บทที่ 112 ต่อสู้
“นี่มัน… วิชา… อาร์คาน่าระดับ 7” อิงอิงพึมพำขึ้นด้วยตะลึง แม้ว่านางจะไม่รู้จักวิชาที่ซูเฉินใช้ แต่เมื่อมีพลังต้นกำเนิดจำนวนมหาศาลที่นางสัมผัสได้จากร่างกายของเขา ก็แสดงให้เห็นแล้วว่านายท่านชิงเฮิ่นคนนั้นเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 !!
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 นั้นถือว่ามีพลังอันน่าเหลือเชื่อในบรรดาอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ… เขาเพิ่งบรรลุวิชาระดับ 6 ไปเองไม่ใช่หรอกหรือ !?
ถึงแม้อิงอิงจะประหลาดใจกับการที่ซูเฉินพัฒนาจากวิชาอาร์คาน่าระดับ 5 ไปสู่ระดับ 6 ได้ แต่นั่นก็ยังเป็นสิ่งที่นางยอมรับได้อยู่ ก่อนหน้านี้เขาอาจอยู่ในจุดที่ใกล้จะบรรลุมาก่อนแล้วก็ได้
แต่การใช้วิชาอาร์คาน่าระดับ 6 ทันทีที่บรรลุนั้นท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก และในตอนนี้เขายังใช้แม้กระทั่งวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 อีก !!
ทั้งตระกูลกุยซานได้แต่ตะลึงงัน
การบรรลุพลังถึงสองขั้นติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วนั้นช่างท้าทายกับความเข้าใจของทุกคนเหลือเกิน
หรือว่าเขาจะมีวิชาอาร์คาน่าระดับ 6 อยู่แล้ว และไม่ได้แสดงมันออกมาอย่างนั้นหรือ ?
นี่เป็นคำอธิบายที่พอจะเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน
บัดนี้ซูเฉินใช้พลังจิตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการใช้พลังจิตของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อการใช้พลังจิตของเขาอยู่ในขั้นที่แก่กล้ามากพอแล้วเช่นนี้ ชายหนุ่มก็พบว่าพลังจิตของตัวเองลดจาก 2,300 หน่วยเหลือเพียง 1,700 หน่วยเท่านั้น
นั่นหมายความว่าซูเฉินเผาผลาญพลังจิตไปราว 600 หน่วย นี่ถือว่าเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญทีเดียว แม้ซูเฉินจะทำอะไรไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึกปวดใจอยู่ดี
แต่ถึงอย่างนั้นผลที่เพิ่มขึ้นก็ถือว่าคุ้มค่า ชายหนุ่มพบว่าการใช้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หนึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือตอนนี้เขาสามารถสร้างตำหนักเซียนเป็นของตัวเองได้แล้ว
ด่านผลาญจิตวิญญาณถูกกำหนดโดยความสามารถของผู้ฝึกในการสร้างตำหนักในลักษณะนี้
รากฐานของตำหนักเหล่านี้ก็คือพลังจิต
ผู้ฝึกในด่านทะลวงลมปราณจะมุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาการควบคุมพลังต้นกำเนิด ในขณะที่ผู้ฝึกด่านสู่พิสดารจะเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของร่างกายมนุษย์ และผู้ฝึกในด่านผลาญจิตวิญญาณจะเน้นในเรื่องความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ
พัฒนาการของผู้ฝึกในด่านผลาญจิตวิญญาณถูกกำหนดเป็นสัญลักษณ์โดยยึดตามตำหนักเซียนทั้งแปดของพวกเขา ตำหนักเหล่านี้จะเป็นเหมือนก้าวสำคัญทั้งแปดที่นำไปสู่การก่อตัวของจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของมนุษย์
แรกเริ่มนั้น ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณนั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับตัวเลข แต่เมื่อผ่านจุดนั้นไปแล้ว ผู้ฝึกก็จะสามารถควบคุมความแข็งแกร่งและใช้มันได้อย่างมีความหมายมากขึ้น
เพราะพื้นฐานที่หนักแน่นอย่างน่าเหลือเชื่อ การบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณของซูเฉินจึงง่ายดายกว่าการบรรลุด่านสู่พิสดาร สาเหตุเดียวที่ทำให้เขารอเวลามานานถึงเพียงนี้ก็เพราะชายหนุ่มยังค้นหาวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการบรรลุ ไม่เพียงแค่เป็นวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือด แต่เขายังต้องการวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีพลังแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนที่มีสายเลือดได้ด้วยนั่นเอง
ซูเฉินไม่เคยคาดคิดว่าหลังจากการใช้พลังจิตของเขาบรรลุถึงระดับ 7 ร่างกายของตัวเองจะไปถึงจุดที่พร้อมและสามารถสร้างตำหนักเซียนขึ้นเองได้โดยอัตโนมัติ
เขาสัมผัสได้ว่า ตราบใดที่ตัวเขาเองมีความตั้งใจ ซูเฉินก็จะสามารถสร้างตำหนักเซียนแรกขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้พลังของชายหนุ่มยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นสูงสุดของด่านสู่พิสดารเสียด้วยซ้ำ
เขามีแท่นบงกชเพียงสี่แท่นเท่านั้น
การสร้างตำหนักเซียนในขณะที่มีแท่นบงกชเพียงสี่แท่นนั้นยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน !
