บทที่ 116 จุดจบ ?
สรวงสวรรค์นำทางของอี่หนี่เก้อไม่ใช่รูปแบบที่สมบูรณ์ของสรวงสวรรค์นำทาง แม้ว่าเขาจะสามารถเข้าถึงมันได้ เขาก็ไม่สามารถใช้มันได้อยู่ดี
เขากำลังใช้สรวงสวรรค์นำทางรูปแบบที่อ่อนแอกว่า นั่นคือด้วยความแข็งแกร่งระดับ 9 มันอาจไม่ทำให้ทุกคนสิโรราบลงต่อหน้าเขา แต่มันสามารถส่งผลต่อจิตใจของพวกเขา ทำให้เจตสังหารของพวกเขาอ่อนลง และลบล้างการรับรู้พลังต้นกำเนิดของพวกเขาได้อย่างแน่นอน นี่ยังจะลดอัตราการรวบรวมพลังต้นกำเนิดของพวกเขาและทำให้พวกเขาอ่อนแอลงไปอีกพร้อมให้โอกาสในการโจมตีที่สมบูรณ์แบบแก่ตนเอง
นี่เทียบเท่าได้กับการติดสถานะลดความรุนแรง การป้องกัน และความเร็วในการโจมตีไปพร้อมกันกับเสริมกำลังไปด้วย
มันเป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงถึงความทรงพลังของวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 เป็นไปได้อย่างแน่นอนที่รูปแบบสมบูรณ์ของวิชานั้นจะถูกจัดเป็นวิชาต้องห้าม
แต่ซูเฉินก็หน้าบึ้งด้วยความไม่ชอบพอใจ
อี่หนี่เก้อนั้นทรงพลังอย่างแน่นอน เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายสามารถกระทั่งใช้งาน ‘สรวงสวรรค์นำทาง’ ได้
แต่แล้วไงล่ะ ?
เขาเพียงเผชิญหน้ากับเยี่ยเสิ่นหยาง แล้วจะทำให้คนอื่น ๆ อ่อนแอลงไปเพื่ออะไร ? และเขายังเป็นถึงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 หมายความว่าอี่หนี่เก้อควรจะเหนือกว่าเยี่ยเสิ่นหยางโดยสิ้นเชิง แล้วจะพยายามหาข้อได้เปรียบไปทำไมกัน ?
นี่มันไร้ประโยชน์พอ ๆ กับการถอดกางเกงเผื่อผายลมเลยไม่ใช่หรือ ?
หากว่าเป็นซูเฉิน เขาคงจะตอบโต้กลับไปด้วยวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 ที่รุนแรงแล้วจึงรอดูว่าฝ่ายตรงข้ามจะตอบโต้เขาอย่างไร ไม่มีความจำเป็นจะต้องทำให้ทุกอย่างซับซ้อน
….เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันมักกระทำสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ค่อยมีตรรกะบนสนามสู้รบเสมอมา
พวกเขาถูกขังไว้ในวิธีการคิดที่จำเพาะเป็นพิเศษ
ถึงอย่างนั้น พลังของวิชาอาร์คาน่าระดับ 9 นั้นแปลกประหลาดไม่น้อย และผลของสรวงสวรรค์นำทางก็น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมากเช่นกัน เยี่ยเสิ่นหยางรู้สึกว่าร่างกายตนหนักอึ้งราวกับว่าแขนขาของเขาเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาอย่างกะทันหัน
แต่เขาไม่ใส่ใจน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อยและยังคงพุ่งตรงไปยังอี่หนี่เก้อโดยจ้องเขม็งไปยังเขาด้วยความเกลียดชังสุดขีด
ด้วยความที่เป็นคนของนิกายแห่งแม่พระ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ความเดือดดาลของเขาจะไม่ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อพบกับคู่ต่อสู้ที่ใช้สรวงสวรรค์นำทาง
นี่คือวิชาต้องห้าม !
แม้ว่ามันจะเป็นรูปแบบที่อ่อนแอกว่า
เขาตะโกน “สรวงสวรรค์นำทางหรือ ? ตลกสิ้นดี ! มันคืออวิชาชั่วร้ายชัด ๆ เจ้าทำให้ชื่อของแสงศักดิ์สิทธิ์ต้องแปดเปื้อนด้วยการกระทำที่มีเจตนาโสโครก ช่างชั่วร้ายและต่ำทรามอะไรเช่นนี้ !”
