ภาคที่ 5 บทที่ 113 อุบาย

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 113 อุบาย

เสียงหัวเราะที่สดใสเหมือนเสียงระฆังดังขึ้นในอากาศ

ร่างสีแดงค่อย ๆ ปรากฏขึ้น

เป็นจือฮัวนู๋นั่นเอง !

นางยืนอยู่กลางอากาศและมองมาที่ซูเฉินด้วยท่าทียั่วโมโห “สุดท้ายแล้ว ข้าก็ซ่อนตัวจากนายท่านชิงเฮิ่นไม่ได้ ข้ามาถึงที่นี่นานแล้ว และอยากจะโจมตีในเวลาที่เหมาะสม ไม่คิดเลยว่าท่านจะเรียกข้าออกมาแบบนี้”

“โจมตีในเวลาที่เหมาะสมหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ “เจ้าหมายความว่า… เจ้าจะโจมตีข้าใช่ไหม ?”

ท่าทางของจือฮัวนู๋กลายเป็นกระอักกระอ่วนทันที “นายท่านกำลังล้อข้าเล่นแน่ ชีวิตของข้าอยู่ในมือของท่าน แล้วข้าจะกล้าทรยศท่านได้อย่างไรกัน”

“แต่เจ้ากล้าที่จะปล่อยข้อมูลเกี่ยวกับข้าให้กับนิกายแห่งแม่พระ ไม่อย่างนั้นแล้วเศษสวะอย่างเจ้านั่นจะมาที่นี่ได้อย่างไรกัน” ซูเฉินตอบกลับไปอย่างนุ่มนวล

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปโดยพร้อมเพรียงกัน

ศิษย์ของนิกายแห่งแม่พระและผู้ติดตามของหลี่ต้าวหงต่างตะโกนขึ้น “จองหองยิ่งนัก !”

หลี่ต้าวหงกับเยี่ยเสิ่นหยางยกมือขึ้นปรามคนของตัวเอง

ฝ่ายจือฮัวนู๋ได้แต่มองไปที่ซูเฉินด้วยความตะลึง “นี่ท่าน…”

“เจ้ายังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะเยือกเย็นขณะสบตาจือฮัวนู๋กลับไป

สีหน้าของจือฮัวนู๋กลายเป็นสิ้นหวัง “ทำไมข้าถึงต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งแบบนั้นด้วยล่ะ ชิ้นส่วนพลังจิตของข้าอยู่ในมือท่าน แล้วข้าจะเอาท่านไปขายอย่างนั้นได้อย่างไรกัน”

ซูเฉินหัวเราะขึ้นอีกครั้งและตอบกลับไป “ก็เพราะมีใครบางคนช่วยลบล้างข้อจำกัดนั่นไปแล้วน่ะสิ ข้าพูดถูกไหมล่ะ ใต้เท้าหลี่ต้าวหง สายเลือดนิมิตลาวัณย์อาจเชี่ยวชาญในวิชานิมิตมากที่สุดก็จริง แต่ด่านนิมิตทั้งหลายนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของวิชาพลังจิตด้วยเหมือนกัน ดังนั้น ข้ามั่นใจว่าพลังจิตของท่านก็แข็งแกร่งเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ข้าพนันได้เลยว่าตระกูลหลี่จะต้องมีวิธีมากมายที่จะลบล้างการควบคุมวิญญาณได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว… พวกท่านจะมาที่นี่กันในตอนนี้ทำไมล่ะ ?”

หลี่ต้าวหงถึงกับผงะ จากนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นและกล่าวตอบกลับไปว่า “นี่ เจ้ารู้เกี่ยวกับตระกูลหลี่ไม่น้อยเลยนะ มิน่าล่ะจือฮัวนู๋ถึงได้บอกว่าเจ้ามีความรู้กว้างขวางนักแม้อายุยังน้อยก็ตาม ข้าละประทับใจจริง ๆ!”

