ภาคที่ 5 บทที่ 115 สรวงสวรรค์นำทาง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 115 สรวงสวรรค์นำทาง

ทุกเผ่าต่างก็มีไพ่ตายที่แตกต่างกันออกไป ชาวมนุษย์มีเทียนไขชีวิตและชนเผ่าคนเถื่อนก็มีโทเทมแห่งธาตุ ดังนั้นเผ่าปักษาก็ต้องมีด้วย…

และขนนกสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งของเหล่านั้น

ขนนกสวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาได้รับมาจากพระแม่ ซึ่งเป็นขนที่มาจากปีกของนางโดยตรงเลยนั่นเอง

ขนนกสวรรค์มีรังสีพลังอันศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง ขนนกนี้จะให้พรและความแข็งแกร่งแก่ผู้ใช้งาน มันจึงถือเป็นอาวุธที่ล้ำค่านักในการต่อสู้

และนิกายแห่งแม่พระก็มีหน้าที่ในการปกปักรักษามัน

พระแม่ได้มอบขนนกนี้ให้กับผู้ติดตามของนางทั้งหมดหกเส้น หลายปีหลังจากนั้น ขนนกสี่เส้นสูญหายและถูกทำลายไป ดังนั้นในตอนนี้เผ่าปักษาจึงมีขนนกเหลือเพียงสามเส้นเท่านั้น

และเยี่ยเสิ่นหยางก็มีขนนกในครอบครองอยู่เส้นหนึ่ง

แต่เขาก็ต้องประหลาดใจทันทีที่ได้ยินว่าชิงเฮิ่นรู้เรื่องนี้

นอกจากนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็ยังพูดถึงการเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างขนนกสวรรค์กับธรรมชาติที่แท้จริงของดินแดนลับแห่งนี้อีกด้วย

เขาพลันนึกขึ้นได้ถึงตำนานเรื่องหนึ่ง และเมื่อคิดเช่นนั้นแล้วสีหน้าของปักษาหนุ่มก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “ตำนานพวกนั้นเป็นจริงหรือนี่ หนึ่งในขนนกที่สูญหายไปอยู่ในครอบครองของอวี้ชิงหลานอย่างนั้นหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะตอบกลับไป “ถูกต้องแล้ว”

เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายนั้นแล้ว เยี่ยเสิ่นหยางก็ร้องขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน !”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรมันไม่สำคัญหรอก ถ้าท่านไม่เชื่อข้า ก็เชิญทดลองดูเองได้ตามสบาย ใช่ไหมล่ะอี่หนี่เก้อ” ซูเฉินหันไปมอง

ฝ่ายอี่หนี่เก้อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ถอนใจ

เดิมทีนั้นเขามีความคิดที่จะหยุดการต่อสู้ตรงหน้าเมื่อได้ยินเกี่ยวกับขนนกสวรรค์

อย่างไรแล้ววัตถุที่ตกทอดมาจากยุคโบราณนั้นมักทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ทว่าอี่หนี่เก้อเป็นเพียงนักปราชญ์เท่านั้น… ไม่ใช่นักรบแต่อย่างใด แม้จะมีพลังที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ได้กล้าหาญชาญชัยถึงเพียงนั้น เขาพอใจที่จะมีเรื่องกับคนที่อ่อนแอกว่าและไม่ต้องการเลยที่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้

เมื่อได้ยินว่าดินแดนลับของอวี้ชิงหลานมีขนนกสวรรค์และเยี่ยเสิ่นหยางก็ยังเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดเผยความลับของดินแดนลับแห่งนี้ ความโลภในจิตใจของเขาก็เริ่มทำงานในทันที

และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากฟังคำของชิงเฮิ่นเท่านั้น

อี่หนี่เก้อยังรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เยี่ยเสิ่นหยางกล่าวถึงอีกด้วย ด้วยความที่เขาเป็นนักปราชญ์ ความรู้ที่มีจึงกว้างขวางมากทีเดียว

ถึงแม้ว่าอวี้ชิงหลานผู้สร้างดินแดนแห่งนี้ขึ้นนั้นจะไม่ใช่ศิษย์ของนิกายแห่งแม่พระ แต่เขาก็ใกล้ชิดสนิทสนมกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งของนิกาย นอกจากนั้นแล้ว ก่อนที่ขนนกที่ว่าจะสูญหายไป บุคคลสำคัญคนนั้นคือคนสุดท้ายที่เก็บมันไว้ในครอบครองอีกด้วย

