ตอนที่ 1411 พัสดุที่เหนือความคาดหมาย

Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ

ตอนที่ 1411 พัสดุที่เหนือความคาดหมาย โดย Ink Stone_Fantasy

ริมชายฝั่งเจมินิของอาณาจักรดอว์นมีฝนตกปรอยๆ

อกาธาไม่รู้ว่านั่่นคือการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากการทดสอบระเบิดหรือว่าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ

การระเบิดอย่างรุนแรงบนผิวน้ำทำให้เกิดเสาน้ำขนาดมหึมาขึ้นมา ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมา 15 กิโลเมตรก็ยังมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาเป็นสีขาวบริสุทธ์ ดูแล้วไม่ได้เข้ากับสีเทาน้ำเงินที่อยู่ข้างหลัง เหมือนว่ามันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับท้องทะเลอย่างนั้น เสาน้ำค่อยๆ พุ่งขึ้นไปราวกับว่าสูญเสียน้ำหนัก ตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาประมาณ 30 – 40 วินาที ส่วนภาพเหตุการณ์นี้ก็เหนือไปจากความรู้ความเข้าใจของผู้เข้าร่วมชมการทดสอบระเบิดหลายๆ คน

สุดท้ายมันกลายเป็นฝนตกลงมาบนทะเล สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือหมอกสีขาวที่บิดเบี้ยว หมอกสีขาวมีขนาดใหญ่กว่าเสาน้ำ มันพุางขึ้นสูงจนถึงตอนนี้ก็ยังมองเห็นกลุ่มไอน้ำรูปร่างแปลกๆ อยู่

ส่วนเรือใบที่เดิมรวมตัวเป็นกระจุกอยู่ตรงจุดที่ระเบิดนั้นหายไปหมดแล้ว

และในตอนนี้ฝนก็ตกลงมา

เธอรู้สึกเสียใจและเสียดายมาโดยตลอดที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอลระเบิดที่ภูเขาหิมะเมื่อสองปีก่อน แต่ในที่สุดตอนนี้เธอก็ได้รับการชดเชยแล้ว

อกาธานึกถึงคำพูดที่โรแลนด์คุยกับฟิลลิสหลังทำการทดสอบปืนใหญ่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนฤดูหนาวเมื่อสองปีก่อน

ปฏิกิริยาคายความร้อนระหว่างสารเคมีเป็นเพียงปฏิกิรยาระเบิดทีเป็นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น

การทำให้แสงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายที่เขาไล่ตาม

ถ้าตัดพวกคำพูดติดตลกไร้สาระออกไป ฝ่าบาทนั้นดูเป็นคนที่่น่าเชื่อถือได้อย่างมาก

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจก็คือครั้งนี้บนอัฒจันทร์ไม่มีเสียงปรบมือดังขึ้นมา

ขุนนางที่ถูกเชิญมาต่างนั่งตกตะลึงอยู่บนเก้าอี้ คล้ายว่าพวกเขาลืมแม้แต่จะหันหน้าไปซุบซิบกัน หลายคนต่างมีสีหน้าซับซ้อน ในดวงตาเหมือนจะมีแววตาหวาดกลัวนิดหน่อย ในฐานะที่เป็นตัวแทนจากฝั่งเกรย์คาสเซิล เดิมอกาธานั้นเตรียมเอาคำพูดปลุกใจตามที่ฝ่าบาทโรแลนด์ทรงต้องการมาด้วย แต่หลังจากที่ได้เห็นภาพนี้ เธอก็ลุกออกไปจากอัฒจันทร์โดยไม่ได้พูดอะไร

เธอเดาความคิดของคนเหล่านี้ออก

บางครั้งความเงียบกลับสามารถอธิบายทุกสิ่งได้

ไม่ว่ายังไง ฝ่าบาทก็ได้ทำตามที่สัญญาเอาไว้แล้ว — เหล่าขุนนางของดอว์นที่เข้าร่วมประชุมต่างได้เห็นพลังของมนุษย์ด้วยตาตัวเอง

งานเก็บข้อมูลหลังจากนี้จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามารับผิดชอบโดยเฉพาะ

หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ข้อสรุปขั้นต้นก็ถูกส่งมาให้เธอ การทดสอบระเบิดครั้งนี้ได้ผลเหมือนอย่างที่คาดเอาไว้

อกาธาเอากระดาษโน้ตที่เขียนว่า ‘ทุกอย่างราบรื่น’ ผูกไปกับขาของนกส่งจดหมาย ก่อนจะปล่อยมือโยนมันขึ้นไปบนฟ้า

นกส่งจดหมายกางปีกออก ก่อนจะหายลับไปในขอบฟ้าทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว

หวังว่าปฏิบัติการโจมตีของทางนั้นจะราบรื่นเหมือนกันนะ เธอครุ่นคิดเงียบๆ

……

ภายในปราสาทของเมืองกลอรี ทีมที่ปรึกษากำลังจัดการกับข้อมูลที่ได้มาใหม่จากการโจมตีทางอากาศ

ผลจากการโจมตีครั้งนี้เรียกได้ว่าออกมาดีอย่างมาก ปีศาจน่าจะคิดไม่ถึงว่ามนุษย์จะเปิดฉากโจมตีกลับมาหลังจากเพิ่งพ่ายแพ้ไปในศึกเทือกเขาสิ้นวิถีไม่นาน บวกกับความคล่องตัวของอัศวินอากาศ ทำให้ศัตรูเพิ่งจะทำการตอบโต้ออกมาในตอนที่ฝูงบินบินเข้าไปอยู่บนพระผู้สร้างแล้ว

นี่หมายความว่าปีศาจมีความสามารถในการทำให้แผ่นดินที่มีเส้นรอบวงยาวหลายสิบกิโลเมตรบินขึ้นมาได้ แต่กลับไม่มีความสามารถที่จะตรวจตราพื้นที่ทั้งหมดได้ นี่ไม่เพียงแต่จะทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพที่หนึ่งมีความหวัง แต่ยังทำให้ซีกัลมีโอกาสจดบันทึกตำแหน่งที่อสูรสยองบินขึ้นมาด้วย — ถึงแม้พวกมันจะไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เรียบๆ ในการขึ้นบินและลงจอดเหมือนอย่างเครื่องบิน แต่ตอนนี้ดูแล้วพวกมันยังคงถูกเลี้ยงรวมกันและถูกปล่อยออกมาพร้อมกันในเวลานี้มีการต่อสู้ ด้วยเหตุนี้หอหินสีดำขนาดใหญ่ที่อสูรสยองพักอยู่จึงเป็นเป้าหมายที่น่าโจมตีอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนเรื่องบาเรียเวทมนตร์ที่อยู่บนทะเลสาบหมอกแดงนั้นเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

อัศวินอากาศไม่เพียงแต่จะพบถึงการมีอยู่ของมัน แต่ทำการตรวจสอบยืนยันว่ามันสามารถถูกทำให้อ่อนแรงลงได้จากการระเบิดอย่างต่อเนื่อง — ถึงแม้รู้ชัดถึงหลักการทำงานของมัน แต่จุดเด่นตรงนี้ก็แทบจะเหมือนกับบาเรียของปีศาจระดับสูง เพียงแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่าเท่านั้น

ถ้าสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองขึ้นมาได้ ทีมที่ปรึกษาก็สามารถคำนวณพลังทำลายที่ต้องใช้ในการทำลายบาเรียได้

เมื่อเทียบกับข้อมูลที่ว่ามาแล้ว เฮฟเว่นเฟลมสี่ลำที่สูญเสียไปนั้นถือเป็นค่าตอบแทนที่เล็กน้อยมาก

“แมนเฟล แคสตีนงั้นเหรอ…” โรแลนด์วางรายงานลงพร้อมกล่าวชื่นชมออกมา “เขาสมควรที่จะได้รับรางวัลจริงๆ”

มีความเด็ดเดี่ยวนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

สิ่งที่ยากคือมีทั้งความเด็ดเดี่ยวและมีความสามารถในการทำให้มันเป็นจริงได้

บุกเข้าไปบนน่านฟ้าของเมืองปีศาจ แล้วอาศัยความเข้าใจของตัวเองทิ้งระเบิดลงไป จากนั้นยังพาเพื่อนร่วมทีมกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย พรสวรรค์ตรงนี้เรียกได้ว่าสุดยอดอย่างมาก

“ข้าจะเอารางวัลไปมอบให้เข้าเองให้” ทิลลียักไหล่ จากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “ทีข้าล่ะไม่เคยได้เลย…”

“อะไรนะ?”

