GGS:บทที่ 1052 สุดยอดสวนสัตว์ (7)
ในสวนสัตว์จงหยุนในตอนนี้นั้น ฟานเว่ยเชินและซิ่วจงหงได้พาผู้เข้าชมกลุ่มแรกไปยังพื้นที่ต่อไป กลุ่มที่ตามมานั้นก็ได้รีบเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว
คนที่มากลุ่มแรกแต่มัวแต่ปลื้มปลิ่มกับตะพาบน้ำยักษ์เองก็พยายามที่จะตามมาให้ทัน แต่พวกเขานั้นก็ต้องถูกมนต์สะกดจากมวลหมู่ผีเสื้อเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง
สำหรับคนกลุ่มแรกนี้มีบางคนเหมือนกันที่ยังไม่อยากจะออกมาจากสวนผีเสื้อเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ออกมาตามมารยาท พวกเขายังคิดที่จะวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากเดินครบแล้ว
ผู้เข้าชมกลุ่มแรกได้เดินผ่านทางโค้งมาจนกระทั่งถึงพื้นที่ที่รายล้อมไปด้วยต้นไทรจีน ด้วยต้นไม้เหล่านี้ทำให้พื้นที่ในบริเวณนี้กลายเป็นสีเขียวจนรู้สึกดีแบบสุดๆ
หลังจากพวกเขาเดินไปได้สักเจ็ดถึงแปดนาทีก็ได้เจอกับพื้นที่ถัดไป จากที่พวกเขาได้มองดูแล้วก็พบว่าพื้นที่ส่วนนี้คือสวนที่ขนาดใหญ่มาก
ในคราวนี้พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาในการมองหาสัตว์ประจำพื้นที่แม้แต่น้อยนั่นก็เพราะทันที่เข้าไปถึง พวกเขาก็ได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ไกลๆ
พวกมันน่าจะมีน้ำหนักตัวประมาณสักยี่สิบหรือสามสิบชั่งเห็นจะได้ ขนของพวกมันนั้นมีสีน้ำเงินเทาและมีความสูงประมาณสักยี่สิบสามเซนติเมตร
สีของมันเวลาอยู่นั่นร่มนั้นก็ดูออกจะเป็นดำเลยทีเดียว มันมีหงอนอยู่ที่ด้านหน้าของหัว มีจุดสีแดงที่ปลายปาก และมีปีกที่สั้น บ่งบอกได้ว่าพวกมันนั้นไม่สามารถบินได้
ขาของมันนั้นดูแข็งแรงและมีสีเหลือง และในทุกๆตัวก็ได้มีกระจุกขนที่ตั้งชันอยู่ที่ตูดของพวกมัน
หลายๆคนที่เห็นเองก็มีความรู้สึกสับสนในทันที นั่นก็เพราะพวกมันนั้นดูคุ้นเคยก็จริงแต่พอนึกดีๆแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าพวกมันคือสัตว์อะไรกันแน่
“นกนี่คือนกอะไรกัน นกกระจอกเทศเหรอ”
“ไม่ใช่นะ ฉันเคยเห็นนกกระจอกเทศมาแล้ว พวกมันไม่ได้มีลักษณะแบบนี้”
นกเหล่านี้นั้นมีเพียงไม่กี่คนที่จดจำมันได้ในทันทีที่เห็น พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนในวงการสวนสัตว์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเฉินฮง เฉินเจียเหยา และคนอื่นๆในตอนนี้พวกเขาต่างก็นิ่งอึ้งไป บางคนมีท่าทีแสดงออกมาว่าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเสียยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นหนูจิงโจ้เสียอีก
“พระเจ้า!!!” เฉินฮงได้ขยี้ตาของตัวเองก่อนที่จะมองนกเหล่านี้อีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าภาพที่เห็นยังคงเหมือนเดิมก็ทำให้เขาตกตะลึงและมีท่าทีว่าไม่เชื่ออย่างที่เห็นจนแสดงออกมาให้ทุกคนได้รับรู้