แท้ที่จริง… แท่นบงกชไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับคนคนนั้น แต่พวกมันยังทำหน้าที่เป็นรากฐานในการสร้างตำหนักอีกด้วย
และบัดนี้ การกระทำของซูเฉินก็ได้สร้างความแปรปรวนให้กับรากฐานนั้นเสียแล้วอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้เข้าใกล้พลังขั้นสูงสุดของด่านสู่พิสดาร แต่เขาก็สามารถบรรลุสู่ด่านผลาญจิตวิญญาณได้เลยหากต้องการ
หากคนอื่น ๆ ได้รู้เรื่องนี้เข้าคงต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย
เขาควรลงมือตอนนี้เลยดีไหมนะ… ?
ซูเฉินสลัดความคิดนี้ทิ้งไปหลังจากที่มันก่อตัวขึ้นในใจของเขาได้เพียงไม่นานเท่านั้น
อย่างแรกเลยก็คือ ชายหนุ่มยังไม่มีวิธีการพัฒนาพลังที่ดีกว่า และอย่างที่สองก็คือ การสร้างแท่นบงกชที่เหลือนั้นยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเขา
ซูเฉินเชื่อว่าความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้มีมากพอ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรีบบรรลุสู่ขั้นต่อไป
ในทางตรงกันข้าม ประสบการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างด่านผลาญจิตวิญญาณกับด่านสู่พิสดารมากขึ้น ซึ่งแปลว่าชายหนุ่มก็จะสามารถเตรียมพร้อมได้ดีกว่านี้ในอนาคตด้วยนั่นเอง
“อืม ดูเหมือนว่าวิชาอาร์คาน่าก็จะมีค่าอยู่เหมือนกันสินะ” ซูเฉินพึมพำกับตัวเองขณะเผยยิ้มบาง ๆ ออกมา
ฉือไคฮวงเคยเป็นคนที่ต่อต้านการฝึกวิชาอาร์คาน่ามาก่อน และผลก็คือเขาถูกตบหน้าอย่างจังในขณะฝึกวิชาทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต และตอนนี้ใบหน้านั้นก็กำลังจะถูกตบซ้ำอีกครั้ง
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเขาต่างก็อยู่ฝ่ายเดียวกัน และฉือไคฮวงก็จะต้องยินดีจะโดนตบหน้าอีกครั้งอย่างแน่นอน
การฝืนบรรลุสู่วิชาอาร์คาน่าระดับ 7 นั้นมีราคาแพงยิ่งกว่าการบรรลุระดับ 6 เสียอีก แม้จะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและพลังจิตเป็นเชื้อเพลิงแล้ว คราวนี้เขาต้องจุดเทียนไขชีวิตหมดไปถึงสามสิบเล่มเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น วิธีอื่นก็คงจะมีราคาสูงไม่แพ้กัน
ไม่อย่างนั้นแล้ว การบรรลุเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงก็คงเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไป
หลังจากบรรลุพลังแล้ว ซูเฉินก็เรียนรู้วิชาสื่อวิญญาณ และใช้งานมันทันทีโดยการเชื่อมความนึกคิดของตัวเองเข้ากับสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้น ซูเฉินพลันสัมผัสได้ถึงความคิดมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาสู่สมองของเขาได้ในทันใด
เจ้าตัวพวกนี้ธรรมดายิ่งนัก ดังนั้นแม้ว่ามันจะมีจำนวนมาก แต่ทั้งหมดต่างก็มีความคิดอย่างเดียวกันนั่นก็คือ “น่ากลัวเหลือเกิน” “ข้าไม่อยากตาย” “ยอมแพ้ ! ยอมแพ้แล้ว !” และ “แม่จ๋าช่วยด้วย…” เหล่านี้คือความคิดที่พบมากได้มากที่สุดในสมองของพวกมัน
ซูเฉินไม่สามารถทำอะไรได้ในเรื่องนี้
เขารู้ว่าต่อให้ทักษะที่ใช้นั้นจะแก่กล้ามากก็ตาม แต่การจัดการกับความคิดของหลายชีวิตไปพร้อม ๆ กันนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่น่ารำคาญใจอย่างมากแน่นอน
ความคิดที่พรั่งพรูเข้ามานั้นทำให้ซูเฉินรู้สึกราวกับว่ามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาทะเลาะวิวาทกับในสมองของเขา ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้เสียมากกว่าที่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็เพราะสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ช่างมีความคิดที่แสนธรรมดาเหลือเดิน หากเขาทำเช่นนี้กับมนุษย์หรือเผ่าปักษาที่มีสติปัญญามากกว่านี้ ซูเฉินคงต้องสติแตกเป็นแน่
ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเขาไม่สามารถใช้วิชาอาร์คาน่าโดยประมาทแบบนี้ได้อีก
ซูเฉินพลันร้องขึ้น “หุบปากซะ !” ความนึกคิดของเขาถูกส่งไปหาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น และทำให้พวกมันพร้อมใจกันหยุดส่งเสียงทันที
ทว่าในไม่ช้า ซูเฉินก็พบว่าการทำแบบนั้นไม่ได้มีประโยชน์แต่อย่างใด
แม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้ถึงความคิดของพวกมันได้อยู่ดี
เสียงต่อปากต่อคำและถกเถียงยังคงเกิดขึ้น แต่ตอนนี้ก็อยู่ในระดับที่สามารถรับได้มากขึ้นแล้ว
ซูเฉินไม่สามารถบอกให้เจ้าตัวโลหะเหล่านั้นหยุดความคิดได้ และเขาก็รู้สึกรำคาญเหลือเกิน หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ชายหนุ่มก็ตัดสินใจสละผลึกวิญญาณจำนวนหนึ่งของเขาเพื่อจัดการกับความคิดพวกนั้น
ซูเฉินตัดสินใจทำเช่นนี้อย่างปัจจุบันทันด่วนก็จริง แต่ปรากฏว่าวิธีการนี้กลับมีประสิทธิภาพมากทีเดียว
ไม่ช้าเขาก็พบว่าความวุ่นวายในหัวนั้นได้สงบลงแล้ว ความคิดใด ๆ ก็ตามที่ถูกส่งผ่านมาด้วยวิชาสื่อวิญญาณนั้นถูกส่งต่อไปยังส่วนที่แยกออกไปในผลึกวิญญาณในทันที
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของวิธีการนี้ก็คือมันทำให้ประสิทธิภาพพลังจิตของซูเฉินต้องลดลงอีกนั่นเอง
พลังจิตทั้ง 1,700 หน่วยที่มีนั้นลดลงไปอีก 200 หน่วย
และนั่นเป็นจำนวนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ในตอนนี้เท่านั้น หากซูเฉินเชื่อมกับหลายชีวิตกว่านี้ เขาก็จำเป็นจะต้องใช้พลังจิตมากขึ้นอีก
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อย่างใด เขายังสามารถใช้เวลาสักหน่อยเพื่อสร้างพลังจิตขึ้นได้
ซูเฉินไม่ได้สร้างพลังจิตไว้มากนักเพราะพื้นฐานของเขาในอดีตนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เหมาะเจาะทีเดียวที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งในด้านนี้
ด้วยเคล็ดวิชาจิตแท้ของผ้าเท่อลั่วเค่อ ชายหนุ่มคงไม่ต้องใช้เวลานานนักในการฟื้นฟูสิ่งที่เสียไปให้กลับมาเป็นดังเดิมได้
หลังจากจัดการเรื่องนั้นแล้ว ซูเฉินก็กวาดสายตาไปยังบริเวณโดยรอบ และพบว่าชาวเผ่าปักษายังคงยืนเรียงรายอยู่ที่นั่นอย่างเดิม
อิงอิงเห็นว่าซูเฉินจัดการปัญหาได้แล้ว นางจึงตรงเข้ามาและกล่าวกับเขา “นายท่านชิงเฮิ่นก่อนหน้านี้…”
ซูเฉินยกมือขึ้นหยุดนางไว้และเป็นฝ่ายกล่าวต่อไปเองว่า “ข้ารู้ถึงแผนที่ตระกูลกุยซานคิดจะใช้กับข้าแล้วละ เจ้าไม่ต้องบอกข้าหรอก และข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักกับเรื่องนั้น ข้อตกลงของเราเป็นไปตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว ข้าช่วยชีวิตพวกเจ้า และเจ้าก็ตอบแทนข้าแล้วเช่นกัน ตอนนี้พวกเราก็ต่างคนต่างไปได้แล้วละ”
แม้ว่าเขาจะโดนตระกูลกุยซานหลอกในตอนแรก แต่หากไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่มีทางได้เป็นซูเฉินอย่างที่เป็นในตอนนี้อย่างแน่นอน
แต่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
เขาไม่เคยคิดว่าตระกูลกุยซานเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นเลยด้วยซ้ำ ซูเฉินจึงไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาภักดีหรือทำตามคำที่ให้ไว้แต่อย่างใด
ถ้าหลอกกันได้ ก็ขอให้ใช้ความสามารถของตัวเองเถิด ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่วางแผนต่อต้านใครหลายคนอยู่บ่อย ๆ คงแปลกทีเดียวหากซูเฉินจะรู้สึกโกรธกับแผนของคนเหล่านั้น
อิงอิงอึ้ง
จบง่าย ๆ อย่างนั้นเลยหรือ ?
