ตอนที่ 1410 ระเบิด (1) โดย Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน กู๊ดเองก็ได้รับแจ้งวิทยุจากหัวหน้ากลุ่มสอง “นี่คือแมนเฟล รุ่นพี่กู๊ด เดี๋ยวข้าะออกไปจากชั้นเมฆ ข้าอยากจะให้ท่านช่วยข้าหน่อย!”
“ออกไปจากชั้นเมฆ เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ? ที่นี่มันฐานใหญ่ของศัตรูนะ!” ยังไม่ทันที่กู๊ดจะตอบออกมา ในวิทยุพลันมีเสียคำรามของฟินกิ้นดังขึ้นมา “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ด้านบนทะเลหมอกแดงมีบาเรียเวทมนตร์คอยป้องกันอยู่ แล้วเจ้าจะทำอะไรได้? เด็กใหม่ บนสนามรบมันไม่ใช่ที่ๆ จะให้เจ้ามาเล่นสนุกนะ!”
เนื่องจากเป็นเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่นใหม่ที่ล้ำหน้าที่สุด บนฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจึงมีการติดตั้งวิทยุเอาไว้ทุกลำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เครื่องบินทั้งสิบลำกล้าบินทะลุชั้นเมฆโดยไม่มีทิลลีคอยนำหน้า
กู๊ดไม่ได้ปฏิเสธไปตรงๆ เมื่อเทียบกับความอาวุโสในฐานะรุ่นพี่ที่เข้าโรงเรียนมาก่อนแล้ว เขารู้สึกสงสัยในความคิดของอีกฝ่ายมากกว่า “ข้าได้ยินที่เจ้าขอแล้วแมนเฟล แต่ว่าต่อให้มองเห็นเป้าหมาย เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าไม่มีท่านซิลเวียคอยระบุตำแหน่งให้ ความเป็นไปได้ที่จะยิงถูกมันก็น้อยอย่างมาก”
เขาคอยสังเกตดูนักเรียนอัจฉริยะคนนี้ตั้งแต่ตอนฝึกซ้อมแล้ว —- เขาได้ยินมาว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัศวินตกอับ ที่เขามาที่เกรย์คาสเซิลก็เป็นเพราะไม่สามารถหาความก้าวหน้าในวูล์ฟฮาร์ทได้ อัศวินอากาศหลายๆ คนที่เมื่อก่อนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดามักจะแสดงความเป็นรุ่นพี่ต่อหน้าเขาอยู่บ่อยๆ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ในอดีตพวกเขาถูกขุนนางกดขี่
บอกตามตรง กู๊ดเองก็รู้สึกไม่ดีต่ออัศวินของวูล์ฟฮาร์ทเหมือนกัน พวกเขาอวดดี ชอบกดขี่และทำเหมือนว่าไม่มีใครเอาชนะพวกเขาได้ แต่เวลาที่เจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งจริงๆ พวกเขากลับวิ่งหนีเร็วกว่าใครๆ — ในตอนที่ศานจักรบุกโจมตีวูล์ฟฮาร์ท กู๊ดได้เห็นพฤติกรรมที่น่าเกลียดเหล่านี้ด้วยตาตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน
แต่อัศวินที่เสนอตัวออกไปรบเหมือนอย่างแมนเฟลนี้ กู๊ดเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจอวดตัวเองต่อหน้าเจ้าหญิงทิลลีหรือว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ
“รุ่นพี่ ท่านยังจำที่พวกเราใช้ตัวเครื่องบินมาควบคุมวิถีกระสุนตอนที่กราดยิงได้ไหม?” แมนเฟลตอบ “ ข้าคิดว่ามันน่าจะใช้กับระเบิดได้เหมือนกัน!”
พอพูดจบ เสียงหวึ่งๆ จากทางนั้นพลันเบาลง เหมือนกับบริเวณรอบๆ ปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม
“เจ้านั้นมันบินออกจากชั้นเมฆไปแล้ว!” ฟินกิ้นบ่นงึมงำ “พวกเราเอาไงดี?”
