ภาคที่ 5 บทที่ 114 ศิษย์นิกายแห่งแม่พระ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 114 ศิษย์นิกายแห่งแม่พระ

“อ๊ะ……”

ซูเฉินมองไปที่มือของตัวเองแล้วก็พูดไม่ออก

แม้ว่าวิชาของเขาจะมาจากผลึกวิญญาณ แต่ความจำกล้ามเนื้อของเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน ดังนั้นในฐานะมือใหม่ เหตุการณ์ที่เกิดผิดพลาดเพราะยังขาดความชำนาญนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ทว่าความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นนั้นก็อาจส่งผลที่รุนแรงก็ย่อมได้เช่นกัน

ทั้ง ๆ ที่มีตัวประกันซึ่งมีสภาพสมบูรณ์ทุกประการแท้ ๆ แต่กลับเสียไปง่าย ๆ ทั้งอย่างนี้

“ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างเจ้าแล้วละนะ” ซูเฉินถอนใจ

เยี่ยเสิ่นหยางได้ยินดังขึ้นก็เดือดดาลทันที เขาร้องขึ้นโดยรอช้า “ชิงเฮิ่น ! แกต้องตาย !”

เมื่อเสียงของเยี่ยเสิ่นหยางดังก้องขึ้น ชาวนิกายแห่งแม่พระพร้อมกับลูกสมุนของหลี่ต้าวหงก็พุ่งตัวเข้าใส่ซูเฉินอย่างพร้อมเพรียงกันในทันใด

คลื่นมหาชนชาวปักษามันมโหฬารยิ่งนักจนแม้แต่อิงอิงก็ยังต้องปิดตาด้วยความหวาดกลัว แม้จะเชื่อว่านายท่านชิงเฮิ่นเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ได้ไม่นานมานี้ แต่เด็กสาวก็ไม่คิดว่าเขาจะต้านทานการโจมตีจากฝูงชนพวกนี้ได้แน่

และนางก็ไม่ได้คิดผิดเท่าใดนัก

หากซูเฉินเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 จริง ๆ เขาจะมีพลังที่สามารถต่อกรกับปรมาจารย์เหล่านี้ได้จริง ๆ

แต่ซูเฉินไม่ได้เป็นแค่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7

เขายังเป็นมนุษย์ผู้ฝึกตนด่านสู่พิสารอีกด้วย

และที่สำคัญที่สุดก็คือ… ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องต่อกรกับพวกเขาโดยตรง !

ขณะที่กวาดสายตามองเผ่าปักษาที่พุ่งเข้ามายังทิศทางที่ตัวเขายืนอยู่ ซูเฉินก็หัวเราะเบา ๆ และกล่าวขึ้น “เอาเถอะ ข้าจะพูดอะไรอีกก็คงไม่มีประโยชน์อยู่ดี แต่ขอบคุณจริง ๆ ที่ข้าไม่ได้หวังไว้มากนักกับหญิงที่จะทรยศข้า… ถ้าข้าทำแบบนั้นคงจะน่าขันอยู่เหมือนกัน”

“นี่… เจ้ามีเคล็ดวิชาอะไรที่ซุกซ่อนเอาไว้อีกล่ะ ?” เยี่ยเสิ่นหยางตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดพร้อมกับยิงศรเข้าใส่ซูเฉิน

เยี่ยเสิ่นหยางเป็น ‘นักแม่นธนูเหนือเสียง’ ที่มากความสามารถยิ่งนักในบรรดามือธนูปักษาซึ่งติดอันดับ

กลุ่มนักแม่นธนูเหนือเสียงเป็นที่รู้จักในชื่อนี้ก็เพราะลูกศรของพวกเขาเคลื่อนที่ได้ไวยิ่งกว่าความเร็วเสียง ศรเหล่านั้นทรงพลังอยู่แล้วตามธรรมชาติของมันและยากนักที่จะต้านทานได้

ศรของเยี่ยเสิ่นหยางทะยานไปในอากาศ เมื่อมันเข้าประชิดที่หน้าซูเฉินแล้วจึงส่งเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น

เสียงกึกก้องที่ว่านั้นดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงปล่อยสายธนูในทุก ๆ ครั้ง

ศรนั้นจะทะลวงร่างของเป้าหมายโดยที่พวกเขายังไม่ทันได้ยินเสียงนั้นเลยด้วยซ้ำ

ปัง !