“เปล่า ไม่มีอะไร ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำอีก เดี๋ยวข้าไปก่อนล่ะ” ทิลลีหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

โรแลนด์ได้ยินด้านหลังมีเสียงหัวเราะเบาๆ ของไนติงเกลดังขึ้นมา

“เอ่อ…เจ้าได้ยินว่านางพูดอะไรงั้นเหรอ?”

“เปล่าเพคะ” ไนติงเกลมุ่ยปาก “แต่ก็พอจะเดาได้เพคะ”

“โอ้? ไหนลองว่ามาซิ?”

เธอชูนิ้วขึ้นมา 5 นิ้ว

“เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์พูดอย่างตกใจ

“ใครใช้ให้นางเป็นองค์หญิงลำดับที่ห้าล่ะเพคะ นี่หม่อมฉันลดราคาให้แล้วนะเพคะ”

“ก็ได้ ตกลง”

ไนติงเกลแอบเลียปากอย่างมีความสุข ‘จริงอยู่ที่พรสวรรค์ของอัศวินอากาศยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่พระองค์ทรงชมเขามากเกินไปเพคะ ในบรรดาอัศวินอากาศทั้งหมด พรสวรรค์ของใครยอดเยี่ยมที่สุดพระองค์ก็ทรงเห็นไม่ใช่เหรอเพคะ? พระองค์ทรงมองเรื่องที่พลังเวทมนตร์ทำได้กลายเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับตัวคนๆ นั้นเขาไม่ได้คิดแบบนี้เพคะ” พอพูดถึงตรงนี้เธอก็ชะงักไปเล็กน้อย “อันที่จริง เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่พวกเราเป็นคนเลือกเองใช่ไหมล่ะเพคะ?”

…..

ก็จริง พลังเวทมนตร์ก็เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งเหมือนกันนี่นา…

โรแลนด์นั่งอยู่ริมหน้าต่างในร้านกาแฟโรสคาเฟ่ สายตาเหม่อลอยมองดูคนเดินไปเดินมาบนถนน

ถึงแม้มันจะถือเป็นพลังพิเศษ แต่การจะแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาอย่างเต็มที่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเหมือนกัน

“เฮ้ เจ้าเหม่ออะไร?”

โรแลนด์หันกลับมา ก่อนจะเห็นวัลคีรีย์ที่ถือแก้วกาแฟอยู่สองแก้วนั่งลงตรงหน้าเขา

“กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้ไปถึงบอทธ่อมเลสแลนด์ให้เร็วที่สุดน่ะสิ” เขาโยนความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนจะเล่าเรื่องการโจมตีพระผู้สร้างอย่างคร่าวๆ ออกมา “บาเรียเวทมนตร์ที่ปกคลุมพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้มีความเกี่ยวข้องกับพลังของปีศาจระดับสูงหรือเปล่า? นี่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มันเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาได้ในช่วงนี้งั้นเหรอ?”

“ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ ข้าจะไม่ใช่คำเรียกว่า ‘ปีศาจ’ แบบนี้อีก” วัลคีรีย์พูดอย่างหงุดหงิด “ความสามารถของเผ่าพันธุ์ข้ามันขึ้นอยู่กับชนิดของหินเวทมนตร์ สาเหตุที่เลือกหินเวทมนตร์โล่ก็เพราะว่ามันหลอมรวมได้ง่าย แล้วก็ใช้งานได้จริงดีเท่านั้น มันไม่ใช่ว่าเป็นพลังที่จำเป็นจะต้องมี — อย่างเช่นข้า ข้าก็ไม่ได้หลอมรวมกับหินเวทมนตร์แบบนี้ นอกจากนี้ ไม่ว่าจะยังไงขอบเขตการใช้ของหินเวทมนตร์ก็ไม่มีทางที่จะปกคลุมทั้งหอคอยแห่งการให้กำเนิดได้ มันน่าจะเป็นผลจากการวิจัยใหม่ของเดอะแมสก์มากกว่า”

“มันคืออะไร?”