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งสองประเด็นนี้แล้ว หากอี่หนี่เก้อไม่เข้าใจว่าชิงเฮิ่นกำลังใช้อุบายอะไร เขาคงไม่ต่างอะไรไปจากคนเขลาคนหนึ่งเท่านั้น

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าชิงเฮิ่นรู้วิธีการที่จะเปิดดินแดนลับของอวี้ชิงหลานแห่งนี้มานานแล้ว แต่เขายังไม่มั่นใจมากพอที่จะลงมือทำมันเพียงคนเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงเลือกที่จะพึ่งพาอี่หนี่เก้อและอาศัยเขาเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาแทน

แต่เขารู้ความลับพวกนั้นได้อย่างไรกัน ?

เขารู้ได้อย่างไรว่าเยี่ยเสิ่นหยางจะนำขนนกสวรรค์ติดตัวมาด้วย ?

ทำไมชายหนุ่มนั่นถึงได้มั่นใจเหลือเกินว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ ?

หากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะอุบายของชิงเฮิ่น นั่นคงไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

อุบายทั้งหลายนั้นเป็นไปตามการคาดเดาใจและหลักการของพฤติกรรมมนุษย์ ต่อให้คาดเดาทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง แผนการทั้งหมดที่ถูกวางไว้โดยมีพื้นฐานมาจากการสมมติฐานอื่น ๆ ก็มาจากการคาดเดาโดยไม่มีมูลใด ๆ อยู่ดี

การปรากฏตัวของหลี่ต้าวหง รวมถึงการพูดถึงขนนกสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องที่จะคาดการณ์และวางแผนไว้ได้

หรือว่าแท้จริงแล้วชิงเฮิ่นคนนี้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ในนิกายแห่งแม่พระ เขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังบททดสอบทั้งหมดนี่อย่างนั้นหรือ ?!

คงไม่มีคำอธิบายอื่น ๆ ที่จะเป็นไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว !

แม้แต่เยี่ยเสิ่นหยางเองก็ดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงความประหลาดของสถานการณ์ในตอนนี้เช่นกัน

การคำนวณของฝ่ายตรงข้ามช่างแม่นยำเหลือเกิน เป็นการคาดการณ์ที่เหนือไปกว่าความสามารถของสติปัญญาจะทำได้เสียด้วยซ้ำ ไม่แปลกเลยที่เยี่ยเสิ่นหยางจะเริ่มสงสัยว่าชิงเฮิ่นเป็นเผ่าปักษาที่ทรงอำนาจและพลัง

หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ของเขาซึ่งเป็นเผ่าปักษาที่ตนไว้ใจมากที่สุดเป็นคนมอบขนนกสวรรค์ให้ด้วยตัวเอง เยี่ยเสิ่นหยางอาจมีความคิดสงสัยว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้เป็นอาจารย์ของเขาก็ได้ !

ซูเฉินไม่มีทางเปิดเผยอย่างแน่นอนว่าเขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร

การคาดการณ์ทั้งหมดนี้ไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยการวางแผนเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากการโกง…

อันที่จริงแล้ว ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดให้เบาะแสกับเขาได้เพียงจำนวนจำกัดเท่านั้น แผนที่เหลือทั้งหมดถูกปะติดปะต่อจากข้อมูลที่เขามีอยู่ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้ถูกประเคนมาให้ซูเฉินทั้งหมดเสียหน่อย

แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องอธิบายทุกอย่างกับคนอื่น ๆ การแสร้งว่าเป็นผู้รู้บ้างนั้นก็ไม่ใช่ความคิดที่แย่นัก

ซูเฉินไม่ได้พูดอะไรเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย

เมื่อสถานการณ์ดำเนินการจนถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นที่ชายหนุ่มจะต้องพูดหรืออธิบายใด ๆ อีก

ฝ่ายอี่หนี่เก้อถอนใจและพูดขึ้น “ต่อให้ข้ารู้ว่าเจ้าแค่ใช้ข้าเป็นเครื่องมือ เรื่องนั้นข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ท่านเยี่ยเสิ่นหยาง กรุณาเอาขนนกสวรรค์ออกมาด้วย ไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่เหมาะที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”