“โดโด้ นั่นมันนกโดโด้…ใช่….รึเปล่า” เชินเจียวเหยากลืนน้ำลายของตัวเองอย่างยากลำบาก สำหรับหญิงสาวที่มีท่าทางมั่นหน้าเพราะว่าตัวเธอนั้นเป็นคนที่สวยคนหนึ่งแล้ว ท่าทางของเธอนี้เรียกได้ว่าคัดกับตัวตนที่เธอแสดงออกมาอยู่เป็นประจำ
“ไม่มีทาง” เมื่อจูเจียนฮัวและหลิวหยินได้ยินคำว่าโดโด้ก็ตกอยู่ในสภาวะสายตาแทบจะถลนออกมาในทันที
“โดโด้คือ?” โจวหลันได้ถามออกมาอย่างสงสัย
“ฉันก็จำรายละเอียดไม่ค่อยได้นะ จำได้แค่ว่ามันเป็นนกอีกสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เอาเป็นขอถ่ายรูปไว้ก่อนแล้วกัน” ฉินซูหลานพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนออกมาถ่ายอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งคอยเงี่ยหูฟังคำบรรยายของเฉินฮงและฟานเว่ยเชินไปด้วย
ราวกับจะบ่งบอกว่าหากไม่รู้ในสิ่งที่เห็นก็ต้องคอยฟังจากผู้เชี่ยวชาญถึงจะดีที่สุด คนอื่นที่ไม่รู้ว่าพวกมันคือนกอะไรก็เลยถามจากคนนำทางของพวกเขา แต่หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
“เอาล่ะนะ ผมขอแนะนำสัตว์ตัวนี้ให้ทุกคนได้รู้จักกันหน่อยก็แล้วกัน ทุกคนอาจจะเคยผ่านๆตาเจ้านกตัวนี้มาแล้วบ้าง ผมบอกได้เลยว่าสำหรับคนที่รู้จักนกพันธุ์นี้แล้วย่อมแน่นอนว่าอยากได้พวกมันเอาไว้ในครอบครองอย่างที่สุด และถูกต้องแล้วครับ ตามที่ได้ยินกันนี่คือนกที่มีชื่อว่าโดโด้ นอกจากนั้นมันยังมีชื่ออย่างเป็นทางการก็คือเมาลิเตียนโดโด้” ฟานเว่ยได้เริ่มอธิบายให้ทุกคนได้รับฟัง
“นกพันธุ์นี้นั้นเป็นสัตว์ถิ่นที่อาศัยอยู่เฉพาะบนเกาะเมาลี หลายๆคนเองก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อนี้นะครับ แม้แต่มาร์กทเวนที่เป็นนักเขียนหนังสือชื่อดังก็ยังยกย่องไว้ว่าเกาะเมาลีนี้เป็นเกาะที่พระเจ้าสรรสร้างขึ้นมา เพราะพวกมันสวยอย่างมากจนได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์บนดินเลยทีเดียว
ด้วยการที่นกโดโด้นี้อยู่ที่สรวงสวรรค์แห่งนั้นโดยไม่มีศัตรูทางธรรมชาติและด้วยการที่มันได้อยู่ท่ามกลางแหล่งอาหารที่สมบูรณ์ที่สุด
ด้วยการที่มีชีวิตอยู่ในรูปแบบนี้มาอย่างยาวนานราวกับหนูที่ได้ไปอยู่ในถังข้าวสารแบบนี้ ทำให้พวกมันวิวัฒนาการตัวเองจากเดิมที่บินได้ ก็ค่อยๆเปลี่ยนไปจนไม่สามารถบินได้อีกต่อไป
จนในที่สุดนกโดโด้นี้จึงพบได้เพียงที่นั่นเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อสองร้อยปีก่อนที่มนุษย์ได้เข้าไปพบที่นั่น นกโดโด้นี้ก็ถือได้ว่าสูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะมนุษย์ที่ไปนั้น พวกมันไม่ได้ล่าเพื่อกินแต่เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น และด้วยการล่าที่สนุกสนานนี้ทำให้พวกมันเป็นที่รู้จักในฐานะสัตว์สูญพันธุ์พอๆกับไดโนเสาร์ และมีเพียงนกโดโด้ตัวนี้เท่านั้นที่ถูกรู้จักมากที่สุดในมวลหมู่นกทั้งหลาย”