วัลคีรีย์เดิมกาแฟไปคำหนึ่ง “ใช้แกนพลังเวทมนตร์มาจำลองโครงสร้างการหมุนของหินเวทมนนตร์เพื่อขยายผลของพลังของมัน ความคิดนี้มีมาตั้งนานแล้ว แต่การจะทำให้มันเป็นจริงได้นั้นมีอุปสรรคอยู่หลายอย่างมาก คิดไม่ถึงว่ามันจะทำสำเร็จได้จริงๆ”

นี่หมายความว่าโดยเนื้อแท้แล้ว บาเรียที่พระผู้สร้างใช้ออกมากับพลังที่พวกมันใช้ออกมานั้นไม่ได้ต่างอะไรเลย โรแลนด์แอบจำเรื่องนี้เอาไว้ อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ให้เห็นว่าการเปรียบเทียบที่ทีมที่ปรึกษาให้มานั้นเป็นไปได้

“คนที่วิจัยร่างซิมไบออนท์ขึ้นมาก็คือเดอะแมสก์ใช่ไหม?”

“ถูกต้อง ในอีกแง่หนึ่งมันคล้ายกับทรานฟอร์มเมอร์อย่างมาก แทบจะไม่เคยใช้หินเวทมนตร์ต่อสู้เลยแม้แต่ก้อนเดียว” วัลคีรีย์พยักหน้า “เมื่อคิดถึงว่าร่างซิมไบออนท์ใช้รับมือกับอาณาจักรซีสกายได้ไม่ดีเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ การที่จักรพรรดิส่งมันมาถือเป็นการติดสินใจที่เหมาะทีเดียว”

ทั้งสองคนคุยกันเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้อยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นไนท์แมร์จึงบอกลาโรแลนด์

ในตอนที่ส่งมันถึงหน้าประตู จู่ๆ โรแลนด์พลันพูดออกมาว่า “ขอบคุณนะ”

อีกฝ่ายชะงักฝีเท้าอย่างแปลกใจ

“เฮคซอดไม่ได้ปรากฏตัวในศึกาอครั้งนี้เลย — มันน่าจะเชื่อเนื้อหาในจดหมายนั้น ถ้ามันอยู่ในสนามรบล่ะก็ ความเสียหายของกองทัพที่หนึ่งคงจะมากกว่านี้แน่ อย่างน้อยข้าก็ควรจะขอบคุณเจ้าในเรื่องนี้”

“อย่าลืมสิ ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า หากแต่กำลังช่วยเผ่าพันธุ์ของข้าอยู่ต่างหาก” วัลคีรีย์หันหน้ากลับมา “ถ้าเจ้าทำตามที่สัญญาได้ นั่นจำเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุด — นอกจากนี้ ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณใดๆ ทั้งนั้น”

จากนั้นมันเดินหายไปในฝูงคนอย่างรวดเร็ว

โรแลนด์กลับเข้ามาในร้านโรสคาเฟ่ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

ข้อความจากไปรษณีย์อันหนึ่งถูกส่งมา

นี่ทำให้โรแลนด์รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ — ช่วงนี้เข้าไม่ได้ซื้อของอะไรบนอินเทอร์เน็ตนี่นา

แต่ถึงแม้จำเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังกลับไปยังตึกถงจึแล้วหยิบเอาพัสดุที่ส่งมาให้เขาออกมาจากกล่องใส่จดหมาย

พัสดุกว้างประมาณครึ่งแขน เวลาที่ถือเอาไว้ในมือแทบจะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ขนาดของมันเองก็เหมือนกล่องกระดาษเลย

โรแลนด์ตรวจดูชื่อที่เขียนอยู่บนหน้ากล่อง หลังพบว่ามันเป็นพัสดุที่ส่งมาหาเขาจริงๆ เขาจึงแกะมันออกภายในห้อง

วินาทีที่กล่องถูกเปิดออก เขาพลันตกตะลึงไปทันที

อย่างนั้นคือวงแหวนดวงดาวที่หยุดนิ่งอันหนึ่ง

……………………………………………………..