คิดแล้วหลิงหยุนก็กระวนกระวายและร้อนใจจนแทบอยากจะเหาะกลับไปจิงฉูในตอนนี้เลยทีเดียว เขาต้องการไปดูให้เห็นกับตาว่าหินมังกรเขียวของตนนั้นยังอยู่ใต้หลุมยักษ์เช่นเดิมหรือไม่
หลิงหยุนได้แต่นึกตำหนิตนเองที่ประมาทเลินเล่อเพราะเมื่อครั้งที่ออกเดินทางมาปักกิ่งเป็นครั้งที่สองนั้น เขาลืมคิดที่จะเคลื่อนย้ายหินมังกรเขียวก้อนใหญ่ไปไว้ในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ เพราะถึงอย่างไรหลุมยักษ์ก็ยังเป็นสถานที่ที่ผู้บ่มเพาะพลังสนใจใคร่ลงไปสำรวจอยู่ดี
แต่ครั้งนั้นก็มีเหตุผลหลายข้อที่ทำให้เขาไม่ทันคิดเรื่องนี้ซึ่งเหตุผลแรกก็คือการเร่งเดินทางไปปักกิ่งเพื่อช่วยตระกูลหลิงและตระกูลเกา อีกทั้งครั้งนั้นหลิงเสี่ยวพ่อของเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และยังมีคนตระกูลเกาอีกสิบชีวิตที่กำลังรอคอยให้เขากลับไปช่วย
เหตุผลข้อที่สอง..หินมังกรเขียวนั้นมีขนาดใหญ่และหนักมาก และครั้งนั้นแหวนพื้นที่ของเขาก็ยังมีขนาดเล็กเกินที่จะเก็บหินก้อนมหึมานั้นไว้ข้างในได้ และด้วยขั้นกำลังของเขาในเวลานั้น หากจะเคลื่อนย้ายหินมังกรเขียวขึ้นจากหลุมยักษ์ที่มีน้ำท่วมสูงนั้น คงจะต้องใช้ทำกำลังคน และกำลังทรัพย์อย่างมากมายเลยทีเดียว
และเหตุผลข้อสุดท้ายก็คือครั้งนั้นบุคคลอันดับหนึ่งได้ออกคำสั่งห้ามชาวยุทธเดินทางเข้าจิงฉูโดยเด็ดขาด ทำให้จิงฉูกลายเป็นเมืองที่สงบเงียบปลอดภัย ปราศจากเหล่าชาวยุทธเดินทางเข้ามาสร้างปัญหาให้กับเขา ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย และวางใจได้อย่างมาก
แต่ตระกูลหลงกลับฝ่าฝืนคำสั่งหลงฮ่าวหลานต้องการสืบเรื่องราวเกี่ยวกับหลิงหยุน จึงได้แอบส่งหลงเทียนซินไปเมืองจิงฉู และด้วยขั้นกำลังของหลงเทียนซินแล้ว หากเขาไม่ต้องการให้ผู้คนในจิงฉูพบเห็น ก็ยากนักที่ผู้ใดจะพบเจอเขาได้!
หลงเทียนซินเข้าไปในจิงฉูเกือบครึ่งเดือนแม้แต่ไป๋เซียนเอ๋อยังไม่ระแคะระคาย!
…..
พรึบ!
เย่ซิงเฉินเหาะลงมายืนข้างหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“หลิงหยุน เจ้าได้รับบาดเจ็บไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนรู้ว่าเย่ซิงเฉินกังวลเรื่องอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ของตนจึงได้แต่หันไปยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปว่า
“ซิงเฉินเจ้าอย่าได้กังวลใจไป เป็นเพียงแค่บาดแผลระดับผิวเนื้อเท่านั้น!”
หลิงหยุนถูกคนตระกูลหลงรุมจู่โจมพร้อมกันถึงสามคนและได้รับบาดเจ็บจากพลังพัดมังกรของหลงเทียนซินที่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเขาได้ จนสามารถสร้างบาดแผลยาวกว่าแปดเซ็นติเมตรไว้ที่หัวไหล่ของเขาได้
“ซิงเฉินฟังข้าให้ดี..เจ้าอย่าได้สนใจการต่อสู้ในที่นี้ เจ้ารีบติดต่อเอ็ดเวิร์ด พอล เจสเตอร์ เสี่ยวเม่ยเม่ย และตี้เสี่ยวอู๋ นำพวกเขาทั้งหมดเร่งรุดไปที่หลุมยักษ์บนเขามังกรในเมืองจิงฉู และรีบไปสำรวจดูว่าหินมังกรเขียวของข้ายังอยู่ใต้หลุมยักษ์หรือไม่”
“เสี่ยวเม่ยเม่ยรู้ว่าหลุมยักษ์นั้นอยู่ที่ใดส่วนตี้เสี่ยวอู๋รู้ว่าหินมังกรเขียวคือก้อนใด หากหินมังกรเขียวยังอยู่ และยังไม่ถูกนำออกไป เจ้าจงสั่งให้แวมไพร์ทั้งสามเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดทั้งวันทั้งคืน รอจนกว่าข้าจะกลับไป..”
