อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1958 เทพดาบสิบลี้จะเป็นใครกัน?
ส่วนจางเซวียน เมื่อเห็นผู้อาวุโสลู่อวิ๋นนำตราหยกออกมาและเปิดเผยต่อหน้าศิษย์สายตรงของเขา ในชั่วพริบตานั้น ความคิดที่อยากจะเอาหัวโขกกำแพงแล้วจบชีวิตให้รู้แล้วรู้รอดไปก็แวบเข้ามา
ไม่เคยมีสักครั้งในช่วงชีวิตของเขานับตั้งแต่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ที่ต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าศิษย์สายตรงของตัวเอง
ปวดใจเราปวดใจเหลือเกิน!
“เอาล่ะ เรากลับกันได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นทำลายบรรยากาศของความกระอักกระอ่วน
ตอนที่เขาเห็นผู้คนมากมายกระอักเลือด แต่หมอนี่ไม่เป็นอะไร ความคิดที่ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นเทพดาบสิบลี้ก็แวบเข้ามาทันที แต่เมื่อได้เห็นผลลัพธ์บนตราหยก ก็รู้ทันทีว่าตัวเองคิดมากไป!
เจตจำนงเพลงดาบที่แผ่ออกไปได้ไกลไม่ถึง 1 เมตรนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีอยู่ ด้วยเจตจำนงเพลงดาบที่อ่อนแอขนาดนี้ ก็ไม่แปลกอะไรที่อีกฝ่ายจะไม่รู้สึกถึงเจตจำนงเพลงดาบอันหนักหน่วงที่ถาโถมเข้าเล่นงานหอเทพดาบเมื่อครู่ก่อน และก็เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้รับอันตรายจากแรงตีกลับของการทำลายล้างนั้น
ส่วนเทพดาบจะเป็นใคร…ในฐานะผู้อาวุโสฝ่ายนอก เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้ข้อมูลระดับนั้น อัจฉริยะที่เข้าถึงระดับของเทพดาบย่อมอยู่เหนืออำนาจการตัดสินของเขา นี่เป็นสิ่งที่บุคลากรชั้นสูงเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์รับรู้
หลังจากส่งตั้นเฉี่ยวเทียนกับจางเซวียนกลับที่พัก ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ประสานมือและกล่าวอำลา
เพราะตั้นเฉี่ยวเทียนผ่านการทดสอบแล้ว เขาจึงต้องนำตราหยกที่ระบุผลการทดสอบไปยื่นต่อที่ประชุมผู้อาวุโสเพื่อขอตราสัญลักษณ์ศิษย์สายตรงฝ่ายในให้ตั้นเฉี่ยวเทียน การที่ตัวเขาพาอัจฉริยะที่สามารถปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบได้ถึง 499 เมตรเข้าสู่สำนักได้นั้น รางวัลที่ได้รับจะต้องมากมายเอาการ
บางทีเขาอาจใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ตัวเองได้รับการเลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็ได้!
ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นขี่อสูรบินได้ไป ไม่ช้าก็มาถึงสภาผู้อาวุโส
ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ เขาเห็นผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน
ทุกคนล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของสำนัก ซึ่งก่อนจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง พวกเขาก็ทำงานกับบรรดาศิษย์สายตรงฝ่ายนอกเช่นกัน จึงมีความสนิทสนมกันดี แต่เมื่อขอบเขตของการทำงานเริ่มต่างกันออกไป ทุกวันนี้การพูดคุยติดต่อกันจึงทำได้ยาก
“ผู้อาวุโสมู่ รีบร้อนทำไม? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เห็นสีหน้าปั่นป่วนของทุกคน ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรั้งตัวผู้อาวุโสคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้และตั้งคำถาม
“เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว คุณยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยหรือ?” ผู้อาวุโสมู่คือชายชราผอมกะหร่องที่มีเคราเขียวครึ้ม เขาสวมเสื้อคลุมไหมสีน้ำเงิน “อ้อ ใช่ ผมลืมไปว่าคุณเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอจะได้เข้าร่วมในสภาผู้อาวุโส จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่รู้เรื่อง…”
“….”
ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นรู้สึกอยากต่อยชายชราที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาทันที
“อย่าโมโหน่ะ คุณก็รู้ว่าผมตรงไปตรงมาเสมอ ผมอยากพูดอะไรผมก็พูด…” ผู้อาวุโสมู่ตอบพร้อมกับหัวเราะหึๆ “คุณคงรู้จักผู้อาวุโสที่ 1, เหอเทียนใช่ไหม?”
“ใช่” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นพยักหน้า
ในฐานะผู้อาวุโสที่ 1 เหอเทียนมีอำนาจล้นเหลือภายในสำนัก ซึ่งหากท่านเจ้าสำนักไม่อยู่ เขาก็มีอำนาจโดยตรงในการตัดสินใจทุกเรื่องของสำนักดาบเมฆเหิน
“ต่อให้คุณไม่รู้จักเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่จำเป็นต้องเออออตามผมเพียงเพราะคุณกระอักกระอ่วนใจ ผมหมายความว่า…เป็นธรรมดาที่คุณจะไม่เคยพบเขาเพราะคุณเป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก…” ผู้อาวุโสมู่โบกมือ
เส้นเลือดที่ขมับของผู้อาวุโสลู่อวิ๋นปูดโปน ข้อนิ้วลั่นกราว เขาสูดหายใจลึกก่อนจะขัด “ผมว่าคุณควรเข้าประเด็นเสียที เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสเหอเทียน?”
“ผู้อาวุโสเหอเพิ่งส่งข้อความหาบรรดาผู้อาวุโสฝ่ายในและผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่านั้น ข้อความนั้นมีอยู่ว่า…ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่พังทลายแล้ว!” ผู้อาวุโสมู่อธิบาย จากนั้นก็โคลงศีรษะเมื่อพลันนึกบางอย่างได้ “อือ นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณไม่ได้รับข้อความ เพราะถึงอย่างไรคุณก็เป็นแค่ผู้อาวุโสฝ่ายนอก…”
“ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่พังทลายแล้ว?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นตาโตด้วยความประหลาดใจ
ประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของสำนักดาบเมฆเหิน มันเป็นเครื่องแสดงถึงคติพจน์ของสำนัก ‘ทะเยอทะยานเหนือหมู่เมฆ ทำลายสวรรค์ทั้งเก้า!’ แต่ทั้งสองอย่างพังทลายไปแล้ว นี่ถือเป็นความกระทบกระเทือนครั้งใหญ่ต่อชื่อเสียงและเกียรติยศของสำนักดาบเมฆเหิน
“ทำไมถึงพังได้? เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นถามอย่างร้อนใจ
“ผมก็ไม่รู้ เมื่อครู่นี้น่ะมีเจตจำนงเพลงดาบที่ทรงพลังอย่างน่าทึ่งเกิดขึ้น คุณน่าจะรู้สึกได้นะ เจตจำนงเพลงดาบนั้นดูจะทำลายเจตจำนงเพลงดาบที่อยู่ภายในดาบเล่มใหญ่ ทำให้มันพังทลาย…” ผู้อาวุโสมู่ไม่ค่อยแน่ใจในรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น เขาส่ายหน้าและพูดต่อ “เอาเถอะ ผมต้องไปที่สภาผู้อาวุโสซึ่งเป็นสถานที่เฉพาะสำหรับผู้อาวุโสฝ่ายในและผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า คงคุยกับคุณไม่ได้แล้วล่ะ…”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วรีบตรงเข้าสู่สภาผู้อาวุโส
“หมอนั่นไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ…” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นถอนหายใจอย่างจนปัญญา
เพราะคำพูดคำจาที่ปราศจากการไตร่ตรอง ผู้อาวุโสมู่จึงมีเรื่องกับผู้คนมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย
แต่ถึงจะปวดใจ ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ยังได้ข้อมูลสำคัญจากอีกฝ่าย-ดาบเล่มใหญ่และประตูภูเขาพังทลายแล้ว!