เพียงไม่กี่คำพูดของฟานเว่ยเชินได้พูดออกมานั้นก็สามารถครอบคลุมได้ถึงที่มา สาเหตุของความหายากและการสูญพันธุ์ได้อย่างลึกซึ้ง
และนี่ถือได้ว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับคนที่อยากรู้เรื่องนกนี้กับผู้เชี่ยวชาญแบบนี้ พวกเขาที่ได้ยินนั้นหลายๆคนเองก็นึกถึงว่าหากว่าคนบนเกาะเมาลีได้รู้ว่านกโดโด้ของตัวเองมาอยู่ที่สวนสัตว์จีนแบบนี้ พวกเขาจะทำหน้ากันยังไง
“อ้อ อีกเรื่องนึง ในเดือนสิงหาคมปี2016นั้น โครงกระดูกของนกโดโด้ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุดนั้นถูกประมูลออกไปด้วยราคา4.4ล้านหยวน” ฟานเว่ยได้พูดออกมาเพื่อโยนเชื้อไฟให้กับความตระหนักของทุกคนในทันที
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็สะดุ้งเฮือกกันเกือบหมดนั่นก็เพราะเพียงโครงกระดูกเล็กๆกับขายได้ในราคากว่าสี่ล้านหยวน แล้วหากว่าเป็นตัวเป็นๆล่ะ ไม่ใช่ว่าราคาของนกนี่จะสูงเสียดฟ้าเลยเหรอ
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว นี่ฉันจะบ้าตายแล้วเนี่ย”
“พระเจ้าเถอะ ซูจิ้งไปได้มันมาจากไหนกันเนี่ย”
“อย่าถามถึงราคาของนกโดโด้ที่เราเห็นเลย ฉันว่าแม้แต่ชาวเมาลีเองหากรู้เรื่องนี้ก็ต้องตื่นเต้นจนถึงกับต้องทรุดอย่างแน่นอน ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าพวกเขาจะยอมซื้อพวกมันกลับไปด้วยราคาเท่าไหร่กัน”
“ฉันว่าไม่เพียงแต่ชาวเมาลีหรอก ประเทศอื่นเองก็น่าจะอยากซื้อมันจนเนื้อเต้นอย่างแน่นอน เพียงแค่ได้มันไว้สักตัวไม่ก็คู่หนึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เมืองๆหนึ่งกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวได้แล้ว เพราะพวกมันนั้นหายากยิ่งกว่าแพนด้ายักษ์ของเราซะอีก”
“ห้ะ จะไปขายได้ยังไงกัน พวกมันนั้นสมควรจะต้องถูกปฏิบัติเช่นเดียวกับแพนด้าแดงสิ อย่างมากก็ให้ยืมได้แค่นั้นเอง เอาจริงๆนะแค่ยืมไปปีสองปีก็เพียงพอแล้วล่ะ”
“เห็นมะ บอกแล้วว่ามาที่นี่คุ้มค่าแน่นอน” ฉินซูหลานหัวเราะออกมา
“ช่ายยยมันคุ้มค่าจริงๆ” โจวหลันในตอนนี้นั้นยอมรับแต่โดยดีแล้วว่าเธอดีใจจริงๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองของเธอนั้นได้หายไปแล้ว
ในตอนนี้เธอนั้นมีท่าทีตื่นเต้นอย่างมากจนหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาและถ่ายรูปพวกมัน ก่อนที่เธอจะให้ฉินซูหลานถ่ายรูปของเธอกับนกโดโด้ให้ด้วย