เย่ซิงเฉินได้ยินเช่นนั้นจึงได้แต่ร้องถามด้วยความประหลาดใจ“หินมังกรเขียวที่เจ้าได้มาจากเซียนหยกใช่หรือไม่ หินนั่นสำคัญมากถึงเพียงนี้เชียวรึ?”
หลิงหยุนตอบกลับไปทันที“ถูกต้อง! หินนั่นเกี่ยวโยงกับมังกร”
เย่ซิงเฉินแสดงท่าทีว่าไม่ต้องการจากไปในเวลานี้นางกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมกับถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
“แล้วที่นี่เล่า..เจ้าจะทำเช่นใด”
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลใจไปในเมื่อตระกูลเย่ลงมือแล้ว พวกเขาย่อมไม่จากไปไหนแน่ เวลานี้คนตระกูลเย่ทั้งสามคนสามารถรับมือหลงฮ่าวเฉียนกับหลงเทียนซินได้ไม่ยาก ส่วนข้าก็จะสามารถรับมือหลงเทียนฟางได้อย่างสบายมากขึ้น!”
เมื่อเห็นเย่ซิงเฉินยังไม่คลายกังวลหลิงหยุนจึงได้แต่บอกไปว่า “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า หากคนตระกูลหลงทั้งสามบีบคั้นข้ามากจนเกินไป ข้าจะสังหารพวกมันทั้งสามทิ้งเสีย และฝังร่างของพวกมันไว้ใต้ผืนน้ำทะเลสาบผอหยางแห่งนี้แน่!”
เย่ซิงเฉินขมวดคิ้วพร้อมกับหันไปถามย้ำให้มั่นใจ“เจ้าทำได้จริงรึ”
“แน่นอน!”
“ได้..ข้าจะไป!”
เย่ซิงเฉินรู้ดีว่าด้วยความสามารถของตนในเวลานี้ต่อหน้ายอดฝีมือทั้งสามของตระกูลหลง นางไม่เพียงไม่สามารถช่วยอะไรหลิงหยุนได้ แต่กลับจะกลายเป็นภาระให้เขาด้วยซ้ำไป จึงได้ตัดสินใจจากไปทันที แล้วร่างของนางก็หายวับไปท่ามกลางแสงจันทร์อย่างรวดเร็ว
“เทียนฟาง..เจ้าออกมาได้แล้ว!”
เวลานี้พลังจากฝ่ามือทั้งสองของหลงฮ่าวเฉียนได้ถูกกระบี่เหินเฟยเจี้ยนของเย่ชิงซินทำลายลงแล้ว ในเมื่อตระกูลเย่ออกหน้าช่วยหลิงหยุนเช่นนี้ หลงฮ่าวเฉียนจึงรู้ว่าคืนนี้ตนย่อมหมดโอกาสที่จะจัดการกับหลิงหยุน และยากที่จะจับมังกรดำตัวนี้กลับไปได้ จึงตัดสินใจรามือไปก่อน..
หลังจากที่ช่วยเจ้าสีนิลไว้ได้และสั่งการเย่ซิงเฉินไปแล้ว หลิงหยุนจึงหันไปหาหลงเทียนฟางที่ซุ่มอยู่ใต้น้ำ และคอยหาโอกาสที่จะจู่โจมหลิงหยุนอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ก็ยังหวาดหวั่นต่อหอกมังกรทองของหลิงหยุน จึงยังไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม เมื่อหลงเทียนฟางได้ยินเสียงร้องตะโกนเรียกของหลงฮ่าวเฉียนผู้เป็นลุงเขาก็พุ่งร่างขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลสาบ แล้วเหาะไปยืนอยู่ข้างหลงฮ่าวเฉียนทันที และจ้องมองหลิงหยุนกับมังกรสีดำที่อยู่เบื้องล่างด้วยแววตาขุ่นเคือง
ในเวลานั้นการประมือระหว่างหลงเทียนซินกับเย่เทียนตูก็หยุดลงแล้วเช่นกันเพราะทั้งคู่ต่างก็ไม่ได้คิดที่จะสังหารอีกฝ่ายให้ตายกันไปข้างหนึ่ง จึงคร้านที่จะประมือกันต่อไป
สำหรับตระกูลหลงแล้วศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาคือหลิงหยุน หาใช่ตระกูลเย่ไม่!