ขณะที่พูด ร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะเรืองแสงด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์
เมื่อรัศมีศักดิ์สิทธิ์เริ่มจะแผ่กระจาย รัศมีเสริมพลังที่สรวงสวรรค์นำทางของอี่หนี่เก้อที่เพิ่งแผ่ซ่านออกมาก็เริ่มจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปและกลับกลายเป็นอะไรบางอย่างที่มืดมนและบิดเบี้ยว
ซูเฉินตะโกนอกมา “ขนนกสวรรค์ !”
หลี่ต้าวหงก็ตะโกนเช่นกัน “ขนนกสวรรค์ !”
รวมถึงตงชิงหมิง “ขนนกสวรรค์ !”
และอี่หนี่เก้อ “ขนนกสวรรค์ !”
ทุกคนที่นั่นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
มีเพียงขนนกสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถทำอะไรเช่นนี้ได้
พลังประเภทใดที่สามารถเปลี่ยนการโจมตีของอีกฝ่ายจากสิ่งที่มีรัศมีศักดิ์สิทธิ์ให้กลับกลายเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายกัน ?
แต่ขนนกสวรรค์อยู่ที่ใดกัน ?
ซูเฉิน หลี่ต้าวหง และคนอื่น ๆ ไม่อาจรู้ได้
ไม่มีผู้ใดมองเห็นเยี่ยเสิ่นหยางดึงเอาขนนกสวรรค์ออกมา พวกเขาสามารถเห็นเพียงแค่แสงสว่างที่เรืองรองออกมาจากร่างของเขาและเข้มข้นขึ้นในทุกวินาทีที่ผ่านไป ทำให้รัศมีของเขาพลุ่งพล่านออกมา
อี่หนี่เก้อทำหน้าบึ้งก่อนจะพลิกหน้าหนังสืออีกครั้ง
หน้านี้น่าสนใจทีเดียว
มันเคยว่างเปล่ามาก่อน แต่ทันทีที่อี่หนี่เก้อเปิดมันออก เนื้อหาของหน้านี้ก็พลันเข้ามาสู่สายตา
มันเป็นกำแพงแสงสีทอง
กำแพงที่เกิดขึ้นจากแสงสีทองบริสุทธิ์นี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่างโดยเป็นรูปธรรมมากขึ้นและมากขึ้นโดยไร้ซึ่งสัญญาณของการลดช้าลง ราวกับว่ามันสามารถหนาแน่นขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ระหว่างกระบวนการนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ชั่วร้ายโดยสรวงสวรรค์นำทางของอี่หนี่เก้อก็ชะลอลงจนกระทั่งมันหยุดลงในที่สุด
“มันกำลังถูกดูดซึมหรือ ?” ซูเฉินพึมพำ
แน่นอนว่าหนังสือหอคอยนิลกาฬนั้นไม่เพียงมีประโยชน์ต่อการกักเก็บและปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าที่แตกต่างกันมากมาย แต่มันยังสามารถดูดซับพลังบางส่วนจากการโจมตีของศัตรูได้ราวกับเกราะ
การโจมตีของเยี่ยเสินหยางกำลังถูกดูดซับโดยหนังสือหอคอยนิลกาฬด้วยกระบวนการที่แปลกประหลาด
แต่มันดูเหมือนว่าคลื่นพลังไร้ขอบเขตที่พวยพุ่งออกมาจากขนนกสวรรค์จะมากเกินกว่าที่หนังสือหอคอยนิลกาฬจะสามารถรับมือได้
ถึงอย่างนั้น อี่หนี่เก้อก็ไม่เพียงครอบครองหนังสือหอคอยนิลกาฬ
เขายังมีตนเองอยู่ด้วย !!