นี่แปลว่านางไม่ต้องติดตามเขาต่อไปอีกแล้วใช่ไหม
ก่อนหน้านี้ นางถูกซูเฉินบังคับให้ติดตามเขาไป จิตใจของนางจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชังและคับแค้นใจ แต่ตอนนี้เมื่อได้รับอิสระแล้ว นางกลับรู้สึกไม่ค่อยเต็มใจจะรับมันเสียอย่างนั้น
เด็กสาวจำได้ว่าในระหว่างที่นางติดตามนายท่านชิงเฮิ่นมานั้น ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับนางเลยแม้สักครั้ง อันที่จริงแล้วสถานะของนางในตระกูลยังสูงขึ้นเสียด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นนายท่ายชิงเฮิ่นก็ยังเป็นผู้รอบรู้อย่างเห็นได้ชัด และความรู้ของเขาก็กว้างขวางมากทีเดียว การติดตามเขานั้นทำให้นางได้เรียนรู้บางอย่างมาพอสมควรด้วยเช่นกัน
อิงอิงไม่ได้คิดเช่นนี้เลยในตอนนั้น แต่นางกลับรู้สึกไม่อยากจะแยกกับเขาเสียอย่างนั้น
นางจะหานายท่านอย่างซูเฉินได้จากที่ไหนอีก ?
เมื่อคิดดังนั้นแล้ว เด็กสาวก็อดร้องขึ้นไม่ได้ “นายท่านชิงเฮิ่น ข้าขอติดตามท่านไปด้วย !”
“หือ ? ติดตามข้าหรือ” ซูเฉินมองเด็กสาวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
เขาส่ายหน้า “เจ้ากับข้าไม่ควรโคจรมาพบกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เจ้ากลับไปยังที่ที่เจ้าจากมาเถอะ”
ขณะที่พูดนั้น ชายหนุ่มหันหน้าไปมองเผ่าปักษาคนอื่น ๆ รวมถึงเหล่านักล่าวายุ
แม้ว่าสายตาที่มองไปนั้นจะไม่ชัดเจนนัก แต่ชาวเผ่าปักษาที่สังเกตเห็นก็อดสะท้านด้วยความสะพรึ่งไม่ได้
จากนั้นซูเฉินจึงกล่าวขึ้น “ส่วนพวกนักล่าวายุ ถ้าพวกเจ้าต้องการจะปล้นเขา ก็ไปที่อื่นซะ ชาวปักษาของตระกูลกุยซานที่นี่อยู่ในความดูแลของข้า เข้าใจไหม ?”