พูดจบอี่หนี่เก้อก็ฉีกหน้าหนังสือออกมา บนหน้านั้นมีรูปวาดของนกโหยวสุ่นสีทองอยู่

เขาไล่นิ้วผ่านหน้ากระดาษและจุดไฟให้ลุกขึ้น นกโหยวสุ่นโบยบินออกมาจากเปลวไฟนั้นก่อนจะส่งเสียงร้องดังก้องขึ้น ส่วนหน้าหนังสือนั้นกลับเป็นกระดาษที่ว่างเปล่าอีกครั้ง

รังสีที่เปล่งออกมานั้นทำให้รู้ได้ทันทีว่าอสูรกายตัวนี้มีพลังอย่างน้อยในระดับเจ้าอสูรกายเลยทีเดียว

ปรมาจารย์อาคาร์น่าระดับเก้านั้นช่างเหนือชั้นยิ่งนักที่ปล่อยเจ้าอสูรกายออกมาเป็นอย่างแรก

แต่ซูเฉินกับเยี่ยเสิ่นหยางดูเหมือนจะสนใจกับหนังสือในมือของอี่หนี่เก้อเสียมากกว่า

มันคือ ‘หนังสือหอคอยนิลกาฬ’ นั่นเอง !

‘หอคอยนิลกาฬ’ เป็นองค์กรปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ถูกสร้างขึ้นตามอิทธิพลของอาณาจักรอาร์คาน่า ชื่อเสียงของหอคอยนิลกาฬนั้นไม่แพ้องค์กรที่เป็นผู้สร้างวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเลย

หนังสือหอคอยนิลกาฬถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์อาร์คาน่านามว่าเหลยจี๋ลั่ว มันจึงเป็นหนังสือที่รู้จักกันในฐานะ ‘ตำราของเหลยจี๋ลั่ว’ ด้วยเหตุที่ว่าปรมาจารย์เหลยจี๋ลั่วรู้สึกถึงข้อจำกัดของวิชาอาร์คาน่า เขาจึงสร้างหนังสือหอคอยนิลกาฬขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาอักขระอาร์คาน่า โดยประโยชน์สูงสุดของหนังสือหอคอยนิลกาฬก็คือวิชาอาร์คาน่านั้นสามารถถูกฝังลงในหนังสือและใช้งานผ่านมันได้เลยนั่นเอง

การมีหนังสือนี้อยู่ในมือทำให้การใช้วิชาอาร์คาน่าง่ายดายขึ้นมาก แม้กระทั่งปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับล่าง ๆ ก็ยังสามารถใช้วิชาระดับสูงได้เพียงแค่มีหนังสือหอคอยนิลกาฬในครอบครอง

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งประดิษฐ์นี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งหรือสามารถปฏิวัติวงการได้อย่างที่เห็นกันในตอนแรกแต่อย่างใด

ชาวอาร์คาน่าต่างมองว่าการพึ่งพาเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อความแข็งแกร่งนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการวางเกวียนไว้หน้าม้า

พวกเขาต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่ต้องไม่ใช่การแข็งแกร่งด้วยอุปกรณ์เสริมพวกนั้น !

อุปกรณ์เสริมนั้นถูกสร้างขึ้นมากมาย หากเป้าหมายของมันคือทำหน้าที่เพื่อเพิ่มความแกร่งให้กับผู้คนแล้ว พวกเขาควรสร้างปืนใหญ่ขึ้นมาเสียจะยังดีกว่า

วิชาอาร์คาน่านั้นแสดงถึงความแข็งแกร่งโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ดังนั้นคนเราจะใช้อุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อเสริมพลังไปเพื่ออะไรกัน ?

ด้วยเหตุนี้ หนังสือหอคอยนิลกาฬจึงไม่ได้รับการยอมรับเท่าไรนัก อีกทั้งเหลยจี๋ลั่วเองก็ยังเสียชีวิตอย่าน่าสลดเพราะมันด้วย

แต่หนังสือเล่มนี้ก็ถูกส่งต่อกันมา และตกอยู่ในครอบครองของมือแห่งโชคชะตาในที่สุด

แม้ว่าสิ่งนี้จะดูเหมือนเป็นการขัดต่อหลักปรัชญาพื้นฐานของชาวอาร์คาน่าในการเพิ่มพลังของสิ่งมีชีวิต แต่พลังของหนังสือหอคอยนิลกาฬก็แข็งแกร่งอย่างปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ

นกโหยวสุ่นย้อมสีทองไปทั่วท้องฟ้า

แสงนั้นแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

และแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่แสงที่ทุกคนเห็นก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ ของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาเท่านั้น