“เจตจำนงเพลงดาบ…หรือว่าจะเป็นฝีมือของเทพดาบสิบลี้เมื่อครู่ก่อน?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นคิด
เขาได้สัมผัสเจตจำนงเพลงดาบนั้นด้วยตัวเองและรู้ดีว่ามันไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะทรงพลังขนาดนี้!
สามารถเล่นงานได้แม้กระทั่งเจตจำนงเพลงดาบที่ผู้ก่อตั้งถ่ายทอดไว้ในดาบเล่มใหญ่…
เทพดาบสิบลี้จะเป็นใครกัน?
“ในเมื่อเหล่าผู้อาวุโสกำลังประชุมเครียด การที่เราจะเดินเข้าไปรายงานเรื่องตั้นเฉี่ยวเทียนจะถือว่าเหมาะสมหรือเปล่า?” ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นครุ่นคิด
ด้วยความรุนแรงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นำมาซึ่งการพังทลายของประตูภูเขาและดาบเล่มใหญ่ ดูจะไม่เหมาะสมนักที่เขาจะพรวดพราดเข้าไปตอนนี้เพื่อรายงานเรื่องศิษย์สายตรงหน้าใหม่คนหนึ่ง
“ช่างมันเถอะ! ถึงอย่างไรก็ควรเข้าไป…นี่เป็นความพยายามครั้งแรกของตั้นเฉี่ยวเทียน และเขาก็ทำได้ถึง 499 เมตร ไร้เทียมทานยิ่งกว่าศิษย์สายตรงขั้นสูงสุดบางคนเสียอีก แถมตอนนี้เขาเป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์โบราณขั้น 1…เหล่าผู้อาวุโสน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และคงตบรางวัลให้เราอย่างงาม!” ในที่สุดผู้อาวุโสลู่อวิ๋นก็ตัดสินใจ
การนำพาอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องเข้าสู่สำนักถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ในเมื่อมีผู้อาวุโสคนใหญ่คนโตรวมตัวกันอยู่มากมาย เขาก็น่าจะมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่ง
ผู้อาวุโสลู่อวิ๋นสลัดความลังเลต่างๆทิ้งไป เขามุ่งหน้าสู่สภาผู้อาวุโส
…..
ในตอนนั้น ที่บ้านพักของศิษย์สายตรงฝ่ายใน จางเซวียนกำลังจ้องหน้าศิษย์สายตรงของเขา เมื่อทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว เขาตั้งคำถาม “คุณปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบออกไปไกลถึง 499 เมตรได้อย่างไร?”
เรื่องนี้ค้างคาใจจางเซวียยมาตลอด ตัวเขาเองปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบได้ไม่ถึง 1 เมตรด้วยซ้ำ แต่ศิษย์สายตรงของเขาที่ได้รับการบ่มเพาะอย่างครึ่งๆกลางๆคนนี้กลับทำคะแนนได้สูงลิ่ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล
“ผม…” ได้ยินคำถามของท่านอาจารย์ ตั้นเฉี่ยวเทียนเกาหัวอย่างอับอายก่อนจะตอบว่า “ผมใช้ศิลปะเพลงดาบที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ผม และโยนดาบออกไป…ไม่นึกเลยว่าการปลดปล่อยเจตจำนงเพลงดาบจะไปได้ไกลขนาดนั้น”
“คุณโยนดาบ? แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังกระบวนท่านั้นจัดว่าไม่เลวเลยนะ…แต่เดี๋ยว!” จางเซวียนอ้าปากค้างเมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในคำพูดของตั้นเฉี่ยวเทียน
“เมื่อครู่นี้คุณบอกว่าคุณโยนดาบ หมายความว่าคุณถือดาบไว้ในระหว่างการทดสอบใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ นักดาบจะสำแดงเจตจำนงเพลงดาบออกมาและผ่านการทดสอบโดยปราศจากดาบในมือได้อย่างไร…” ยังไม่ทันที่ตั้นเฉี่ยวเทียนจะพูดจบ ก็พลันเกิดความกระจ่าง เขาอ้าปากค้าง “อ่า…ใช่ ผมโยนดาบออกไปตอนที่ทำการทดสอบ ท่านอาจารย์…คงไม่ใช่ว่าคุณพยายามทำการทดสอบโดยไม่มีดาบในมือหรอกนะ ใช่ไหม?”
ศิลปะเพลงดาบของเขายังอ่อนด้อยเกินไป ลงท้ายจึงต้องใช้กระบวนท่าโยนดาบ และในเมื่อไม่มีผนังอยู่ด้านหน้า เขาจึงไม่รู้ว่าดาบกระเด็นไปตกที่ไหน จึงไม่ได้เก็บมันมา
ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อท่านอาจารย์ตั้งคำถามแบบนี้ ก็ถึงกับไปต่อไม่ถูก
นักดาบคนหนึ่งจะสำแดงเจตจำนงเพลงดาบโดยปราศจากดาบได้อย่างไร?
ก็เหมือนกับการพยายามรีดนมจากวัวตัวผู้! จะเค้นเอาสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงออกมาได้อย่างไรกัน?
แต่ถึงอย่างนั้น ท่านอาจารย์ก็ยังได้ผลลัพธ์แบบเดียวกับเขา
ท่านอาจารย์รีดนมจากวัวตัวผู้ได้จริงๆ
ทำได้อย่างไรกัน?
ตั้นเฉี่ยวเทียนรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า
“แค่ก แค่ก…”ได้ฟังคำอธิบายของตั้นเฉี่ยวเทียน จางเซวียนถึงกับปวดใจอย่างหนัก
บ้าที่สุด*!ผมลงทุนลงแรงไปตั้งมากมายกลับกลายเป็นว่าเหตุที่ผลลัพธ์ของผมน่าสมเพชแบบนั้นก็เพราะคุณทำดาบหาย**!*
ผมมีลูกศิษย์ที่ไว้ใจไม่ได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่*?*
ไม่แปลกใจแล้วที่ผมทำได้ไม่ถึง 1 เมตรลงท้ายมันก็ไม่ใช่ปัญหาของผมเลย…
“ช่างมันเถอะ ผมจะฝึกฝนวรยุทธ” จางเซวียนถอนหายใจเฮือก เขาโบกมือก่อนจะกลับเข้าห้อง
จางเซวียนทำสมาธิอยู่ครู่หนึ่งเพื่อบรรเทาอาการปวดใจก่อนจะนำหนังสือเทียบฟ้าออกมาอีกครั้ง
เขาสูญเสียหน้าหนังสือสีทองไปหน้าหนึ่งเพียงเพื่อสกัดกั้นกระแสดาบฉี ถึงอย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น!
จางเซวียนพลิกหน้าหนังสือเทียบฟ้าแล้วแตะเบาๆลงไปบนกระแสดาบฉีที่กำลังแหวกว่ายอย่างอิสระ
ฟิ้วววว!
กระแสความรู้ไหลจากปลายนิ้วของเขาเข้าสู่จิตใต้สำนึก ทำให้เกิดอาการเวียนหัวตึ้บขึ้นมาทันที จางเซวียนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังบีบหัวสมองของเขา พยายามจะให้มันระเบิด จากนั้นเสียงระฆังทุ้มลึกก็ดังก้องในหัว
“วิถีทางของเพลงดาบไม่ใช่เส้นทางที่แท้จริงของสวรรค์ มันเป็นเส้นทางที่มนุษย์รังสรรค์ขึ้น…” เสียงนั้นเริ่มพูด ไม่ช้าจางเซวียนก็ดำดิ่งอยู่กับมัน
การตีความศิลปะเพลงดาบของเสียงนี้ลึกซึ้งกว่าที่เขาเคยร่ำเรียนมาก ถึงขนาดที่แม้แต่ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าก็ดูไม่ต่างอะไรกับเนินเขาเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าภูเขาอันยิ่งใหญ่