สีหน้าของจือฮัวนู๋ในตอนนี้เริ่มจะดูน่าเกลียดมากขึ้นทุกที “ท่านรู้ตั้งแต่ตอนไหน”

นางถูกบังคับในจำยอมต่อซูเฉินไม่ต่างไปจากตระกูลกุยซานในอดีต นั่นหมายความว่าการเชื่อฟังของหญิงสาวไม่ได้มาจากความภักดีแต่อย่างใด เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่นางเสาะหาหนทางที่จะได้อิสระกลับคืนมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

แต่จือฮัวนู๋ไม่รู้เลยว่าจะสามารถลบล้างวิชาของซูเฉินได้อย่างไร

แม้จะเป็นเช่นนั้น นอกจากสถานะสมาชิกของมือแห่งโชคชะตา นางก็ยังสวมหมวกอีกใบในฐานะสายสืบระดับสูงของนิกายแห่งแม่พระอีกด้วย จือฮัวนู๋เป็นคนแรกที่ขอให้นิกายแห่งแม่พระเป็นพันธมิตรกับหลี่ต้าวหง และเพราะสถานะของนาง จึงทำให้มีผู้มีอำนาจจำนวนมากช่วยสนับสนุน ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่นางสามารถหนีจากการควบคุมของซูเฉินได้นั่นเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว ด่านลับนี้คงไม่ปรากฏขึ้นต่อหน้ามนุษย์ง่าย ๆ อย่างแน่นอน

ถูกต้องแล้ว ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้หลี่ต้าวหงช่วยชีวิตของจือฮัวนู๋นั้นก็คือการที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมในการสำรวจด่านสมบัติลับของอวี้ชิงหลานด้วย และเหตุนี้เองที่ทำให้หลี่ต้าวหงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

ทว่าบัดนี้ กลายเป็นว่านายท่ายชิงเฮิ่นได้เตรียมการเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ได้มีท่าทีเหมือนกับว่าเขาเพิ่งรู้ถึงแผนที่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ นั่นทำให้จือฮัวนู๋กับเยี่ยเสิ่นหยางเริ่มจะประหม่า

ท่าทีเยี่ยเสิ่นหยางดูไม่ดีเลยเช่นกัน “เจ้ารู้อะไรอีก ?”

“ข้ารู้อะไรอีกหรือ ?” ซูเฉินเอียงคอและคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “อ้อ ก็แค่เรื่องที่ว่าจือฮัวนู๋เป็นสายสืบที่นิกายแห่งแม่พระส่งไปยังมือแห่งโชคชะตาไงล่ะ แล้วอาจารย์ของนางก็ยังเป็นหนึ่งในหัวหน้านักบวชของนิกายแห่งแม่พระในเมืองล่องนภาด้วยใช่ไหม คนแบบนั้นน่ะมีสถานะทางสังคมที่ทำให้เขาเหนือกว่าคนอื่น ๆ มากทีเดียว”

จือฮัวนู๋ตัวสั่น “ไม่มีทาง ! เป็นไปไม่ได้ ! ท่านรู้เรื่องทั้งหมดนั่นได้อย่างไรกัน”

กุยซานฉางชิงกับอิงอิงต่างตกใจเช่นกันเมื่อได้ยินเรื่องนี้

สถานการณ์พลิกผันไปเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

ซูเฉินหัวเราะคิกคัก การจะบอกว่าเขาหยั่งรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้จากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นไม่ง่าย ชายหนุ่มจึงตอบกลับไปนิ่ง ๆ ว่า “เรื่องนี้น่ะมันไม่สำคัญนักหรอก สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่างหาก”

เยี่ยเสิ่นหยางหรี่ตา “น่าสนใจทีเดียว เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรก็ไม่ได้สำคัญอีกต่อไป ตราบใดที่พวกข้าจับเจ้าไว้ได้ ข้อมูลพวกนั้นก็จะเปิดเผยตัวของมันออกมาเองเมื่อถึงเวลา”

ขณะที่กล่าวไปนั้น ทั้งร่างของเยี่ยเสิ่นหยางก็เริ่มพลุ่งพล่านไปด้วยพลังพร้อมกันกับที่แสงสว่างอันชั่วร้ายของพลังต้นกำเนิดเปล่งขึ้นบนร่างนั้น

เผ่าปักษาที่รอบตัวเขาเตรียมพร้อมที่จะโจมตี

ทว่าซูเฉินกลับตอบไปอย่างใจเย็น “ทำไมถึงรีบนักที่จะต่อสู้ ท่านว่ามันไม่แปลกหรือ ในเมื่อข้ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ทำไมข้าจะต้องเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่คนอื่นจะจับตัวข้าได้ด้วยล่ะ”