ใช้ตัวเครื่องมาควบคุมการโยนระเบิดงั้นเหรอ….กู๊ดเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายทันที เขากระแอมเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “จะทิ้งกลุ่งสองไม่สนใจก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ องค์หญิงทิลลีทรงจับตาดูอยู่นะ!”
“…ฮ่าๆๆๆ พูดถูก!” ฟินกิ้นชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เกรงกลัว “ปกป้องเพื่อนร่วมทีมคือเรื่องที่ข้าถนัดที่สุด พวกเจ้าลุยไปเลย เดี๋ยวข้าจัดการพวกอสูรสยองกลุ่มนั้นเอง ยะฮู้ววว…!”
เข้าใจง่ายจริงๆ
กู๊ดถอนใจ ก่อนจะดันคันบังคับไปด้านหน้า
ทั้งสองทีมพุ่งออกมาจากเมฆคนละตำแหน่งก่อนจะพุ่งลงไปด้านล่างสวนกับอสูรสยองที่บินขึ้นมา ทางสีขาวเล็กๆ สองเส้นวาดไปบนท้องฟ้า เมื่อเทียบกับอสูรสยองที่มีจำนวนมากกว่าแล้ว ถึงแม้ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นจะมีจำนวนน้อยกว่า แต่มันกลับพุ่งไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งได้
กลุ่มหนึ่งเลี้ยวเป็นเส้นโค้งพุ่งเข้ากับปะทะอสูรสยอง ส่วนกลุ่มที่สองบินตรงหน้าไปยังเสาหิน ในระยะนี้ถึงแม้จะไม่มีซิลเวียคอยชี้ตำแหน่ง แต่พวกเขาก็สามารถมองเห็นเป้าหมายได้ด้วยตาเปล่า
ถึงแม้ในระหว่างนั้นจะมีปีศาจส่วนหนึ่งที่พยายามเข้ามาหยุดฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นเอาไว้ แต่ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน อสูรสยองเพิ่งจะขึ้นมาบินในแนวราบ ก็ถูกเครื่องบินปีกสองชั้นสลัดทิ้งเอาไว้ด้านหลังแล้ว ขอเพียงไม่เข้าไปสู้กับพวกมัน ต่อให้ต้องแบกระเบิดหนัก 150 กิโลเมตรกรัมเอาไว้ ฟิวรี่ออฟเฮฟเว่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อสูรสยองจะไล่ตามทันได้
หลังปรับทิศทางหลายครั้ง แมนเฟลก็ทิ้งระเบิดลงไป
จากนั้นคนอื่นๆ ก็พากันทำตาม
ระเบิดที่หลุดออกจากตัวยึดยังคงลอยตามเส้นทางและความเร็วของเครื่องบิน ก่อนจะข้ามกำแพงสูงและหอคอยจำนวนมากแล้วพุ่งตกลงไปในพื้นที่ทะเลสาบหมอกแดง เมื่อเทียบกับการโยนลงมาจากบนที่สูงแล้ว จุดตกของระเบิด 5 ลูกนี้ค่อนข้างกระจุกอยู่ด้วยกัน นอกจากระเบิดลูกหนึ่งที่ถูกเสาหินกันเอาไว้แล้ว ระเบิด 4 ลูกที่เหลือล้วนแต่ระเบิดอยู่ตรงด้านบนทะเลสาบหมอกแดง
เสียงระเบิดที่ดังติดๆ กันทำให้เมืองทั้งเมืองเหมือนสั่นสะเทือนขึ้นมา ตรงด้านล่างเปลวเพลิงที่กำลังพวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า คลื่นแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมารัวๆ แต่มันก็ยังไม่อาจโจมตีลงไปถึงทะเลสาบหมอกแดงได้ แต่ทุกคนต่างสังเกตเห็นว่าแสงสีน้ำเงินที่สว่างขึ้นมามันไม่สว่างเหมือนอย่างในตอนแรกอีกแล้ว
“ทำดีมาก เด็กใหม่” ฟินกิ้นผิวปาก
กู๊ดหลังจากบินหมุนควงสลัดการไล่ตามของอสูรสยองได้แล้ว เขาก็หมุนปรับวิทยุไปที่ช่องรวม “ทูลองค์หญิงทิลลี กลุ่มหนึ่งและกลุ่มสองทำการทิ้งระเบิดเรียบร้อย ขออนุญาตบินกลับพ่ะย่ะค่ะ!”