ขณะที่เปิดหน้าหนังสือ เขาก็เริ่มสวดด้วยเสียงบางเบา
ต้องเรียกว่าอี่หนี่เก้อนั้นทรงพลังเป็นอย่างมากกระทั่งด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
แม้ว่าเขาจะสามารถพึ่งพาได้เพียงหนังสือหอคอยนิลกาฬนี้เท่านั้น แต่ความสามารถในการปล่อยวิชาอาร์คาน่าของเขาก็จัดได้ว่าแข็งแกร่งใช่ย่อย
สรวงสวรรค์นำทางเป็นเพียงหนึ่งในวิชาอาร์คาน่าที่อี่หนี่เก้อรู้จักเท่านั้น ในวินาทีต่อมา เขาก็ปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังออกมาอีกครั้งหนึ่ง
แสงจันทราแฝด
ดวงจันทร์สีเงินปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในพริบตา
ขณะที่แสงสีเงินส่องผ่านมวลอากาศ ความเยือกเย็นก็ฉายลงมายังพื้นที่เบื้องล่างในทันที
รัศมีสวรรค์ที่ทรงพลังของเยี่ยเสิ่นหยางเข้าเกาะกุมและแช่แข็งหลังจากที่ถูกอาบไปด้วยแสงนุ่มนวลนี้
เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าทำไมจึงมีพระจันทร์เพียงดวงเดียวบนผืนฟ้าในเมื่อวิชานี้มีชื่อว่าแสงจันทราแฝด แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าวิชาแสงจันทราแฝดนี้ได้หยุดรัศมีสวรรค์ของเยี่ยเสิ่นหยางลงกลางทางก็มากพอแล้ว !
อี่หนี่เก้อกล่าวอย่างใจเย็น “ไม่จำเป็นต้องซ่อนมันไว้หรอก สำแดงพลังที่แท้จริงของมันออกมา”
โอ้
งั้นเป้าหมายโดยแท้จริงของเขาคือการได้เห็นขนนกสวรรค์ใช่ไหม ?
ซูเฉินเข้าใจถึงเป้าหมายของอี่หนี่เก้อในที่สุด
ดูเหมือนว่าตนเองจะประเมินอี่หนี่เก้อผิดพลาด ที่แท้เหตุผลที่อีกฝ่ายใช้สรวงสวรรค์นำทางก็เพียงเพื่อบังคับให้เยี่ยเสิ่นหยางใช้ขนนกสวรรค์ !
แต่เพราะอะไรบางอย่าง มีเพียงแสงเรืองรองจากขนนกสวรรค์ของเยี่ยเสิ่นหยางเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ ส่วนขนนกจริง ๆ นั้นไม่สามารถมองเห็นได้
โชคไม่ดีนัก สิ่งที่อี่หนี่เก้อต้องการจะเห็นคือสิ่งที่เยี่ยเสิ่นหยางปฏิเสธที่จะเผยให้เห็น
การตอบโต้ของเยี่ยเสิ่นหยางต่อการปรากฏตัวขึ้นของดวงจันทร์นี้คือการเอียงศีรษะไปด้านหลังและคำรามเสียงดังสนั่นก่อนจะปลดปล่อยลูกธนูออกไปยังฟากฟ้า
ลูกศรนี้นั้นทรงพลังอย่างเหลือเชื่อและพุ่งตรงขึ้นไปในอากาศ
ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะทำลายดวงจันทร์บนท้องฟ้าและแหล่งที่มาของแสงจันทร์นี้
อี่หนี่เก้อค้นหนังสือของเขาอีกครั้งก่อนที่จะปล่อยวิชาอาร์คาน่าออกมาอีกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีของเยี่ยเสิ่นหยาง
วิธีการโจมตีของอี่หนี่เก้อนั้นแปลกประหลาดทีเดียว เขาจะสลับสับเปลี่ยนใช้งานระหว่างหนังสือหอคอยนิลกาฬและวิชาอาร์คาน่าของเขา โดยผสมผสานทั้งสองอย่างไร้ที่ติขณะที่ทำให้แน่ใจว่าพวกมันยังคงส่งเสริมกันและกัน
เยี่ยเสิ่นหยางได้ไปถึงจุดที่เขาสามารถปะทะกับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 9 ได้เนื่องจากการช่วยเหลือของขนนกสวรรค์
ทั้งสองคนแลกหมัดกันอย่างไม่ลดละ ทำให้ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มมืดมนด้วยคลื่นพลังต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งที่พวกเขาปล่อยออกมา
หลี่ต้าวหงและจงชิงหมิงถูกบีบบังคับให้หยุดการสู้รบลงชั่วคราวและหลบออกไปจากระยะของชายบ้าระห่ำทั้งสองเพื่อหลบหลีกลูกหลงจากการต่อสู้
ทุกคนโดยรอบต่างก็เกรงกลัวการต่อสู้ระหว่างชายทั้งสองคน ราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูตัวละครหลัก 2 คนฟาดฟันกัน