อี่หนี่เก้อเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง และวิธีการโจมตีของเขาก็สะท้อนให้เห็นสถานะนั้นได้อย่างชัดเจน ไม่มีทางเลยที่คนอย่างเขาจะเริ่มโจมตีโดยการสังหาร

แสงสีทองอร่ามสาดส่องไปทั่วทุกทิศทางและอาบลงบนทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณใกล้เคียง

นั่นทำให้อะไรก็ตามที่สัมผัสกับแสงนั้นตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของมันในทันที

เยี่ยเสิ่นหยางโวยวาย “ใครจะไปสนนกโหยวสุ่นเพลิงตะวันนั่นกันล่ะ เจอกับ ‘ศรอาทิตย์ดับแสง’ ของข้าหน่อยเป็นไง !”

พูดจบปักษาหนุ่มก็ดึงสายธนูและปล่อยลูกศรออกไปโดยไม่รอช้า ปลายศรที่คมกริบราวกับใบมีดพุ่งแหวกอากาศออกไปด้วยความเร็วสูงทันที

นกโหยวสุ่น… ไม่ใช่สิ… นกโหยวสุ่นเพลิงตะวันพ่นไฟออกมาเป็นจำนวนมาก เปลวเพลิงนั้นทรงพลังจนสามารถหลอมโลหะให้ละลายได้ในพริบตา

ทว่าลูกศรที่เยี่ยเสิ่นหยางยิงออกมานั้นดูจะไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด ทั้งเพลิงกัลป์และลูกศรอันทรงพลังนั้นปะทะกันเต็มกำลัง ทว่าศรนั้นชะงักและถอยหลังไปเพียงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าใส่โหยวสุ่นเพลิงตะวันอีกครั้ง

อันที่จริงแล้วเยี่ยเสิ่นหยางเป็นฝ่ายได้เปรียบในการปะทะกันของอาวุธทั้งสอง

ไม่เพียงเท่านั้น ปักษาหนุ่มยังยิงศรออกไปอีกถึงสามดอกโดยทั้งหมดนั้นมีเป้าหมายคืออี่หนี่เก้อ เพียงเสี้ยววินาทีนั้น เยี่ยเสิ่นหยางก็เป็นเพียงฝ่ายเดียวที่โจมตีและกดคู่ต่อสู้เอาไว้ได้เสียแล้ว

ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ ซูเฉินกลับไม่มีทีท่าใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

อี่หนี่เก้อเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 แต่เขามีจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งก็คือการที่ไม่มีสัญชาตญาณในการต่อสู้เลยนั่นเอง

อี่หนี่เก้อนั้นเป็นนักปราชญ์ เขาผ่านการต่อสู้ที่ถึงตายเช่นนี้มาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หรืออาจจะไม่เคยเลยด้วยซ้ำไป…

ดังนั้นการโจมตีของปรมาจารย์นักปราชญ์จึงค่อนข้างจำกัด ทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นไปตามทฤษฎีและแข็งทื่อมากอีกด้วย

เหตุนี้เองที่ทำให้เขาปลดปล่อยเจ้าอสูรออกมาเป็นสิ่งแรก ด้วยพลังที่แข็งแกร่งในระดับนี้แล้ว อี่หนี่เก้อสามารถเรียกราชาอสูรกายออกมาได้โดยง่ายเสียด้วยซ้ำ

การที่อี่หนี่เก้อขาดประสบการณ์ในการต่อสู้นั้นเป็นอุปสรรคที่ใหญ่พอสมควรสำหรับเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเยี่ยเสิ่นหยางจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้

พลังที่แข็งแกร่งก็ยังคงเป็นพลังที่แข็งแกร่งอยู่วันยังค่ำ ต่อให้ผู้นั้นจะขาดประสบการณ์… ทว่าในการต่อสู้ก็ยังทำให้เด็กคนหนึ่งบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายอยู่ดี

อี่หนี่เก้อถอนใจเมื่อเห็นศรทั้งสามดอกของเยี่ยเสิ่นหยางพุ่งเข้ามาหาตัวเอง

เขาเปิดหนังสือขึ้นอีกหน้าหนึ่ง

ในหน้านี้มีรูปวาดของปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ถือคบไฟเอาไว้ในมือขวาและโล่อยู่ในมือซ้าย

ทันทีที่ปรมาจารย์นักปราชญ์เปิดหน้าหนังสือนั้นขึ้น ร่างของเขาก็เริ่มเปล่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ภาพเหตุการณ์ในตอนนี้ดูราวกับว่าอี่หนี่เก้อเป็นศิษย์ที่ได้รับพรอันยิ่งใหญ่จากพระแม่ ในขณะที่เยี่ยเสิ่นหยางดูไม่ต่างไปจากคนนอกรีตคนหนึ่งเท่านั้น

