คนจากฝ่ายมารล้วนทราบถึงความโหดเหี้ยมของผู้นำเป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้น ผู้อาวุโสใหญ่จึงไม่แปลกใจเมื่อได้ยินคำสั่งของฮวาเฉิน เขาเพียงพยักศีรษะและรับคำสั่ง ทว่าก็แอบถอนหายใจอยู่ในใจลึก ๆ
นั่นเป็นเพราะว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็คือหนึ่งในผู้รอดชีวิตจากสงครามเมื่อพันปีก่อนและมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณยายฮวา
ในตอนแรกที่คุณยายฮวาต้องการออกไปทำภารกิจครานี้ เขาก็ไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ต้องยอมรับอย่างจนปัญญาเมื่อผู้อาวุโสเจ็ดของฝ่ายมารยืนกรานอย่างหนักแน่น ในเมื่อตอนนี้ภารกิจล้มเหลวแล้ว เขาก็ย่อมคาดการณ์ถึงจุดจบของนางได้ไม่ยาก เขาทราบดีว่าแทบไม่มีทางเลยที่จะช่วยชีวิตนางจากเงื้อมมือของฉินอวี้โม่ได้ เกรงว่าชีวิตของนางคงจะดำเนินมาถึงจุดจบ
“บุปผาแห่งความมืดจะโตเต็มวัยภายในเจ็ดวันเป็นอย่างมาก ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดใด ๆ ในเจ็ดวันนี้ ติดต่อขุมกำลังที่ร่วมมือกับเราและบอกให้พวกเขาก่อกวนขุมกำลังในนครล่าฝัน อย่าให้พวกมันได้อยู่อย่างสงบ อีกเจ็ดวันข้างหน้า…สงครามจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ !”
ฮวาเฉินถ่ายทอดคำสั่งเพิ่มเติม เขาไม่อาจทนรอได้อีกต่อไปและต้องการเดินหน้าทำสงครามทันทีที่บุปผาแห่งความมืดโตเต็มวัย สำหรับบุปผาแห่งแสงและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ คาดว่าพวกมันคงจะยังไม่บรรลุสภาวะโตเต็มวัยและถือว่าฝ่ายของตนได้เปรียบกว่าพอสมควร
“ขอรับ !”
ผู้อาวุโสใหญ่รับคำสั่งก่อนแยกตัวออกไปดำเนินการตามคำสั่งของฮวาเฉินทันที
“เหอะ ครานี้ข้าจะต้องโค่นอำนาจของดินแดนเทพมายาให้จงได้ !”
ฮวาเฉินแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า หลังจากเตรียมตัวและเฝ้ารอมานานนับพันปี ครานี้เขาจะไม่ปล่อยให้เกิดอุบัติเหตุใด ๆได้เด็ดขาด พวกเขาฝ่ายมารจะคว้าชัยชนะในสงครามครานี้อย่างแน่นอน !
ในอีกฟากหนึ่งของดินแดน ฉินอวี้โม่ก็เดินทางออกจากนครล่าฝันเพื่อมารับตัวหานโม่ฉือ
หลังจากหานโม่ฉือออกจากฐานทัพของขุมกำลังมารร้ายได้สำเร็จ เขาก็รีบมุ่งหน้าตรงไปยังนครล่าฝัน เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่จะออกมาพบตน ทั้งสองจึงนัดพบกันที่ผืนป่าซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสถานที่ทั้งสอง
และหลังจากผ่านไปสามวัน ในที่สุดฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ได้พบกัน
“โม่เอ๋อร์ สตรีผู้นั้นอยู่ที่ใด ?”