เยี่ยเสิ่นหยางได้ยินดังนั้นก็ผงะ

ใช่แล้ว ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ก็ไม่แปลกเลยที่เขาจะเตรียมตัวมาแล้วเป็นอย่างดีเช่นกัน

เขาจ้องเขม็งกลับไปที่ซูเฉิน “เจ้าทำอะไรลงไป”

“นี่แหละคือคำถามที่ข้ารอมานานแล้ว” ชายหนุ่มหัวเราะอีกครั้ง

เขากล่าวต่อไปพร้อมกับเหลือบมองไปยังหลี่ต้าวหง “ท่านอาจลบล้างวิชาตรึงพลังจิตนั่นได้ แต่ท่านจะลบล้างนี่ได้หรือเปล่าล่ะ”

ซูเฉินพลันสร้างตราประหลาดและส่งมันขึ้นไปในอากาศ

ร่างของจือฮัวนู๋สั่นสะท้านหนักขึ้นในทันใด

“ชิงหง !” เยี่ยเสิ่นหยางร้องขึ้น

ชิงหง คือชื่อที่แท้จริงของจือฮัวนู๋

ท่าทางของจือฮัวนู๋ดูซีดลงอย่างรวดเร็ว นางก้มหน้าลงและมองดูร่างกายของตัวเองก่อนจะพบว่าช่วงลำตัวกำลังปูดโปนขึ้นอย่างผิดปกติ

จือฮัวนู๋ร้องขึ้นด้วยความสิ้นหวัง “มีบางอย่างอยู่ในตัวข้า… มันกำลังเคลื่อนไปทั่วตัวข้างในตัวของข้า !”

“ไอ้บัดซบ ! นี่เจ้าทำอะไรนาง” เยี่ยเสิ่นหยางแทบจะคลั่งเต็มที

“ข้าก็ใช้วิชาในการควบคุมนางน่ะสิ จะอธิบายให้เข้าใจก็คือมันเป็นแมลงชนิดหนึ่งที่ข้าเพิ่งจะพัฒนาขึ้นสำเร็จ ข้าทำการทดลองมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งมีชีวิต และในที่สุดข้าก็บรรลุมันได้เมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเอาแมลงนั่นใส่เข้าไปในร่างของใครแล้ว มันก็จะเคลื่อนที่ไปทั่วทั้งร่างนั้นตามคำสั่งของข้า ข้าเองขาดตัวอย่างในการทดลองมานานแล้ว ข้าต้องขอบคุณจือฮัวนู๋เหลือเกินที่อาสาเป็นตัวอย่างในการทดลองให้ ดูเหมือนว่าผลของมันจะมีประสิทธิภาพทีเดียว อ้อ แล้วข้าควรตั้งชื่อมันว่าอะไรดีล่ะ เรียกมันว่า ‘ปรสิตจอมตะกละ’ น่าจะดีนะ ท่านคิดว่าไง… เหมาะเลยใช่ไหมล่ะ ?”

เยี่ยเสิ่นหยางตัวสั่นขณะมองไปที่ร่างของจือฮัวนู๋ที่โชกไปด้วยเหงื่อจากความเจ็บปวด

ซูเฉินกล่าวต่อไปอย่างเยือกเย็น “พอข้าเริ่มกระตุ้นแมลงปรสิตนั่นแล้ว มันก็จะเริ่มกัดกินอวัยวะภายในของนางด้วยความตะกละตะกลาม แน่นอนว่านางจะรับมือกับความเสียหายภายในได้ด้วยความแข็งแกร่งระดับนี้และนางจะไม่ตายในทันที แต่โชคไม่ดีนัก แมลงนั่นจะไม่กลับออกมาจนกว่ามันจะกัดกินเจ้าของร่างจนหมด ดังนั้นถึงแม้ว่านางจะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่นั่นหมายความว่าตัวนางเองก็จะเป็นอาหารให้กับปรสิตของข้าไปอีกหลายมื้อ แต่อย่าห่วงไปเลย พอมันกินจนอิ่มแล้ว มันก็จะกลับออกมาเอง”