ซูเฉินถูกศรนั้นปักเข้าจนเกิดเป็นประกายไฟสว่างจ้า

แม้แต่ทั้งซูเฉินก็ยังไม่สามารถหลบศรนี้ได้ทัน

แต่ก็เป็นโชคดีแล้ว ด้วยแม้จะหลบศรที่ว่องไวไปไม่ได้ แต่ชายหนุ่มก็สามารถลบล้างมันได้

เกราะป้องกันส่องประกายอยู่รอบตัวซูเฉินมาตั้งแต่ที่เยี่ยเสิ่นหยางยังไม่ยิงศรนั้นด้วยซ้ำ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอาคมอาร์คาน่าระดับ 4 แต่พลังของเกราะป้องกันก็มากพอที่จะหยุดศรที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อนั้นได้ แต่ถึงอย่างนั้น สนามพลังของลูกศรนั้นยังคงพุ่งต่อไปและปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มส่งเขาให้เสียหลักถอยหลังไปเล็กน้อย

ซูเฉินเซไปมาในอากาศเล็กน้อยก่อนที่จะทรงตัวได้อีกครั้ง “ทรงพลังยิ่งนัก”

ชายหนุ่มหัวเราะ

เขาหันไปมองเกราะป้องกันและพบว่ามันถูกทำลายลงเสียแล้ว

เกราะป้องกันธรรมดา ๆ สามารถต้านทานศรนับร้อยดอกไว้ได้ก่อนที่มันจะพังลง แต่ศรเพียงดอกเดียวของเยี่ยเสิ่นหยางกลับทะลวงมันได้

เยี่ยเสิ่นหยางโจมตีอีกครั้ง และคราวนี้เขายิงศรออกมาถึงสามดอกพร้อมกัน

เผ่าปักษาอีกคน รวมถึงปรมาจารย์คนอื่น ๆ ต่างก็โจมตีด้วยเช่นกัน พลังต้นกำเนิดที่แสนแข็งแกร่งหลั่งไหลไปทั่วฟ้ารวมถึงซูเฉินด้วย

ทว่าการโต้ตอบของซูเฉินต่อฝ่ายตรงข้ามนั้นเรียบง่ายยิ่งนัก

เขาใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายในทันทีและหายตัวไปก่อนจะปรากฏขึ้นอีกครั้งไกลออกไปเกือบครึ่งจั้ง

“คราวนี้สนามใหญ่พอแล้วละ !” ซูเฉินหัวเราะ “แต่ข้าก็บอกท่านแล้วว่าข้าไม่ได้คิดจะพึ่งพาหญิงคนนั้นเพื่อจัดการกับพวกท่าน นางเป็นเพียงแค่ตัวอย่างสำหรับการทดลอง และเป็นอาหารของแมลงปรสิตของข้า ดูเหมือนว่าการทดลองของข้าจะสำเร็จแล้วสินะ”

ซูเฉินกล่าวไปพร้อมกับที่แมลงประหลาดตัวหนึ่งก็กัดทะลุร่างไร้วิญญาณของจือฮัวนู๋ออกมา

มันคือปรสิตจอมตะกละอย่างที่ชื่อบ่งบอกจริง ๆ เพลิงอันทรงพลังของจือฮัวนู๋ไม่สามารถทำอันตรายกับมันได้เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วมันถูกจุดขึ้นจากร่างของนางและยังคงลุกโชนเป็นสีแดงฉาน รวมถึงขยายขนาดใหญ่ขึ้นอีกด้วย