แม้น้ำเสียงนั้นจะฟังดูไร้ปราณี แต่ชายหนุ่มก็ยังให้ความช่วยเหลือกับตระกูลกุยซานในท้ายที่สุด
เหล่านักล่าวายุจะกล้าเมินคำพูดของเขาในสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรกัน อู๋อวี่เจ่อที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดรีบพยักหน้าและตอบรับในทันใด “เข้าใจแล้ว”
ถึงเขาจะกล้าหาญและองอาจนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าต้องยอมโอนอ่อนตามไปกับคำของศัตรูที่ตัวเองไม่มีทางเอาชนะได้
ในเมื่ออีกฝ่ายได้ออกคำสั่งมาเช่นนั้นแล้ว นักล่าวายุก็ทำความเคารพต่ออิงอิงและคนอื่น ๆ ก่อนจะหันหลังและจากที่นั่นไปอย่างรวดเร็ว
ตระกูลกุยซานและเผ่าปักษาไร้สังกัดทั้งหลายมองหน้ากันก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอีกครั้ง
อิงอิงมองหน้าซูเฉิน ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้านาง แต่เด็กสาวก็รู้สึกเหมือนว่าเขาอยู่ห่างไกลออกไปเหลือเกิน
ความปวดร้าวพลันก่อตัวขึ้นในใจของนาง
อิงอิงรู้สึกราวกับว่านางได้พลาดบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว
เมื่อความโศกเศร้าเต็มล้นอยู่ในใจ น้ำตาก็เริ่มไหลออกมา
เมื่อเห็นว่านางร้องไห้ กุยซานฉางชิงก็อดส่ายหน้าไม่ได้
เขารู้ดีว่าตระกูลของตัวเองทำพลาดไปแล้วในครั้งนี้
แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นไปแล้ว การจะเลือกทางอื่นก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
เมื่อซูเฉินเห็นน้ำตาของเด็กสาว เขาก็ทำได้เพียงแค่ถอนใจ “ไม่ช้านี้จะมีแขกมาพบข้าอีก ถ้าเจ้าไม่อยากจะต้องมาเกี่ยวข้อง ก็ไปเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า”
ทุกคนต่างผงะทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น
กุยซานฉางชิงเข้าไปดึงอิงอิงออกมาและส่งสัญญาณให้ออกไปจากที่นี่
แต่เด็กสาวค่อนข้างหัวรั้นทีเดียว ยิ่งซูเฉินพูดเช่นนั้น นางก็ยิ่งไม่อยากไปมากขึ้นอีก
กุยซานฉางชิงจึงทำได้เพียงแค่ลากตัวนางออกมาเท่านั้น
แม้ว่าอยากจะเห็นเหตุการณ์นั้นมากเพียงไร พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่มองมาจากที่ไกลออกไปเท่านั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังถอยทัพกลับไปอยู่นั้น เผ่าปักษาอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า
เป็นหลี่ต้าวหงกับพรรคพวกของเขานั่นเอง
สุดท้ายพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้น
เผ่าปักษากลุ่มนั้นมุ่งหน้าตรงมายังทิศทางที่ซูเฉินยืนอยู่ด้วยความเร็วสูง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว
นอกจากหลี่ต้าวหง เยี่ยเสิ่นหยาง และลูกสมุนทั้งหมดพากันมาที่นี่แล้ว ปรมาจารย์กลุ่มใหญ่ทั้งจากอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยกับนิกายแห่งแม่พระต่างรวมตัวมาเป็นกลุ่มเดียวกัน ในนั้นมีทั้งผู้ที่มีพลังในด่านผลาญจิตวิญญาณและปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 อยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น ปฏิกิริยาเพียงอย่างเดียวของซูเฉินที่มีต่อพวกเขาก็คือรอยยิ้มเบาบางเท่านั้น
ชายหนุ่มกล่าวขึ้น “ในที่สุดพวกท่านก็มา”
เยี่ยเสิ่นหยางเผยยิ้มน้อย ๆ เช่นกัน “เยี่ยเสิ่นหยางขอทักทายท่านชิงเฮิ่น ข้ารอเวลาที่จะได้พบท่านมานานแล้ว”
ทว่าซูเฉินกลับส่ายหน้า “ข้าขอไม่สนทนากับท่าน”
หือ ?
เยี่ยเสิ่นหยางถึงกับผงะ
หลี่ต้าวหงพูดขึ้น “เจ้ารออยู่ที่นี่เพื่อคืนพลังจิตของข้ากลับมาหรือ ?”
แต่แล้วซูเฉินก็ยังคงส่ายหน้า
ชายหนุ่มกล่าวต่อไป “ข้าขอไม่สนทนากับท่านเช่นกัน”
ท่าทีของเยี่ยเสิ่นหยางกับหลี่ต้าวหงเปลี่ยนไปในทันใด
ซูเฉินมองไกลออกไปที่ด้านหลังของพวกเขาซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงพื้นดินที่ว่างเปล่าก่อนจะกล่าวขึ้น “อะไรกัน หรือว่าข้าต้องลากพวกท่านออกมาด้วยตัวเองกัน ?”