“ข้าไม่เชื่อท่านหรอก !” จือฮัวนู๋เริ่มตะโกนโหวกเหวก

ร่างของเด็กสาวเริ่มลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงที่สว่างจ้า

นางชำนาญในการควบคุมเพลิงกัลป์เป็นอย่างยิ่ง จือฮัวนู๋จึงสามารถจุดไฟขึ้นบนร่างกายได้โดยไม่เป็นอันตรายใด ๆ แมลงขนาดเล็กที่อยู่ในร่างกายนั้นจะต้องถูกเผาเป็นจุณอย่างแน่นอน

ทว่าซูเฉินกลับถอนหายใจ “ถ้าปรสิตจอมตะกละสามารถจัดการได้ง่ายขนาดนั้น แล้วข้าจะเสียแรงฟูมฟักมันขึ้นมาทำไมกันล่ะ ข้าหาแมลงแก่ ๆ สักตัวมาใช้แทนไม่ดีกว่าหรือ ?”

ปรสิตของเขาไม่สะท้านต่อไฟกัลป์ของจือฮัวนู๋จริง ๆ พวกมันกลับส่งเสียงร้องแหลมสูงด้วยความกระตือรือร้นเสียอย่างนั้น

ความร้อนทำให้ความอยากอาหารของพวกมันเพิ่มขึ้นนั่นเอง

“อ๊ากก !” จือฮัวนู๋กุมท้องและร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด

อวัยวะภายในของนางกำลังถูกกัดกินอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แม้ว่าหญิงสาวจะพยายามใช้วิชาอาร์คาน่าทุกชนิดแล้ว อีกทั้งเผ่าปักษาที่อยู่ใกล้เคียงก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษานางด้วยวิชาอาร์คาน่าเช่นกัน แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือเพิ่มพลังชีวิตและอัตราการฟื้นฟูให้กับจือฮัวนู๋เท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำลายแมลงปรสิตตัวนั้นได้เลย ตราบใดที่มันยังอยู่ในร่างกายของนาง แมลงนั่นก็จะยังกัดกินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ดังนั้นการรักษาใด ๆ ก็สามารถทำได้เพียงแค่ยื้อเวลา และไม่สามารถป้องกันไม่ให้จือฮัวนู๋ต้องพบจุดจบได้

การยื้อเวลาเช่นนี้ยังทำให้นางต้องเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

เสียงกรีดร้องของจือฮัวนู๋ดังไปไกลถึงหลายลี้จนทำให้เผ่าปักษาที่อยู่ไกลออกไปต่างหวาดผวา

แม้แต่กุยซานฉางชิงกับอิงอิงก็ยังตัวสั่นด้วยความสะพรึง พวกเขาต่างกลัวว่านายท่านชิงเฮิ่นจะส่งแมลงปรสิตเข้าไปในร่างกายของตัวเองด้วย

ทว่าทันทีที่คิดเช่นนั้น ทั้งสองก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรแล้ว ด้วยระดับความแข็งแกร่งแล้ว เขาจะต้องจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดายเป็นแน่

เยี่ยเสิ่นหยางเองก็กระวนกระวายใจเช่นกัน

ไม่ใช่แค่เพราะว่าอาจารย์ของจือฮัวนู๋คนนี้มีสถานะสูงส่งในนิกายของเขาเอง แต่เขายังหลงรักนางด้วย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังทรมานกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสและตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ เขาจึงได้แต่ตะโกนขึ้น “หยุดนะ ! หยุดไอ้ปรสิตนั่นและเอามันออกมาได้แล้ว ข้ายินดีจะสาบานด้วยเกียรติของตัวเองว่าพวกเรายินยอมจะถอยออกไปจากการสำรวจนี้ในทันที ! ทุกอย่างที่เจ้าเจอที่นี่จะเป็นของเจ้าทั้งหมด !”

ซูเฉินขมวดคิ้ว “คำสาบานของท่านไม่มีค่าแม้แต่น้อยสำหรับข้า ท่านอยากให้ข้าปล่อยนางไปหรือ ? ได้สิ ไปให้พ้นจากที่นี่ซะและให้จือฮัวนู๋เป็นลูกสมุนของข้า เมื่อข้าใช้งานนางเสร็จแล้ว จะคืนนางให้กับท่านเอง”

“ไม่มีทาง !”