ทันทีที่ปรสิตนั้นปรากฏกายขึ้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เผ่าปักษาทั้งหมดร่อนลงบนพื้นพอดี ทำให้ถึงแม้ซูเฉินหลบหลีกการโจมตีนั้นได้ ทว่าเจ้าปรสิตกลับเคลื่อนไหวไม่ทัน ร่างของมันจึงปะทะเข้ากับระเบิดอย่างจัง

แม้จะเป็นเช่นนั้นปรสิตจอมตะกละกลับไม่ได้รับบาดเจ็บจากแรงปะทะนั้นแต่อย่างใด มันกลับส่งเสียงร้องขึ้นด้วยความตื่นเต้นเสียอย่างนั้น

“นี่มันตัวบ้าอะไรกัน !” สีหน้าของทุกคนดูบิดเบี้ยวไป

“ข้าบอกพวกท่านแล้ว มันเป็นปรสิตไง !” ซูเฉินชี้ไปยังหนึ่งในเผ่าปักษาที่ตรงหน้าเขา แล้วแมลงปรสิตก็มุ่งหน้าไปที่คนคนนั้นโดยไม่รอช้า

เผ่าปักษาคนนี้เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 6 และพลังของเขาแข็งแกร่งทีเดียว อีกทั้งทักษะในการต่อสู้ของปักษาหนุ่มยังหนักแน่นมั่นคงยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าปรสิตจอมตะกละกำลังพุ่งตรงมาหาตัวเอง เขาก็สร้างเกราะกำบังให้กับตัวเองในทันที

ปรสิตของซูเฉินกระโจนขึ้นไปบนร่างของปักษาตนนั้นและกัดกินเกราะกำบังของเขาได้อย่างง่ายดายราวกับว่าเป็นอาหารอย่างไรอย่างนั้น หลังจากกัดกินไปเพียงไม่กี่ครั้ง ชิ้นส่วนขนาดใหญ่ก็แหว่งไปจากเกราะกำบังแล้ว ไม่กี่วินาทีต่อมา ปรสิตร้ายก็หาทางเข้าไปในร่างของปรมาจารย์อาร์คาน่าและเริ่มกัดกินเขาเข้าไปด้วย

“หยุด ! หยุดเดี๋ยวนี้ !” ปรมาจารย์อาร์คาน่าร้องขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทว่าปรสิตจอมตะกละก็ยังคงเคี้ยวชิ้นส่วนอวัยวะของเขาอย่างต่อเนื่อง การโจมตีของมันไม่ได้มีพลังมากมายเลยด้วยซ้ำ แต่ภูมิคุ้นกันต่อธาตุต่าง ๆ ของมันทำให้ปรมาจารย์อาร์คาน่าไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลย …ไม่ว่าจะพยายามเท่าไรก็ตาม

การโจมตีที่ไม่ได้ผลนั้นนอกจากจะทำให้เจ็บปวดและเสียหายมากขึ้นแล้ว ปรมาจารย์อาร์น่าผู้นั้นก็ยังได้แต่ถูกกินทั้งเป็นและทำได้เพียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัวเท่านั้น

“นี่มันตัวบ้าอะไรกัน” หลี่ต้าวหงตกตะลึง

เยี่ยเสิ่นหยางมองตาขวางใส่ซูเฉิน “นี่น่ะเหรอไพ่ตายที่เจ้าเตรียมไว้ ?”

“เปล่าเลย” ชายหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “นี่แค่เรียกน้ำย่อยเท่านั้น จานหลักน่ะ…”

เขาหันหน้าไป “อยู่นี่แล้ว”

เผ่าปักษาอีกกลุ่มกำลังบินมาจากทางที่เขามองไป

เมื่อหลี่ต้าวหงเห็นว่าผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นใคร ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ตงชิงหมิง !”