“เข้าใจแล้ว บินกลับมาได้”
ฟินิกส์ยิงพลุสัญญาณสีแดงออกมาอย่างรวดเร็ว ฝูงบินที่กำลังพัวพันกับปีศาจเริ่มบินขึ้นที่สูง ก่อนจะอาศัยประโยชน์จากแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้าบินหายลับไปในท้องฟ้าสีน้ำเงิน
…..
เดอะแมสก์ส่งเสียงถอนใจออกมาอย่างพึงพอใจ
มนุษย์พวกนี้นับวันจะยิ่งเกินความคาดหมายของมันไปทุกที
แบ่งกำลังออกเป็นสองทาง กำลังหลักแกล้งโจมตีหลอก พอโจมตีเสร็จก็รีบถอย ไม่มีการชักช้าแม้แต่นิดเดียว….ตั้งแต่ที่กองกำลังป้องกันบินขึ้นไปสกัดจนกระทั่งการต่อสู้จบลงนั้นใช้เวลาไปแค่ 20 – 30 นาที แผนการรบที่คล่องแคล่วแบบนี้ทำให้สามารรีดเอาข้อดีของเครื่องจักรสงครามเหล่านี้ออกมาได้มากที่สุด
ไม่แปลกที่อุรูคจะรู้สึกหวาดกลัวมนุษย์ ดูเหมือนตอนนั้นตัวเองจะเข้าใจอีกฝ่ายผิดไป
แต่ต่อให้เป็นแม่ทัพอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ก็มองเห็นเพียงภัยคุกคามส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ว่ามองไม่เห็นแก่นที่แท้จริงของความลับ — แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว แม้แต่มนุษย์โง่เง่ายังสามารถขี่นกเหล็กบินไปมาบนฟ้าได้ อย่างนั้นถ้าเปลี่ยนเป็นเผ่าพันธุ์พวกเราเป็นคนขี่นกเหล็ก อย่างนั้นไม่ยิ่งน่าตกใจมากกว่าเหรอ? ถึงตอนนั้นอาณาจักรซีสกายก็ไม่ใช่ศัตรูที่รับมือได้ยากอีกต่อไป เผ่าพันธุ์จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน!
ถ้าตอนนั้นอุรูคใช้เหตุผลแบบนี้มากล่อมทุกคน ไม่แน่มันอาจจะยืนอยู่ข้างอีกฝ่ายก็ได้
น่าเสียดาย
“การสั่นสะเทือนเมื่อกี้มันอะไรกัน?” ประตูบนยอดหอคอยถูกเปิดออก ไซลเนท์ดิสแอสเตอร์ที่ร่างกายสวมเกราะค่อยๆ เดินออกมา “พระผู้สร้างถูกโจมตีเหรอ?”
“ถูกต้อง แต่ว่าเจ้ามาช้าไปหน่อย ก็เลยไม่ทันได้ดูการต่อสู้อันยอดเยี่ยม” นาสเพลเหลือบมองดูมัน “เจ้าแต่งตัวอย่างนี้คิดจะออกไปรบอย่างนั้นรึ? ข้าว่าเจ้าอย่าฝืนตัวเองจะดีกว่า”
“เจ้าไม่ต้องมายุ่ง” ไซเลนท์พูดเสียงต่ำ “ศัตรูอยู่ไหน?”