ทั้งสองเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวด้วยกันและหานโม่ฉือก็กล่าวขึ้นทันที ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในนครล่าฝันให้เขาทราบผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารแล้ว และแน่นอนว่าหานโม่ฉือก็ต้องการทราบว่าคุณยายฮวาพยายามจะสื่อความหมายอะไร
“มารยา พาตัวนางออกมา”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาก่อนที่มารยาจะเดินออกมาจากห้องหนึ่งพร้อมกับผู้อาวุโสเจ็ดแห่งฝ่ายมาร
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้คุณยายฮวาจะถูกจับตัวไว้ในคฤหาสน์เฟิงหัวทว่าท่าทางของนางกลับสงบนิ่งและใจเย็นอย่างยิ่ง นางทราบดีว่าไม่มีโอกาสหลบหนีและทำอะไรไม่ได้จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบอยู่เฉยตลอดเวลาที่ผ่านมา
ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ความเป็นปฏิปักษ์ที่ปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของคุณยายฮวาก็ได้หายสาบสูญไปแล้วและตอนนี้นางดูเหมือนหญิงชราธรรมดาที่ไร้พิษภัยคนหนึ่งเท่านั้น
“ฉินอวี้โม่ หากเจ้าอยากรู้ความหมายถึงสิ่งที่ข้ากล่าวออกไปในวันนั้น ไม่ต้องเสียเวลาหรอก…ข้าไม่มีทางบอกเจ้าแน่”
เมื่อเห็นหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่เข้ามาด้วยกัน นางก็คาดเดาจุดประสงค์ของทั้งสองได้ทันทีและกล่าวออกไป
“ต่อให้เจ้าจะไม่พูดอะไร ข้าก็มีวิธีของข้า”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและพลังวิญญาณทรงพลังของเขาก็แผ่ตรงเข้าในจิตใต้สำนึกของคุณยายฮวาทันที นี่คือวิชาทะลวงจิตที่สามารถค้นหาความจริงจากความทรงจำของเป้าหมายได้
คุณยายฮวารู้สึกถึงความเจ็บปวดจี๊ดที่สมองของตนและราวกับความทรงจำของตนกำลังถูกขุดคุ้ยขึ้นมาโดยหานโม่ฉือซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทั้งอึดอัดและเจ็บปวดอย่างที่สุด เวลานี้นางสูญเสียพลังมายาทั้งหมดและพลังวิญญาณก็อ่อนแอมากจนไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อหยุดการกระทำของหานโม่ฉือได้
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ใบหน้าของผู้อาวุโสเจ็ดก็ซีดเผือดและเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นทั่วหน้าผากก่อนทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
หานโม่ฉือดึงพลังวิญญาณของตนกลับคืนมาและสีหน้ายังคงเรียบเฉยไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็พยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่ก่อนที่มารยาจะพาตัวนางกลับไปในห้องอีกครั้ง
“นางจงใจซ่อนความทรงจำนั้นไว้ ต่อให้เป็นวิชาทะลวงจิตของข้า มันก็ยังไม่มีทางจะขุดคุ้ยความทรงจำนั้นของนางขึ้นมาได้”
ทักษะทะลวงจิตของหานโม่ฉือเป็นศาสตร์ที่น่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดและแม้พลังในระดับของคุณยายฮวาก็ไม่มีทางต้านทานได้ อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าความทรงจำส่วนนั้นของนางถูกร่ายมนตร์ป้องกันไว้ส่งผลให้แม้แต่วิชาทะลวงจิตของเขาก็ไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงได้