ตงชิงหมิงคือชายที่ปะทะกับเขาในระหว่างการต่อสู้ในปราสาทแสงต้นกำเนิด

เขามาที่นี่แล้วจริง ๆ!

ไม่เพียงเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อจัดการกับหลี่ต้าวหงอีกด้วย

และนั่นก็เพราะก่อนที่เขาจะมาถึงตงชิงหมิงก็เริ่มส่งเสียงดังมาแต่ไกลแล้วว่า “หลี่ต้าวหง ไอ้สารเลว ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ ! ฮ่า ๆๆ!”

เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

ตงชิงหมิงรู้ได้อย่างไรว่าเขาควรจะต้องปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ !!

หลี่ต้าวหงนึกบางอย่างขึ้นได้ขณะที่รวบรวมสติกลับมา เขาหันไปหาซูเฉิน “เจ้าบอกเขาหรือ ?”

“คิดซะว่าเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ

หลี่ต้าวหงอึ้ง

เผ่าปักษาคนนี้เป็นใครกัน ?

ทำไมเผ่าปักษาคนนี้ถึงรู้เรื่องความขัดแย้งในอดีตกับตงชิงหมิงด้วย แล้วเขาเตรียมการเรื่องนี้ไว้ได้อย่างไรกัน ?

….การเลือกใช้ตงชิงหมิงเพื่อจัดการกับเขานั้นเป็นความคิดที่อัจฉริยะเลยก็ว่าได้

ตงชิงหมิงยังไม่สามารถเป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ที่ผ่านมาของพวกเขา ดังนั้นความคับแค้นใจที่มีต้องหลี่ต้าวหงจึงฝังลึกยิ่งนัก

ทันทีที่เขาได้ยินข่าวลือว่าหลี่ต้าวหงอาจปรากฏกายที่นี่ เขาก็ตัดสินใจได้ในทันใดว่าจะมาเอาเรื่องตัวปัญหาคนนี้ให้ได้

“ตงชิงหมิง ท่านมาทำไรอะไรที่นี่ ?” เยี่ยเสิ่นหยางตะลึง

ฝ่ายตงชิงหมิงหัวเราะลั่น “ข้าก็มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับหลี่ต้าวหงยังไงล่ะ เยี่ยเสิ่นหยาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ไว้ชีวิตหลี่ต้าวหงแน่นอน”

เขากล่าวขึ้นพร้อมกับเหวี่ยงแขนออกไป ลูกสมุนมากมายมุ่งหน้าเข้าใส่หลี่ต้าวหงราวกับคลื่นยักษ์

เพราะว่าพวกเขาเคยโจมตีกันและกันมาก่อนแล้ว ตงชิงหมิงจึงรู้ถึงความสามารถของหลี่ต้าวหงเป็นอย่างดี และครั้งนี้เขาก็มาเพื่อเอาคืน โดยครั้งนี้เขามาพร้อมกับปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมากมายที่ในตอนนี้กำลังล้อมรอบหลี่ต้าวหงกับลูกสมุนนับพันคนของเขาไว้จากทุกทิศทาง

เยี่ยเสิ่นหยางมองซูเฉินตาแข็งด้วยความเดือดดาล “เจ้า…”

“อย่าห่วงไปเลย ข้ามีของขวัญมาให้ท่านด้วยเช่นกัน” ซูเฉินหัวเราะอีกครั้ง

อะไรกัน ?

เผ่าปักษาคนนี้ไม่ได้เตรียมของขวัญไว้ให้กับหลี่ต้าวหงเพียงคนเดียว แต่ยังมีบางอย่างให้เขาด้วยอย่างนั้นหรือ ?!

เยี่ยเสิ่นหยางทึ่ง

ชายหนุ่มกลับหลังหันและตอบกลับ “นี่ ซ่อนตัวกันแบบนั้นต่อไปมันเหมาะสมแล้วหรือ ?”