แสงที่น่าเลื่อมใสนั้นทำให้ลูกศรอันทรงพลังของเยี่ยเสิ่นหยางกลายเป็นไร้ค่าไปในทันที

อี่หรี่เก้อไม่ได้เปิดหนังสือต่ออีกแล้ว เขากลับโบกมือและเริ่มร่ายอะไรบางอย่างแทน แสงอันศักดิ์สิทธิ์ที่ห่อหุ้มร่างของเขาเริ่มเปล่งประกายสว่างจ้าและขยายรัศมีออกไปมากขึ้น ทุกคนที่มองดูอยู่ต่างรู้สึกว่าอยากจะก้มลงกราบไหว้บูชาอีกฝ่ายเหลือเกิน

เมื่อเห็นดังนั้นเยี่ยเสิ่นหยางก็ฉุนทันที “บาปหนักนัก ! นี่เจ้ากล้าดูหมิ่นพระแม่อย่างนั้นหรือ !”

วิชาอาร์คาน่านี้เป็นวิชาที่มีเอกลักษณ์ทีเดียว มันคือ ‘สรวงสวรรค์นำทาง’ !

‘สรวงสวรรค์นำทาง’ ถูกสร้างขึ้นเพราะอำนาจของอาณาจักรอาร์คาน่าเช่นเดียวกัน ในช่วงเวลาที่พวกเขามีความฝันจะเป็นเทพเจ้านั่นเอง

ทักษะนี้เป็นวิชาอาร์คาน่าในตำนานและยังทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย

อันที่จริงแล้ววิชานี้ถูกจัดอยู่ในวิชาพลังจิตอาร์คาน่า เมื่อใดก็ตามที่มีคนใช้มัน วิชาที่ว่านี้ก็จะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในบริเวณโดยรอบและทำให้รู้สึกอยากเทิดทูนและบูชา รวมถึงเป็นศิษย์ที่พร้อมจะติดตามตลอดไปราวกับว่าผู้นั้นเป็นเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ผู้ใช้วิชาจะซึมซับเอาความเชื่อของเป้าหมายและทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

วิชานี้เป็นเหมือนทักษะของสายเลือดตระกูลจูที่ทรงพลังกว่าอย่างไรอย่างนั้น

อีกทั้งยังเรียกได้ว่าเป็นวิชาที่ ‘ยอดเยี่ยม’ และเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าตระกูลจูจะสามารถควบคุมผู้อื่นได้ แต่ข้อจำกัดหลาย ๆ อย่างของสายเลือดก็ทำให้พวกเขาไม่ใช่ตระกูลที่ไร้เทียมทาน ซึ่งตระกูลหลี่และผีเสื้อลวงตระกูลจินก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน

แต่ ‘สรวงสวรรค์นำทาง’ นั้นสามารถแผ่รังสีกินระยะรัศมีออกไปได้อย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตแทบจะทุกชนิดเลยทีเดียว

เหตุนี้เองที่ทำให้มันเป็นวิชาที่เหนือกว่าวิชาอาร์คาน่าในตำนานอื่น ๆ และแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวิชาต้องห้าม เพราะความแข็งแกร่งและทรงพลังของมันทำให้วิชานี้ถูกห้ามไม่ให้นำมาใช้นั่นเอง

หลายคนเชื่อว่าอาณาจักรอาร์คาน่าถูกกวาดล้างไปไม่ใช่แค่เพราะพวกเขาไปยั่วโมโหเทพอสูรบรรพกาล แต่เป็นเพราะการกระทำของชาวอาร์คาน่าเป็นการไปดูหมิ่นเทพองค์หนึ่งนั่นเอง

เทพองค์นั้นไม่พอใจนัก ซึ่งก็เป็นเหตุให้เทพอสูรบรรพกาลต้องโจมตีและจบลงด้วยการที่การล่มสลายของอาณาจักรอาร์คาน่า

สาเหตุที่เทพองค์นั้นยอมแพ้ให้กับชาวอาร์คาน่าก็เพราะการเกิดขึ้นของสรวงสวรรค์นำทาง

และด้วยเหตุนี้ การล่มสลายของอาณาจักรอาร์คาน่าจึงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘อาณาจักรผู้ทำลายองค์เทพ’ !