นาซเพลชี้ไปบนฟ้า “พวกมันน่าจะรู้ว่าความแตกต่างระหว่างนกเหล็กกับอสูรโบเกิลคือจุดที่ใช้บุกโจมตีได้ง่ายที่สุด น่าขันจริงๆ….ตอนสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่สอง เจ้าอสูรที่ไม่มีพลังเวทมนตร์พวกนี้มันเป็นหัวใจสำคัญในการค้าชัยชนะของพวกเราเลยนะ”
ไซเลนท์มองไปบนท้องฟ้าไม่พูดอะไร สีหน้ามันดูค่อนข้างแย่
“ไม่ต้องกังวล” นาซเพลเอาหน้ากากใส่กลับไปบนหน้าอีกครั้ง “เมื่อกี้จากที่สังเกตดู ข้าคิดวิธีที่จะรับมือออกแล้ว เมื่อเทียบกับอสูรโบเกิล วิถีการเคลื่อนไหวของพวกมันดูชัดเจนไปหน่อย เออใช่ ในเมื่อเจ้ากระหายที่จะต่อสู้ขนาดนี้ อย่างนั้นช่วยอะไรข้าหน่อยได้ไหม”
“…..”
“ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้น ข้าไม่ได้หัวเราะเยาะเจ้า” เดอะแมสก์กางมือเจ็ดแปดมือของมันออก “ก่อนหน้านี้มีนกเหล็กสองสามลำตกอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ถ้าแมลงที่อยู่บนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เจ้าก็จับมันกลับมา ข้าคิดว่าเรื่องแค่นี้เจ้าคงทำได้ไม่ยากใช่ไหม?”
“ต้องมีชีวิตงั้นเหรอ?” ไซเลนท์ถามเสียงเยือกเย็น
“ใช่สิ” นาซเพลหัวเราะอย่างได้ใจ “สมองที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงจะมีค่าแก่การปลูกถ่าย ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันเพิ่งจะผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมาด้วย ความทรงจำเกี่ยวกับการบินยังสดใหม่ เหมาะที่จะเป็นเครื่องมือในการพิสูจน์แผนการของข้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะรับเอาหัวของแมลงธรรมดามา ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีที่ได้รับเกียรติอันนั้นกันนะ?”
ไซเลนท์เบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเดินไปยังหอคอยแห่งการให้กำเนิด
นาซเพลหมุนตัวกลับอย่างไม่ใส่ใจ มันรู้ว่าต่อให้อีกฝ่ายไม่ชื่นชอบวิธีแบบนี้ แต่มันก็จะทำอย่างเต็มที่เพื่อเผ่าพันธุ์
เดอะแมสก์มองไปทางดินแดนของมนุษย์ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมาไปข้างหน้า —- เมื่อมองจากมุมนี้ มันใช้เพียงแค่มือเดียวก็สามารถกุมแผ่นดินทั้งผืนเอาไว้ในมือได้แล้ว อยากมากอีก 2 – 3 วัน พระผู้สร้างก็จะเข้าไปยังที่ราบสูงเฮอร์มีส ร่างซิมไบออนท์จำนวนนับหมื่นที่อยู่บนลาทดลองเตรียมพร้อมที่จะออกไปทำสงคราม มันจะทำให้จักรพรรดิเห็นว่าตัวมันเพียงตัวก็สามารถสู้กับกองทัพทั้งกองทัพได้ ไม่ว่าจะเป็นบลัดดี้คองเคอร์เรอร์หรือว่าไซเลนท์ดิสแอสเตอร์ก็ล้วนแต่เป็นเพียงไม้ประดับให้มันใช้เปรียบเทียบเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง อีกด้านหนึ่งพลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมา
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้แสงสว่างจะเล็กนิดเดียว แต่มันกลับสว่างเจิดจ้าอย่างมาก เหมือนกับพระอาทิตย์ที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเล แล้วเหมือนกันแสงสว่างที่สะท้อนออกมาจากในกระจก
ตาฝาดเหรอ…
นาซเพลตกตะลึง กระทั่งมันหันไปมองทางทะเลน้ำวนอย่างละเอียดอีกครั้ง แสงสว่างนั้นก็หายไปแล้ว
……………………………………………………………