สิ้นคำนั้น เผ่าปักษากลุ่มใหญ่ก็ค่อย ๆ ปรากฏกายขึ้น ที่ด้านหน้าสุดนั้นเป็นชายแก่ร่างสูงที่สวมหมวกปลายแหลมและมือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือ

ชายชราดูเหมือนจะไม่สะท้านต่อการเปิดเผยความจริงของซูเฉินแต่อย่างใด เขากลับยิ้มและพูดขึ้น “นายท่านชิงเฮิ่นช่างน่าทึ่งยิ่งนัก ท่านสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายและยังใช้พวกข้าเพื่อจัดการกับปัญหาของตัวเองอีก ข้า อี่หนี่เก้อ นับถือในความสามารถของท่านจริง ๆ!”

“อี่หนี่เก้อหรือ ?!” เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าของเยี่ยเสิ่นหยางก็หมองลงทันตา “นายท่ายชิงเฮิ่นร่วมมือกับมือแห่งโชคชะตาอย่างนั้นหรือ ?”

อี่หนี่เก้อเป็นปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งยิ่งนักในบรรดาปรมาจารย์มือแห่งโชคชะตาด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นอาชญากรผู้เป็นที่ต้องการตัวที่สุดลำดับที่เก้าในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ

แน่นอนว่านี่หมายความว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งลำดับที่เก้าของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆด้วยเช่นกัน

ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของอี่หนี่เก้อไม่ใช่พลังกายของเขาแต่อย่างใด มันกลับเป็นความสามารถในการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น

มือแห่งโชคชะตามีสำนักสำหรับฝึกเด็กรุ่นใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า สถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณ พวกเขาจะรับเฉพาะเผ่าปักษาที่ยากจนและไม่มีอนาคตเข้ามาในสำนักนี้เท่านั้น และผู้นำของสำนักก็คืออี่หนี่เก้อเอง

สถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณนั้นเป็นที่ที่มือแห่งโชคชะตาฝึกกองกำลังในอนาคตของพวกเขาและอี่หนี่เก้อก็เป็นผู้รับผิดชอบในการล้างสมองของพวกและควบคุมทิศทางชีวิตของพวกเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนมากมายของมือแห่งโชคชะตาจึงเรียนรู้ภายใต้การดูแลของอี่หนี่เก้อ สถานะในสำนักของเขาจึงค่อนข้างชัดเจนทีเดียว

ดังนั้นเขาจึงถือว่าเป็นนักปราชญ์สำหรับสมาชิกของมือแห่งโชคชะตา

ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลมือแห่งโชคชะตาโดยตรง ทว่าแม้แต่เจ้าสำนักเองก็ยังแสดงความเคารพต่ออี่หนี่เก้อและนับถือเขาเป็นอาจารย์อีกด้วย

แน่นอนว่าอี่หนี่เก้อเองก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ซึ่งหมายความว่าเป็นผู้ที่ทรงพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นสูงด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน

ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินนั้นเป็นด่านระดับราชาแล้ว ดังนั้นอี่หนี่เก้อจึงถือว่าเป็นราชาแห่งอาร์คาน่าเลยก็ว่าได้

ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ณ ที่แห่งนี้น่าจะเป็นปรมาจารย์ทั้งสองที่หลี่ต้าวหงกับเยี่ยเสิ่นหยางพามาด้วย หลี่ต้าวหงได้รับการคุ้มกันจากผู้ฝึกด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน ในขณะที่เยี่ยเสิ่นหยางก็ได้รับการคุ้มกันจากปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับแปด ทั้งคู่ตั้งใจพาทั้งสองมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยขณะเดินทางในดินแดนลับแห่งนี้นั่นเอง

แต่ถึงอย่างนั้น แค่เพียงการปรากฏตัวของอี่หนี่เก้อก็พลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว ไม่มีใครที่แข็งแกร่งไปกว่าเขาในด้านการฝึกอีก