การกระทำของอี่หนี่เก้อยังคงเป็นอิสระและง่ายดาย เหมาะสมกับรัศมีผู้เชี่ยวชาญของเขา เขาไม่ได้พยายามที่จะปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังติดต่อกันเลยแม้แต่น้อย เขากลับพึ่งพาการเปิดค้นหาในหนังสือของเขาเพื่อป้องกันตนเองแทน
ส่วนฝ่ายเยี่ยเสิ่นหยางนั้นต่อสู้ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าแห่งสงคราม แสงสีทองรายล้อมร่างของเขาและลูกธนูแต่ละดอกที่พุ่งออกจากคันศรของเขาไปนั้นล้วนเฉียบคมและกระหายเลือด
ทั้งสองมีแนวการต่อสู้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่กลับสมน้ำสมเนื้อกันเป็นอย่างมาก
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าในขณะที่การโจมตีของอี่หนี่เก้อยังคงไม่รีบร้อนอย่างเดิม ความเร็วในการโจมตีของเยี่ยเสิ่นหยางก็เริ่มที่จะตามทันและเขาก็เริ่มเข้าใกล้ชัยชนะมากยิ่งขึ้น
สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว ดูเหมือนว่าเยี่ยเสิ่นหยางเริ่มที่จะสร้างข้อได้เปรียบขึ้น
แต่สำหรับผู้มีประสบการณ์ผู้รู้ดีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะรู้ได้ว่าที่จริงแล้วเยี่ยเสิ่นหยางกำลังเสียเปรียบ เขากำลังถูกบังคับให้เพิ่มการใช้พลังและความเร็วเพื่อรับมือกับการโจมตีของอี่หนี่เก้อ
มันดูราวกับว่าเขากำลังจะพ่ายแพ้ไม่ว่าเขาจะเพิ่มพลังมากขึ้นเท่าไรก็ตาม
บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่อี่หนี่เก้อต้องการ
ปราชญ์มือแห่งโชคชะตาคนนี้อาจไม่ได้เป็นนักสู้โดยธรรมชาติ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขามีวิธีการวิเคราะห์ปัญหาเป็นของตนเองโดยธรรมชาติและทำตามวิธีการคิดของตัวเขาเอง
เขากำลังบีบเค้นให้ขนนกสวรรค์ถูกเปิดเผยออกมาเป็นแน่ !
อีกหนึ่งวิชาอาร์คาน่าถูกปลดปล่อยออกมา
พายุพลังต้นกำเนิดมุ่งหน้าเข้าไปยังเยี่ยเสิ่นหยางอีกครั้ง
เยี่ยเสิ่นหยางดูจะรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถยื้อเวลาไว้ได้อีกต่อไป
ดังนั้น… เขาจึงเลือกที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า !
เขาหยิบคันศรออกมาอีกครั้งและยิงลูกศรออกไป แต่คราวนี้เขาไม่ได้เล็งไปยังอี่หนี่เก้อ
เขายิงไปยังซูเฉิน !
ฟุ่บ !
ศรดอกนั้นพุ่งตรงไปที่ซูเฉิน
ลูกศรนั้นแหวกผ่านอากาศด้วยพลังมหาศาล
กระทั่งซูเฉินก็ไม่คาดคิดว่าเยี่ยเสิ่นหยางจะโจมตีเขากะทันหันอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้
เยี่ยเสิ่นหยางได้เลือกที่จะโจมตีเป้าหมายที่ต่างออกไปขณะที่เขากำลังเสียเปรียบ
ธนูดอกนี้นั้นทั้งรวดเร็วและรุนแรงกระทั่งซูเฉินไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
ใช่ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิดจริง ๆ!
ปั่ก !
ลูกศรนั่นทะลุผ่านลำคอของซูเฉินและทิ้งรูฉีกขาดไว้
เลือดพวยพุ่งออกไปในอากาศ
ซูเฉินไม่มีโอกาสจะได้ป้องกันตัวเอง หลบหลีก หรือแม้แต่ตอบโต้กลับไป ลูกศรเพียงดอกเดียวนี้ได้ทำลายร่างเขาออกเป็นชิ้น ๆ
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะให้เจ้ายืนเฉย ๆ และมองดูพวกเราต่อสู้เพื่อที่เจ้าจะได้รอรับผลพลอยได้ในภายหลัง ?” เยี่ยเสิ่นหยางคำรามอย่างเดือดดาล
ราคาที่เขาจ่ายไปกับการปล่อยลูกศรนี้คือหนึ่งในวิชาอาร์คาน่าที่แข็งแกร่งของอี่หนี่เก้อ แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมรอบร่างกายเขาสว่างไสวมากขึ้นขณะที่พลังของขนนกสวรรค์แสดงท่าทีดุร้ายเพื่อปกป้องเขาจากการโจมตีของอี่หนี่เก้อ
อิงอิงและคนอื่น ๆ จากตระกูลกุยซานต่างตกตะลึง
ตายแล้วหรือ ?
ชิงเฮิ่นผู้แข็งแกร่งและลึกลับสิ้นลมเพียงเท่านี้หรือ ?
เขาไม่มีกระทั่งโอกาสในการตอบโต้ด้วยซ้ำ
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
พวกเขาไม่อาจเชื่อในสายตาตัวเอง
“ทำไปเพื่ออะไรกัน ?” อี่หนี่เก้อถอนหายใจ “เผ่าปักษาคนนี้มีประวัติที่เป็นปริศนา และเขาอาจเปิดเผยข้อมูลสำคัญของด่านลับนี้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่พูดถึง ‘ใบหน้าที่แท้จริง’ ของด่านนี้ เขาคงจะไม่บอกมันหากเขาไม่ได้ค้นพบสมบัติปลอม ทีแรกข้าวางแผนว่าจะถามข้อมูลจากเขาเพิ่มเติม แต่พวกเราได้สูญเสียโอกาสนั้นไปแล้ว”
“แล้วไง ?” เยี่ยเสิ่นหยางง้างคันธนูของเขาอีกครั้งอย่างโกรธเคือง “ใครก็ตามที่ขัดต่อพระแม่ต้องตาย ! อี่หนี่เก้อ เจ้าก็ไม่เว้น !”
ขณะที่แผดเสียงลั่น รัศมีของเขาก็ดูจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ธนูแต่ละดอกที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นทรงพลังมากพอที่จะทำลายเมืองทั้งเมือง
อี่หนี่เก้อส่ายหัว “ข้าไม่ได้บอกว่าเขาไม่ควรตายนะ ข้าแค่หวังว่าเขาอาจจะสร้างบางสิ่งที่มีค่าในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ กับเจ้าก็เช่นกัน ขนนกสวรรค์…… หืม ?”
ก่อนที่จะสิ้นประโยค อี่หนี่เก้อก็แสดงสีหน้าประหลาดใจขณะที่ท่าทางของเขานิ่งไปครู่หนึ่ง
เมื่อเยี่ยเสิ่นหยางเห็นท่าทีของอี่หนี่เก้อ เขาก็ทำได้เพียงหันมองไปตามสายตาของอีกฝ่าย
แล้วเขาก็ต้องตะลึงงัน
เพราะร่างไร้วิญญาณของชิงเฮิ่นเริ่มจางหายไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานมันก็กลับกลายเป็นกองเลือดก่อนจะหายไปจนหมดสิ้น
เกิดอะไรขึ้น ?
ทำไมศพถึงหายไป ?
อี่หนี่เก้อและเยี่ยเสิ่นหยางต่างก็คิดบางอย่างในเวลาเดียวกันในทันใด
เสียงหนึ่งถอนหายใจออกมาจากด้านหลังของพวกเขาอย่างช่วยไม่ได้ “ดูเหมือนว่าข้าจะคำนวณผิดพลาดไป ทำไมพวกเจ้าทั้งสองไม่สู้กันแค่ 2 คนล่ะ ไม่เห็นต้องลากข้าไปยุ่งด้วยอย่างนั้นเลย”
ขณะที่หมอกสีเลือดจางหายไป ร่างของซูเฉินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าตายไปแล้วไม่ใช่หรือ ?” เยี่ยเสิ่นหยางจ้องเขม็งอย่างเลือดร้อนไปยังซูเฉินด้วยความไม่เชื่อเล็กน้อย
“ไร้สาระ ! ยังไงข้าก็เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์นี้ จึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าข้าเป็นผู้ควบคุมได้หรือ ?” ซูเฉินหัวเราะขณะที่ยังพูดต่อไป “แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้ดึงพลังขั้นสูงสุดของขนนกสวรรค์ออกมา… เห็นทีข้าคงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสียแล้ว !”
ซูเฉินดึงเอาดาบไร้แสงออกมาและจ้องมองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ “พวกเจ้าคนใดจะสู้กับข้าก่อนล่ะ ? หรือพวกเจ้าทั้งคู่จะอยากให้ข้าจัดการไปพร้อมกันเลย ?”