมวิทยายุทธ์อยู่บ้านวันละสองชั่วยาม จากนั้นก็สอนพวกเขาจำแนกยา จ่ายยา และปรุงยา 

 

 

นายประตูเข้ามารายงาน “ซื่อจื่อเฟยขอรับ เถ้าแก่เหวินแห่งร้านยาเต๋อเหรินขอเข้าพบขอรับ” 

 

 

เวลาผ่านไปสิบปีแล้ว ตั้งแต่มีป้ายพระราชทาน ร้านยาเต๋อเหรินก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เหวินซื่อก็ยุ่งๆ อยู่ตลอด อยู่เมืองเดียวกัน ถ้าหากว่าไม่ได้มีเรื่องสำคัญ ก็คงไม่เห็นแม้เงาของเขาหรอก นี่ไม่ใช่ตรุษจีนหรือเทศกาลอะไร กลับมาหาถึงที่ เมิ่งเชี่ยนโยวแปลกใจนัก เลยออกคำสั่ง “ เชิญเขาไปที่ห้องรับแขก ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

นายประตูออกไป แล้วพาเหวินซื่อมาที่ห้องรับแขก  

 

 

วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้เข้าวัง ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดดังนั้น ก็ยืนขึ้น “เดี๋ยวข้าไปเอง ดูว่าเขามีเรื่องอะไร” 

 

 

หลายปีมานี้ ร้านยาเต๋อเหรินเติบโตขึ้นมาก ได้เงินมาไม่รู้เท่าไร หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ส่วนแบ่งจากร้านนี้มาไม่น้อย หวงฝู่อี้เซวียนคิดว่าวันนี้เหวินซื่อคงจะมาหายาสูตรใหม่ เลยพูดออกมาเช่นนี้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน” 

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนมาที่ห้องรับแขก เหวินซื่อก็นั่งรออยู่ด้านในแล้ว 

 

 

เห็นเขาเดินเข้ามา ก็ไม่รอช้า เหวินซื่อก็รีบถามว่า “เมื่อคืนข้ากลับมาเมืองหลวง ได้ยินข่าวว่าไท่จื่อแห่งรัฐหมิงคนนั้นมาสู่ขอ จริงๆ ก็อยากจะมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่โดนเหวินเอ๋อร์ห้ามเอาไว้เสียก่อน เลยมาเอาตอนนี้” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกว่าประโยคนี้มันแปลกๆ คิ้วขมวดเล็กน้อยถามว่า “เจ้ามาเพื่อการนี้โดยเฉพาะหรือ” 

 

 

“แน่นอนว่าไม่ ข้าจะมาบอกพวกเจ้า รัฐหมิงช่างอยู่ห่างไกลนัก พวกเจ้าอย่าบุ่มบ่ามยกเมิ่งเอ๋อร์ให้กับเขาเชียวล่ะ” 

 

 

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เมิ่งเอ๋อร์ยังเล็ก พวกเรายังไม่พูดเรื่องนี้กับนางหรอก” 

 

 

เหวินซื่อลูบเคราของตน แล้วพูดว่า “จะว่าไปท่านหญิงทั้งสองก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ปีหน้าก็สิบสามแล้วไม่ใช่หรือ ถึงเวลาแต่งงานได้แล้วล่ะ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองเขา อารมณ์ก็เริ่มเปลี่ยน “เจ้ามีอะไรก็ว่ามาตามตรงเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” 

 

 

ถูกมองออกจนได้ เหวินซื่อยิ้มแห้งๆ ยื่นหน้าออกไป พูดออกมาอย่างไม่อายว่า “ข้าจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ พวกเรามาดองกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิมเถอะ” 

 

 

และแล้วก็เป็นไปตามคาด หวงฝู่อี้เซวียนโมโหขึ้นมาทันที กำหมัดแน่นเลยทีเดียว  

 

 

เหวินซื่อไม่รอช้า พูดต่อว่า “จริงๆ แล้วข้าก็ไม่รีบหรอก ลูกยังเล็ก รออีกสองปีก็ยังไม่สาย แต่เรื่องไท่จื่อแห่งรัฐหมิงนั่นข้าเพิ่งรู้ เลยรอไม่ไหว ถ้ารอต่อไปลูกสะใภ้ข้าคงไปไกลแล้ว ดังนั้น วันนี้ที่ข้ามาเพื่อมาสู่ขอ ไม่ว่าคนไหน ขอแค่เจ้าตอบรับให้ลูกชายข้าสักคนหนึ่งก็พอใจแล้ว หลายปีมานี้ เจ้าก็เห็นเขามาแต่เด็ก นิสัยใจคอเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้อยู่ เป็นตัวเลือกที่ดีให้เจ้าได้อย่างแน่นอน”