ตอนนี้ในใจของเธอนั้นไม่ได้สนใจเรื่องสวนสนุกอีกต่อไปแล้วนั่นก็เพราะสวนสนุกแบบนั้นที่ไหนๆก็เหมือนๆกัน แต่กับการที่จะได้เห็นสัตว์หายากและสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วมีเฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
โจวหลันเองก็มีความรู้สึกแบบนี้เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าซูจิ้งนั้นจะนำสัตว์เลี้ยงของตัวเองมาจัดแสดงเท่านั้นเองและออกมาทำนู่นนี่นั่นด้วยตัวเอง เพราะไม่งั้นแล้วแค่สัตว์เลี้ยงของเขานั้นย่อมไม่เพียงพอเพราะไม่ว่าสวนสัตว์ที่ไหนก็มีสัตว์แบบนั้น
แต่ตอนนี้เธอถึงกับต้องม้วนความคิดเหล่านั้นพับเก็บไปในที่สุด อย่างที่เขาว่ากันว่า ความคิดของมนุษย์ปถุชนคนธรรมดา จะไปเทียบได้กับความคิดของเทพเจ้าได้อย่างไร
“แม่…เอ๊ยยย แบบนี้ชื่อเสียงของซูจิ้งได้ขึ้นไปสุดฟ้าแน่ๆ” ชายหนุ่มเจาะหูที่ตอนนี้กำลังมีเหงือไหลออกมาจากหน้าผากจนเปียกโชกได้สบถออกมาเบาๆ
“เอาจริงๆเลยนะ ตอนนี้ฉันคิดว่าซูจิ้งนั้นเป็นเทพของจริงแล้วล่ะ นี่ต้องเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งๆที่พวกเราสืบเรื่องของหมอนั่นซะขนาดนั้นแต่ยังไม่ได้อะไรกลับมาเลย” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งรู้สึกละอายใจเล็กนายที่ต้องพูดออกมา เขารู้สึกเสียใจอย่างมากในตอนนี้ที่ต้องไปหาเรื่องกับคนเทพๆแบบนี้ หากว่านับรวมกับเรื่องราวที่ซูจิ้งทำไว้ก่อนหน้านี้มารวมกับเรื่องเขานั้นมีสัตว์สูญพันธุ์มากมายเหล่านี้ไว้ในครอบครองได้ล่ะก็ คนธรรมดาเช่นพวกเขาจะทำอะไรได้
“อย่าเพิ่งรีบถอดใจยอมแพ้แบบนั้นสิ อย่างน้อยๆเราก็ต้องรายงานให้นายน้อยของพวกเราได้รับรู้ไว้ก่อน” หนุ่มสวมแว่นมาดสุขุมที่มีความรู้สึกไม่ต่างกันนั้นได้พยายามจะพูดปลุกใจพวกพ้องของตน
นั่นก็เพราะสำหรับเขาแล้วฮัวหยุนชูคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่และใส่ใจตัวเขาตลอดเวลา นี่ทำให้เขานั้นตัดสินใจติดตามฮัวหยุนชูไม่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าจะเป็นแบบไหนก็ตาม
หลังจากข่าวของนกโดโด้รวมถึงเหล่าสัตว์หายากและสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วทั้งหลายได้ถูกเผยแพร่ออกไปบนโลกอินเตอร์เนต นี่ทำให้ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมายังสวนสัตว์เมืองจองหยุนแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย
แน่นอนว่าเหล่าผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าเองก็ตื่นเต้นจนแทบคลั่งในทันที
เอี้ยป๋อที่เห็นข่าวนี้เองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน แต่ถึงแม้ระบบสื่อสารในตอนนี้จะรวดเร็วขนาดไหนก็ตาม แต่ตัวเขานั้นก็ยังคงต้องติดแหงกอยู่ในรถที่กำลังไหลไปอย่างช้าๆบนท้องถนนจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว