อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1959 เราเข้าใจแล้ว
แม้ศิลปะเพลงดาบเทียบฟ้าจะไร้ข้อบกพร่อง แต่นั่นก็วัดโดยใช้มาตรฐานของสรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ เมื่อเจอกับศิลปะเพลงดาบนี้ ก็ถือว่ามีข้อบกพร่องมากมาย
เรื่องนี้ก็เหมือนกับความรู้ที่คนๆหนึ่งได้ร่ำเรียนเมื่อยังเด็ก มันอาจไม่เป็นความจริงเสมอไปเมื่อเขาเข้าสู่มหาวิทยาลัย
การไขว่คว้าหาความรู้คือการเดินทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม้แต่สวรรค์ก็ขัดขวางไม่ได้ สิ่งใหม่ๆถูกนำมาสู่โลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง แล้วสวรรค์ก็ซึมซับพวกมันเข้าไป
สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความจริงในวันหนึ่งอาจเป็นแค่เรื่องตลกเมื่อเวลาผ่านไปอีก 100 ปี
ไม่แปลกใจแล้วที่เราปรับตัวให้คุ้นชินกับพลังจิตวิญญาณในมิติเบื้องบนได้อย่างง่ายดายแม้จะฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า*…กลับกลายเป็นว่าสำหรับสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบนเทคนิควรยุทธของเรามีข้อบกพร่องมากมาย*
จะว่าไปถ้าสรวงสวรรค์ของโลกแต่ละใบมีคำจำกัดความเรื่องถูกผิดเป็นของตัวเอง…แล้วเกณฑ์การตัดสินที่แท้จริงว่าอะไรถูกหรือผิดนั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า?
ทุกดินแดนมีกฎเกณฑ์และวัฒนธรรมของตัวเอง สิ่งที่เป็นเรื่องถูกต้องในดินแดนหนึ่งอาจกลายเป็น ความผิดร้ายแรงในอีกดินแดนหนึ่งก็ได้ แล้วสรวงสวรรค์จะเป็นแบบเดียวกันไหม?
เป็นไปได้ว่าสิ่งที่สรวงสวรรค์ของทวีปแห่งปรมาจารย์มองว่าถูกต้องอาจไม่ได้การยอมรับจากสรวงสวรรค์ของมิติเบื้องบน
ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่าทุกอย่างที่เราฝึกฝนมาล้วนแต่มีข้อบกพร่อง?
จางเซวียนปวดหัวหนึบขึ้นมาอีกครั้ง
ตั้งแต่เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธเมื่อ 2 ปีก่อน ก็มีความเชื่อมั่นในเคล็ดวิชาเทียบฟ้าอย่างไม่คลอนแคลนหรือหวั่นไหว เขาเชื่อว่ามันถูกต้องเพราะหอสมุดเทียบฟ้าบอกอย่างนั้น แต่กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ ก็เป็นแนวคิดที่ขึ้นอยู่กับสรวงสวรรค์ของโลกแต่ละใบ
เรื่องนี้ทำให้เขาออกจะรู้สึกแย่
จางเซวียนพยายามขับเคลื่อนเทคนิควรยุทธ แต่ในช่วงเวลาครู่หนึ่งของความจังงัง เขาได้ยินเสียงตะโกนก้องมาจากส่วนลึกของจิตใต้สำนึก นี่มันบกพร่อง*!*
จางเซวียนพยายามสำแดงเทคนิคการต่อสู้ แต่เสียงเดิมก็ตะโกนใส่ บกพร่อง*,บกพร่อง,บกพร่อง!พวกมันล้วนแต่มีข้อบกพร่อง!*
นัยน์ตาของจางเซวียนเริ่มแดงก่ำ ควันสีขาวลอยโขมงออกจากกระหม่อม พลังปราณของเขาเดือดพล่าน ดูราวกับมีบางอย่างกำลังจะระเบิดออกจากตัว
ถ้านักรบสักคนได้เห็น ก็จะเข้าใจทันทีว่าวรยุทธของชายหนุ่มคนนี้กำลังถูกธาตุไฟเข้าแทรก!
จางเซวียนไม่เคยเผชิญกับอุปสรรคใดๆในการฝึกฝนเคล็ดวิชาเทียบฟ้า แต่เพียงไม่ถึงครึ่งเดือนหลังจากเข้าสู่มิติเบื้องบน วรยุทธของเขาก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรก!
และเท่าที่เห็น ดูเหมือนเขาคงย่ำแย่หากผ่านการทดสอบครั้งนี้ไปไม่ได้
ครืนนนน!
ขณะที่ความเชื่อมั่นและศรัทธาของจางเซวียนเริ่มสั่นไหว หอสมุดเทียบฟ้าที่อยู่ในหัวสมองของเขาก็สั่นสะท้านไม่หยุด มันรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินไหว หอสมุดแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ความสงสัยข้องใจของเขากำลังกัดกร่อนทำลายทุกสิ่งที่อยู่ภายใน
พลั่ก!
แรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่ร่างของจางเซวียนพุ่งขึ้นถึงขีดสุด เลือดกระอักออกจากปาก
วิ้งงงง!
ขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเข้าสู่ภาวะวิกฤต จี้สีแดงที่จางเซวียนห้อยไว้ที่ลำคอก็เรืองแสงอบอุ่นออกมา แล้วตรงเข้าโอบล้อมเขาไว้
มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นและปลอบประโลมราวกับแสงอาทิตย์ยามเช้า จิตใจที่กำลังปั่นป่วนวุ่นวายของจางเซวียนสงบลงอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาที่แดงก่ำของเขาค่อยๆกลับสู่สภาวะปกติ
ขณะที่สติสัมปชัญญะของจางเซวียนค่อยๆแจ่มชัดขึ้น คำตอบก็ปรากฏตรงหน้า
เราเข้าใจแล้วไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราร่ำเรียนมานั้นผิดพลาดแต่มันอยู่ในมุมมองที่จำกัดหากมองจากมุมที่สูงกว่าเดิมก็จะได้ภาพรวมที่สมบูรณ์แบบและชัดเจนกว่า*…*
เรื่องนี้ทำให้จางเซวียนหวนนึกถึงเรื่องเล่าของกลุ่มชายตาบอดที่ได้สัมผัสช้างตัวหนึ่ง ชายคนหนึ่งแตะที่ขาช้างและบอกว่ามันเหมือนกับเสา อีกคนแตะส่วนท้องแล้วบอกว่าเหมือนกับผนัง อีกคนแตะที่หางแล้วบอกว่าเหมือนงูตัวหนึ่ง…
พวกเขาผิดหรือ?
จากมุมมองของแต่ละคน สิ่งที่ชายตาบอดเหล่านั้นพูดออกมาล้วนแต่ไม่ผิด แต่เมื่อมองภาพรวม คำตอบของพวกเขาห่างไกลจากความเป็นจริงมาก
นี่คือปัญหาที่เกิดจากการมองสิ่งต่างๆด้วยมุมมองที่ไม่กว้างพอ
แต่ด้วยความล้ำลึกของวรยุทธ เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะเห็นภาพรวมว่าวรยุทธที่แท้จริงคืออะไร บางทีหอสมุดเทียบฟ้าอาจเป็นสิ่งที่เข้าใกล้ความรู้ระดับนั้นมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าปราศจากข้อบกพร่องอย่างสิ้นเชิง มันถูกจำกัดไว้ด้วยโลกที่มันอาศัยอยู่
มิติเบื้องบนเป็นมิติที่สูงส่งกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ มีข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และรายละเอียดมากมายให้บรรดานักรบได้ใช้เพื่อขัดเกลาศิลปะการต่อสู้ของตัวเองให้สมบูรณ์แบบที่สุด นั่นคือเหตุผลที่จางเซวียนเริ่มเห็นข้อบกพร่องในเทคนิคที่เขาฝึกฝนมา
ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เขาฝึกฝนมามีข้อผิดพลาด แต่เมื่อนำสิ่งที่เขาเคยร่ำเรียนมาประยุกต์ใช้กับโลกของมิติเบื้องบนที่ยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่กว่า ความรู้เดิมที่เขามีก็แสดงข้อจำกัดบางอย่างออกมาให้เห็น
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้
เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในโลกใบเก่าของเขา แน่นอนว่าทฤษฎีที่ใหม่กว่าและสมบูรณ์แบบกว่าเกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างที่เขาเคยร่ำเรียนมาจะไร้ประโยชน์
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในทุกวันนี้เหมือนกับตัวต่อที่ถูกนำมาใช้ เคลื่อนย้าย เสริมเข้าไป หรือปรับเปลี่ยนเพื่อขยายมุมมองของความรู้ที่พวกเขามีอยู่ให้กว้างออกไปอีก
เพราะฉะนั้น*…*ก็เป็นแบบนี้ จางเซวียนคิด
ด้วยความเข้าใจที่เกิดขึ้นใหม่ ในที่สุดเจตจำนงเพลงดาบก็หลอมรวมเข้ากับสมองของจางเซวียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจในศิลปะเพลงดาบที่ล้ำลึกกว่าเดิม
แก่นสารเพลงดาบที่เน้นความเร็ว, แก่นสารเพลงดาบที่เน้นพละกำลัง และแก่นสารเพลงดาบที่เน้นการป้องกันตัวที่จางเซวียนเคยร่ำเรียนมาไหลเข้าสู่หัวสมองของเขาและหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นศิลปะเพลงดาบที่สมบูรณ์แบบ
ไม่แปลกใจแล้วที่ไม่มีใครในทวีปแห่งปรมาจารย์ที่สามารถหลอมรวมแก่นสารหลากหลายประเภทเข้าด้วยกันได้ในตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะแก่นสารแต่ละประเภทมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันไปมากมายแต่แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ปัญหาคือมุมมองที่พวกเขาใช้มองศิลปะเพลงดาบนั้นอ่อนด้อยเกินไป*!*
จางเซวียนได้รู้จากท่านพ่อของเขา, จางเจินชิง ว่ามีผู้คนเพียงหยิบมือที่สามารถทำความเข้าใจแก่นสารเพลงดาบ 2 รูปแบบได้ ส่วนผู้ที่เชี่ยวชาญแก่นสารเพลงดาบถึง 3 รูปแบบนั้นแทบจะไม่มีอยู่ในโลก ด้วยเหตุนี้ การหลอมรวมพวกมันเข้าด้วยกันจึงไม่ต่างอะไรกับความฝันลมๆแล้งๆ
ในตอนนั้นจางเซวียนพยายามหาหนทาง แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ได้แต่ประมวลมันให้เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ขาดความเชื่อมโยงของเนื้อหาและยังมีข้อจำกัด…
แต่เท่าที่เห็น ก็พอจะดูออกว่าทวีปแห่งปรมาจารย์ยังไม่พร้อมสำหรับสิ่งนี้
ดูอย่างไอแซกนิวตัน นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังจากโลกใบเก่าของเขา นิวตันค้นพบแรงโน้มถ่วงเพียงเพราะแอปเปิ้ลลูกหนึ่งหล่นใส่ศีรษะของเขาหรือ?
ไม่ เรื่องนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เป็นเพราะเขายืนอยู่บนบ่ายักษ์อยู่แล้วต่างหาก มีนักวิทยาศาสตร์มากมายนับไม่ถ้วนก่อนหน้านิวตันที่ได้สั่งสมความรู้จนถึงระดับที่ทำให้เขาพร้อมจะเปิดประตูออกสู่โลกใบใหม่
แต่ทวีปแห่งปรมาจารย์ยังไม่ได้สั่งสมความรู้จนมากพอที่จะเปิดประตูเข้าสู่ศิลปะเพลงดาบชนิดใหม่ได้
วิ้งงงง!
ขณะที่ความเข้าใจในแก่นสารหลากหลายรูปแบบรวมกันเป็นหนึ่งภายในหัวสมองของเขา รังสีของจางเซวียนก็แผดกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรากฏตัวของเขาดูคล้ายกับดาบที่คมกริบกว่าเดิม ทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และจิตวิญญาณของเขาผ่านการขัดเกลาและบ่มเพาะอย่างเข้มข้น
ด้วยศิลปะเพลงดาบระดับนี้เราจะเป็นผู้ไร้เทียมทานในบรรดานักรบที่มีวรยุทธระดับเดียวกัน!
เหตุผลที่ไม่มีใครในหอนิรันดร์สู้กับเขาได้ ก็เพราะเมืองแสงดาวเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญเกินไป
แต่ทันทีที่เขาเดินทางมาถึงสำนักดาบเมฆเหินและรับรู้ได้ถึงแนวคิดที่อยู่ในดาบเล่มใหญ่บริเวณทางเข้า ก็รู้ทันทีว่าตัวเขาไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิดไว้ แต่ในสภาวะนี้ ต่อให้เทพดาบสิบลี้กลับมาที่หอเทพดาบและปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีกครั้ง เขาก็มั่นใจว่าจะใช้การดวลศิลปะเพลงดาบเอาชนะอีกฝ่ายได้
หลังจากหลอมรวมเจตจำนงเพลงดาบแล้ว หน้าหนังสือสีทองก็ระเบิดและหายวับไปพร้อมกับปล่อยควันโขมง
“ก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียวนะ…” จางเซวียนหัวเราะหึๆขณะลืมตาขึ้นอีกครั้ง
เจตจำนงเพลงดาบนี้ดูจะนำพาตัวเขาไปอยู่บนบ่ายักษ์ในทันที ผลักดันศิลปะเพลงดาบของเขาให้เข้าถึงระดับที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน เพียงเท่านี้ก็ถือว่าได้ประโยชน์ใหญ่หลวงแล้ว
ไม่อย่างนั้น ต่อให้เขาฝึกฝนไปอีกสิบหรือร้อยปี ก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีความเข้าใจถึงระดับนี้
“ลั่วชิง ขอบคุณมาก” จางเซวียนพึมพำขณะกำจี้สีแดงที่ห้อยอยู่รอบลำคอ
เมื่อครู่นี้ ตอนที่วรยุทธของเขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก หัวสมองและจิตใจของเขาสับสนปั่นป่วนมาก เขาสูญเสียการควบคุมตัวเองอย่างสิ้นเชิง และแม้แต่หอสมุดเทียบฟ้าก็เกือบจะถูกทำลาย เป็นเพราะจี้ที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขาได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในช่วงเวลาคับขันนั้น
หรือว่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้เธอผนวกเอามหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วงไว้ในหอสมุดเทียบฟ้า? เธอคาดเดาไว้แล้วหรือเปล่าว่าในอนาคตตัวเขาจะมีโอกาสได้ใช้มหาคัมภีร์แห่งฤดูใบไม้ผลิกับฤดูใบไม้ร่วง?
คาดเดา?
จางเซวียนก้มหน้าลงพิจารณาจี้สีแดงอย่างถี่ถ้วน มันมีสีแดงก่ำเหมือนเลือด ดูน่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขารู้สึกว่าสีของมันหม่นลงเล็กน้อย
คุณเป็นใครกัน*?*
หลัวลั่วชิงรู้เรื่องหอสมุดเทียบฟ้า และเห็นได้ชัดว่าเธอคาดการณ์ไว้แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะต้องเกิดขึ้น ยิ่งเขารู้เรื่องของเธอมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนเธอจะยิ่งลึกลับขึ้นเท่านั้น
“เราไม่ควรเสียเวลาอ้อยอิ่งอยู่ที่นี่อีกแล้ว ควรรีบหาตัวเจ้าสำนักหรือเหล่าผู้อาวุโสและท้าทายพวกเขา บางทีเราอาจได้ข่าวคราวของตำหนักเทพเจ้าแห่งจิตวิญญาณจากพวกนั้นก็เป็นได้” จางเซวียนพึมพำขณะลุกขึ้นยืนและเดินออกไป
เขาเดินไปถึงลานบ้าน ได้พบลูกน้องที่เขาเพิ่งรับมาใหม่และมอบหมายภารกิจแรก “เฉาเฉิงลี่ ผมมีเรื่องให้คุณจัดการ ผมอยากให้คุณไปดูว่าจะได้ตราสัญลักษณ์นิรันดร์กาลของสำนักดาบเมฆเหิน มาได้อย่างไร และนำมันมาให้ได้ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ผมอยากได้สัก 2-3 อัน!”