“ข้ามองเห็นได้เพียงลาง ๆ ว่าเมื่อพันปีก่อน คุณยายฮวาผู้นี้เหมือนจะได้พบกับใครบางคน ทว่าข้าก็มองไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้เห็นในความทรงจำของคุณยายฮวา หานโม่ฉือก็กล่าวออกไป และเมื่อไตร่ตรองดูในตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าสิ่งที่คุณยายฮวากล่าวถึงก่อนหน้านี้น่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลที่นางพบ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่านางหวาดหวั่นต่อคนผู้นั้นเป็นอย่างยิ่งและเก็บความลับดังกล่าวไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำ เว้นแต่ว่านางยอมเปิดเผยมัน แม้แต่หานโม่ฉือก็ไม่มีทางขุดคุ้ยขึ้นมาได้
“บางทีอาจเป็นคนจากดินแดนระดับสูง”
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดมากเกินไปนัก ถึงอย่างไรสงครามก็ใกล้เข้ามาเต็มทีและความลับนั้นจะถูกเปิดเผยในเวลาอีกไม่นาน เมื่อถึงตอนนั้น แม้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดฝ่ายมารจะยังปิดปากเงียบสนิท ฉินอวี้โม่ก็จะได้ทราบมันอย่างแน่นอน
“นอกเหนือจากนี้…ข้าก็ได้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับฝ่ายมารซึ่งดูจะแตกต่างจากที่ข้าสืบมาก่อนหน้านี้”
จากการสำรวจความทรงจำของคุณยายฮวา หานโม่ฉือก็ได้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับขุมกำลังมารร้ายมาพอสมควร
คุณยายฮวาผู้นี้อยู่ร่วมกับฝ่ายมารมาตั้งแต่ที่มันเริ่มก่อตั้งขึ้น เดิมทีนางเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์พิเศษไม่เหมือนใครซึ่งทำให้นางดูเหมือนหญิงชราแม้อายุยังเป็นสตรีเยาว์วัย และในช่วงเวลานั้นนางก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ธรรมดาคนหนึ่งในดินแดนเท่านั้น ทว่าเนื่องจากญาติพี่น้องและสหายมองนางเป็นตัวประหลาดในขณะที่จอมยุทธ์คนอื่น ๆ ก็มองนางด้วยสายตาแปลก ๆ อยู่เสมอ สุดท้ายนางจึงเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายมาร
นับตั้งแต่จุดเริ่มต้น ผู้นำของฝ่ายมารก็คือฮวาเฉินมาตลอด ทว่าสำหรับต้นกำเนิดของฮวาเฉินหรือสาเหตุที่เขาก่อตั้งขุมกำลังมารร้ายขึ้นมานั้น คุณยายฮวาเองก็ไม่แน่ใจนัก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางเก็บตัวอยู่ในฐานทัพของฝ่ายมารมาเสมอและแทบไม่เคยออกมาข้างนอก ในสงครามครั้งประวัติศาสตร์เมื่อพันปีก่อน ฮวาเฉินก็สั่งให้นางออกไปพบกับใครบางคนโดยที่ไม่ต้องเข้าร่วมในสงคราม นางจึงไม่ปรากฏตัวในสงครามครานั้น และหลังจากนั้น เมื่อผู้นำฝ่ายมารเพลี่ยงพล้ำไป คุณยายฮวาผู้นี้และผู้อาวุโสฝ่ายมารอีกหลายคนก็เป็นผู้ที่พบเศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของฮวาเฉินและพยายามฟื้นคืนชีพเขาขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ฝ่ายมารมีผู้อาวุโสถึงยี่สิบสี่คนด้วยกันซึ่งทั้งหมดล้วนมีพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุด ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็มีศิษย์เอกอยู่เป็นจำนวนหนึ่งและพวกเขาต่างก็มีความแข็งแกร่งที่บรรลุขอบเขตนภาเซียน ส่วนผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังมีพลังอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้น บรรดาศิษย์ทั่วไปที่เหลือของฝ่ายมารก็แข็งแกร่งกว่ายิ่งกว่าจอมยุทธ์ทั่วไปของฝ่ายดินแดนเทพมายาเสียอีก เรียกได้ว่าหากมองเพียงแค่ในแง่ของพลังอำนาจโดยรวม ฝ่ายดินแดนเทพมายาก็ไม่มีทางเป็นคู่มือให้กับฝ่ายมารได้