เรื่องนี้คงไม่เป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด เพราะหลี่ต้าวหงกับเยี่ยเสิ่นหยางต่างก็แข็งแกร่งอยู่แล้วและยังพาลูกสมุนมาด้วยจำนวนมาก นักรบผู้เสียสละของหลี่ต้าวหง กับหอกทหารเทพราตรีของเยี่ยเสิ่นหยางนั้นล้วนเป็นนักสู้ที่ดุร้ายและไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย …หากพวกเขาไม่ได้สนใจสิ่งที่จะต้องเสียไป หลี่ต้าวหงกับเยี่ยเสิ่นหยางคงถูกสังหารโดยนักปราชญ์ของมือแห่งโชคชะตาไปแล้ว

แต่การปรากฏตัวของตงชิงหมิงก็ถือเป็นการตรึงพลังพรรคพวกของหลี่ต้าวหงได้เป็นอย่างดี และนั่นหมายความว่าเยี่ยเสิ่นหยางก็จะต้องจัดการกับอี่หนี่เก้อด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก ! อย่างไรแล้วอี่หนี่เก้อก็ไม่ได้มาเพียงคนเดียว ข้างกายเขายังมีนักรบที่ดุดันอีกกลุ่มใหญ่อยู่ด้วย

และสิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุให้สีหน้าของเยี่ยเสิ่นหยางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่ออี่หนี่เก้อปรากฏกายขึ้น เขาเริ่มส่งเสียงเอะอะ “ตงชิงหมิง ทำไมเจ้าถึงยังยึดติดอยู่กับความขัดแย้งส่วนตัวในช่วงเวลาแบบนี้อีกกัน ? ช่วยข้าจัดการกับคนของมือแห่งโชคชะตาคนนี้ก่อน จากนั้นเจ้ากับหลี่ต้าวหงค่อยไปต่อสู้กัน”

“ข้าคงทำหรอกนะ” ตงชิงหมิงตะโกนตอบกลับไปอย่างหยาบคาย “อย่าได้คิดว่าข้าจะไม่รู้ ว่าเจ้ากับหลี่ต้าวหงน่ะลงเรือลำเดียวกันมา สาเหตุเดียวที่ข้าสามารถเอาชนะหลี่ต้าวหงได้ในตอนนี้โดยไม่มีการแทรกแซงจากเจ้าก็เพราะเจ้ามัววุ่นวายอยู่กับมือแห่งโชคชะตา ถ้าข้าช่วยเจ้าจัดการกับพวกนั้น เจ้าก็จะเป็นคนแรกที่โจมตีข้า !”

“ถ้าพวกเราแพ้ สถานการณ์ของเจ้าเองก็จะไม่ดีนักเช่นกัน” เยี่ยเสิ่นหยางกล่าวอย่างไม่พอใจ

จู่ ๆ ตงชิงหมิงก็หัวเราะขึ้นดังลั่น “ลืมมันซะเถอะ เยี่ยเสิ่นหยาง อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ว่าไพ่ตายของเจ้าคืออะไร แม้แต่อี่หนี่เก้อก็ยังทำอะไรได้ลำบากนักตราบใดที่เจ้ายังมีมันในครอบครอง เจ้าไม่ได้ดูอ่อนแออย่างที่อย่างที่กำลังแสร้งทำหรอกนะ”

เยี่ยเสิ่นหยางร้องขึ้นด้วยความร้อนใจ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร”

จู่ ๆ ซูเฉินก็แทรกตัวเองเข้ามาในบทสนทนาโดยไม่มีใครคาดคิด “เขากำลังพูดถึงขนนกสวรรค์ไงล่ะ อ้อ ข้าว่าท่านต้องใช้ขนนกนั่นในการปลดล็อคความลับที่แท้จริงของดินแดนแห่งนี้นะ”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ !” ทุกคนหัวมามองซูเฉินเป็นตาเดียวด้วยความตกตะลึง