“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะเลือกได้” ซูเฉินตอกกลับอย่างเยือกเย็น

เยี่ยเสิ่นหยางตะลึง

ในตอนนั้นเอง จือฮัวนู๋พลันพูดขึ้น “หยาง อย่าไปฟังเขา คนคนนี้น่ารังเกียจนัก ต่อให้เจ้ายอมทำตามคำสั่ง เขาก็ไม่ไว้ชีวิตข้าหรอก ทว่าเผ่าปักษาน่ะเคยกลัวตายที่ไหนกัน ต่อให้ข้าตายไป ข้าก็จะต้องเอาไอ้บัดซบนี่ไปลงนรกกับข้าด้วย ! หยาง… อย่าลืมแก้แค้นให้ข้าด้วย !”

ทั้งร่างของจือฮัวนู๋ลุกเป็นไฟขณะที่นางกล่าวขึ้นด้วยความเคียดแค้น

คราวนี้นางกำลังจุดไฟเผาร่างตัวเอง.. .จือฮัวนู๋ยอมตายเสียดีกว่าที่จะให้ซูเฉินจับตัวนางไว้ !

“ชิงหง !” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคิดจะฆ่าตัวตาย เยี่ยเสิ่นหยางก็ร้องขึ้นด้วยความโศกเศร้า

ซูเฉินพูดเหยียด “เจ้านี่เด็ดขาดทีเดียวนะ โชคไม่ดีที่เจ้ายังไม่ได้ฆ่าตัวเองให้ตายไปอย่างแท้จริง”

คนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องนี้ แต่ซูเฉินรู้ชัดว่าจือฮัวนู๋ได้รับการปกป้องจากวิชาอาร์คาน่าในตำนาน นางทิ้งส่วนหนึ่งของร่างกายเอาไว้กับนิกายแห่งแม่พระ หากนางถูกสังหาร จือฮัวนู๋ก็จะสามารถคืนชีพกลับมาหากวิญญาณของนางกลับไปยังร่างกายส่วนนั้นได้

แน่นอนว่าราคาของวิชาอาร์คาน่าประเภทคืนชีพนั้นมหาศาลนัก ความแข็งแกร่งของนางจะลดลงอย่างยิ่งยวด และนั่นแปลว่าวิชานี้จะถูกใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งในช่วงชีวิตหนึ่งเท่านั้น

สิ่งนี่เองที่เป็นแผนการหลบหนีของจือฮัวนู๋ และเพราะว่าราคาของมันสูงเหลือเกิน ที่ผ่านมานี้นางจึงไม่อยากจะใช้มัน

ทว่าในตอนนี้ จือฮัวนู๋ไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องใช้วิชาเพื่อหนีไปจากการควบคุมของฝ่ายตรงข้าม

แย่หน่อยที่คู่ต่อสู้ของนางในวันนี้เป็นซูเฉิน

พลังจิตของเขานั้นเรียกได้ว่าไม่มีใครเทียบได้

นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็ยังสามารถฝ่าอุปสรรคมากมายมาได้ด้วยพลังจิตที่ได้รับมาจากหลี่ต้าวหง รวมถึงยังได้ความรู้จากห้องหนังสือของอวี้ชิงหลานมามากด้วย

ในทะเลความรู้นั้นมีวิชาอาร์คาน่าที่สามารถหยั่งรู้หยินหยาง และควบคุมพลังจิตของคนอื่นได้

ด้วยวิชานี้ ซูเฉินจึงสามารถเชื่อมจิตวิญญาณของจือฮัวนู๋ได้ในพริบตาเดียวเท่านั้น

“คิดจะหนีหรือ เจ้าอยู่นิ่ง ๆ ดีกว่าน่า” ชายหนุ่มคว้าจิตวิญญาณของจือฮัวนู๋เอาไว้ด้วยมือ

แต่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้วิชานี้ ซูเฉินจึงยังไม่คุ้นเคยกับมัน มือที่คว้าออกไปทำให้จิตวิญญาณของจือฮัวนู๋แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในทันใด

“ไม่นะ !”

เยี่ยเสิ่นหยางปวดใจเหลือเกิน