ระหว่างเดินทางกลับนครล่าฝัน หานโม่ฉือก็ได้เล่าเรื่องราวข่าวสารทั่วไปเกี่ยวกับฝ่ายมารให้ฉินอวี้โม่ได้ทราบ
ถึงแม้ฉินอวี้โม่จะมีกองทัพอสูรมายาที่ทรงพลัง ทว่านางก็อาจรับมือกับสมาชิกของฝ่ายมารไม่ได้ พวกเขาเหล่านั้นยังมีไพ่ตายที่ซ่อนไว้อีกไม่น้อย และเมื่อใดที่แสดงไพ่ตายเหล่านั้นออกมา คาดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงทิศทางของสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ในความทรงจำของผู้อาวุโสเจ็ดหรือแม้แต่ช่วงเวลาที่หานโม่ฉือแฝงตัวเข้าไปอยู่ในฐานทัพของฝ่ายมาร นางก็ไม่ได้รับเบาะแสแม้แต่น้อยว่าไพ่ตายเหล่านั้นคืออะไร ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากตัวฮวาเฉินเอง เกรงว่าไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าไพ่ตายที่แท้จริงของฝ่ายมารคือสิ่งใดกันแน่
“ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาก็ใช้ดินต้าน พวกฝ่ายมารมีไพ่ตายก็จริง ทว่าเราก็ยังมีทางรับมือกับมันได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องคิดมากเกินไปหรอก”
*兵来将挡,水来土掩 ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน เปรียบถึงไม่ว่าจะมาวิธีไหนก็สามารถรับมือได้
ฉินอวี้โม่ไม่กังวลเท่าใดนัก ในโลกใบนี้ ทุกอย่างล้วนส่งเสริมและยับยั้งซึ่งกันและกัน นางคาดการณ์ไว้นานแล้วว่าฝ่ายมารจะต้องมีเล่ห์กลซ่อนไว้ ทว่าเมื่อถึงตอนนั้น นางจะหาทางทำลายมันให้จงได้
ทั้งสองใช้เวลาสามวันก่อนเดินทางกลับไปถึงนครล่าฝัน
เวลานี้ สมาชิกจากขุมกำลังพันธมิตรต่าง ๆ ก็เดินทางมาถึงนครล่าฝันเป็นจำนวนมากแล้ว
จากข้อตกลงระหว่างพวกเขาและฝ่ายมาร สงครามชี้ชะตาจะเกิดขึ้นในที่ราบไร้จุดจบไม่ไกลจากนครล่าฝัน สถานที่บริเวณนั้นกว้างขวางมากพอและเหมาะสมที่สุดสำหรับสงครามชี้ชะตาครั้งยิ่งใหญ่
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ในหลายวันที่ผ่านมานี้ มีคนจากฝ่ายมารจำนวนไม่น้อยที่แอบลักลอบเข้ามาในนครของเราเพื่อสืบข่าวเกี่ยวกับคุณยายฮวา ข้าส่งคนไปจับตัวคนเหล่านั้นไว้แล้ว เจ้าจะจัดการกับพวกเขาอย่างไร ?”
ฉินเทียนกล่าวขึ้นมาซึ่งตรงตามข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ หลังจากนางเดินทางออกจากนครล่าฝันเพื่อไปรับตัวหานโม่ฉือ คนจากฝ่ายมารก็แฝงตัวเข้ามาในนครล่าฝันเพื่อพยายามสืบข่าวเกี่ยวกับผู้อาวุโสเจ็ดของฝ่ายมารอย่างลับ ๆ
จากสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีคนจากฝ่ายมารแอบซุ่มสังเกตการณ์อยู่รอบนครล่าฝันและถึงขั้นแฝงตัวเข้ามาสอดส่องอยู่ตลอดเวลา
“ผนึกพลังของพวกเขาเสีย และเมื่อสงครามกับฝ่ายมารสิ้นสุดลง เราจะปล่อยพวกเขาออกไป”
ฉินอวี้โม่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก คนเหล่านั้นเป็นเพียงลิ่วล้อตัวเล็ก ๆ เท่านั้นและนางไม่จำเป็นต้องสนใจ
“ท่านอธิการและเหล่าผู้นำจะออกจากสภาวะเก็บตัวเมื่อใด ?”
ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ มู่อวิ๋นก็เอาแต่เก็บตัวฝึกวิชาอย่างเงียบ ๆ จ้าววิหารทมิฬ—อู่เทียนฉิง จ้าวนครเวหา—อวิ๋นซื่อเทียน และจ้าวนครกระบี่ศักดิ์สิทธิ์—หลี่อีหรานก็ล้วนอยู่ในช่วงเก็บตัวเช่นเดียวกัน ทว่าในเมื่อตอนนี้สงครามใกล้มาถึง พวกเขาก็คงจะใกล้ออกมาแล้ว
“ข้าคิดว่าคงจะไม่เกินสามวันนี้”
บรรดาสมาชิกจากสามขุมกำลังใหญ่มองหน้ากันและพวกเขาทุกคนสืบข่าวความคืบหน้าก่อนมาที่นี่แล้ว จ้าววิหารและจ้าวนครของพวกเขาจะออกจากสภาวะเก็บตัวบ่มเพาะในอีกสามวันและจะนำกำลังคนมาที่นครล่าฝัน ส่วนพวกเขาที่เดินทางมาก่อนเป็นการล่วงหน้า ก็เพื่อมาป้องกันมิให้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น รวมถึงหารือกลยุทธ์การต่อสู้ด้วยกัน
“ดีเลย เดิมทีบุปผาแห่งความมืดจะต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าที่จะโตเต็มวัย อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของบุปผาแห่งแสงเหมือนจะกระตุ้นการเจริญเติบโตของบุปผาแห่งความมืด นอกจากนี้เราก็ยังมีต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้วย บุปผาแห่งความมืดไม่มีทางรออยู่เฉย ๆ แน่ ข้าคาดว่าไม่เกินเจ็ดวัน มันจะโตเต็มวัยและตอนนั้นก็ถึงเวลาที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้น”
นี่คือสิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อไม่กี่วันก่อน บุปผาแห่งแสงสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดของบุปผาแห่งความมืด และด้วยเหตุผลพิเศษบางประการทำให้มันโตเต็มวัยรวดเร็วกว่ากำหนดมาก เดิมทีมันยังเหลือเวลาอีกหลายเดือนทว่าตอนนี้มันกลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และนั่นหมายความว่าสงครามประจันหน้ากับฝ่ายมารก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อแล้ว
“ไม่เป็นไร พวกเราพร้อมแล้ว ! ครานี้เราต้องกำจัดเนื้อร้ายของดินแดนเทพมายาไปให้จงได้ !”
อู่ซิงจากวิหารทมิฬและฉินอวี้โม่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมานานและในครานี้เขาก็เป็นคนที่นำสมาชิกจากวิหารทมิฬล่วงหน้ามาที่นี่ก่อน
เมื่อมองตรงไปที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์หลัก ความรู้สึกมากมายก็ผุดขึ้นในหัวใจของอู่ซิง
เมื่อครั้งได้พบกันในตอนแรก ทั้งสองคนตรงหน้ายังเป็นเพียงจอมยุทธ์อัจฉริยะในดินแดนหวนหลิงเท่านั้นและเป็นเพียงมดตัวเล็ก ๆ ในสายตาของเขา แม้ทราบว่าทั้งสองมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เขาและคนอีกมากมายก็ไม่เคยคาดคิดว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะพัฒนามาจนถึงขั้นนี้ได้ภายในเวลาเพียงไม่นาน
อู่ซิงทราบดีว่าในปัจจุบันนี้เขามิใช่คู่มือของทั้งสองคนแม้แต่น้อย เกรงว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็คงจะเหนือกว่าจ้าววิหารของเขาด้วยซ้ำ
เมื่อสงครามชี้ชะตากับขุมกำลังมารร้ายมาถึง ผู้มากพรสวรรค์ทั้งสองนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการคว้าชัยชนะของพวกเขาอย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสอู่ซิง ช่วงนี้สถานการณ์ของอารามโชติช่วงเป็นอย่างไรบ้าง ?”
วิหารทมิฬและอารามโชติช่วงเป็นศัตรูตัวฉกาจต่อกันมาเสมอ และพวกเขาก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของอารามโชติช่วงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนสงครามจะเริ่มต้น การเข้าใจพลังอำนาจโดยรวมของคู่ต่อสู้ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
“มันก็ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เท่าใดนัก เพียงแค่วิหารทมิฬของเราก็มากพอที่จะรับมือกับพวกเขาได้”
อู่ซิงไตร่ตรองครู่หนึ่งและไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่เกินไป ความแข็งแกร่งของอารามโชติช่วงอยู่ในระดับไล่เลี่ยกับวิหารทมิฬมาเสมอ ในสงครามชี้ชะตาครานี้ ทั้งสองฝ่ายจะประจันหน้ากันอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น โอกาสคว้าชัยชนะของพวกเขาก็ไม่ถือว่าน้อยเลย
“จะว่าไปแล้ว เมื่อกล่าวถึงอารามโชติช่วง ข้าก็นึกบางอย่างขึ้นได้”
จู่ ๆ อวิ๋นเฟิงจากนครเวหาก็นึกบางอย่างขึ้นได้และกล่าวออกมา นี่เป็นข้อมูลที่พวกเขาได้รับรู้มาโดยบังเอิญ