ทันทีที่หลงเทียนฟางรามือและขึ้นมาจากผืนน้ำเย่เทียนสุ่ยก็รีบเหาะลงไปหาหลิงหยุนที่อยู่ด้านล่างทันที พร้อมกับถามหลิงหยุนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ช่วยเจ้าเท่านี้เพียงพอหรือไม่”
หลิงหยุนเหลือบมองเย่เทียนสุ่ยพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้ายังไม่เห็นเจ้าทำอะไรเลย!” เย่เทียนสุ่ยได้ยินหลิงหยุนพูดเช่นนั้นจึงรีบแสร้งทำเป็นเดือดดาลพร้อมกับหันไปร้องตะโกนใส่คนตระกูลหลงทั้งสาม
“ตระกูลเย่ของข้าไม่ชอบเห็นคนรุมข่มเหงรังแกผู้อื่น!”
หลงเทียนฟางได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันทีเขายกมือขึ้นชี้หน้าเย่เทียนสุ่ย และตอบโต้กลับไปอย่างไม่พอใจนัก
“เจ้าหมูอ้วน!เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน”
การที่ตระกูลเย่ช่วยหลิงหยุนในครั้งนี้นั้นหลงเทียนฟางหาได้แสดงความไม่พอใจออกมาแม้แต่น้อย เพียงแต่นึกไม่พอใจอยู่เงียบๆเท่านั้น แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวหาเช่นนี้ของเย่เทียนสุ่ย หลงเทียนฟางก็ถึงกับแสดงความเดือดดาลออกมา และแทบอยากประมือใหม่อีกครั้งเลยทีเดียว
หลงฮ่าวเฉียนจ้องมองเย่ชิงซินที่อยู่ตรงข้ามด้วยแววตาสับสนเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางเย่การที่เจ้าทำเช่นนี้ ดูเหมือนจงใจที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลหลงของข้าหรือไม่”
หลงฮ่าวเฉียนกับหลงฮ่าวหลานนั้นเป็นพี่น้องกันตัวเขาเป็นพี่และมีอายุมากกว่าหลงฮ่าวหลานร่วมสิบปี หลงฮ่าวเฉียนจึงพูดกับเย่ชิงซินในฐานะผู้ที่อาวุโสกว่า อีกทั้งที่ผ่านมาตระกูลหลงกับตระกูลเย่ก็มีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาโดยตลอด หลงฮ่าวเฉียนจึงรู้สึกผิดหวังต่อการกระทำของเย่ชิงซินในคืนนี้ไม่น้อย!
เย่ชิงซินคร้านที่จะอธิบายจึงได้แต่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าได้อ้างเรื่องเป็นศัตรูหรือไม่จะดีกว่า หากท่านไม่รังแกเด็กก่อน มีหรือที่ข้าจะต้องลงมือ!”
“แม่นางเย่..เจ้ากล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกนัก ข้ากับเทียนซินเพียงแค่ต้องการจะจับมังกรดำเท่านั้น หาได้ต้องการช่วยเทียนฟางรุมหลิงหยุนแต่อย่างใด!”
มีหรือที่หลงฮ่าวเฉียนจะไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงในการลงมือของเย่ชิงซินในครั้งนี้.. นั่นเพราะคนตระกูลหลงรุ่นก่อนต่างก็รู้กันดีว่าเย่ชิงซินนั้นหลงรักหลิงเสี่ยว ทั้งสองคนต่างก็มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เป็นเพราะเย่ชิงซินต้องไปฝึกวิชาที่ฉู่ซานนานถึงสามปี และระหว่างนั้นก็ไม่ได้กลับมาปักกิ่งเลย จึงพลาดโอกาสได้ตกแต่งกับหลิงเสี่ยว
เย่ชิงซินนับเป็นหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างหาผู้ใดเปรียบได้ยากนางชื่นชอบหลิงเสี่ยวมาตั้งแต่เล็ก แต่ก็ไม่เคยปริปากพูดออกมาเลยแม้แต่น้อย และหลังจากที่รู้ว่าหลิงเสี่ยวกับหยินชิงเฉวียนรักกัน นางก็มิได้แสดงความโกรธแค้นหรืออิจฉาออกมาให้ผู้ใดเห็นเลย และเพียงไม่นานหลิงเสี่ยวกับหยินชิงเฉวียนก็ต้องประสบเคราะห์ร้ายอย่างที่ทุกคนรู้
นับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเย่ชิงซินก็โกรธแค้นตระกูลหลงเป็นอย่างมาก และแม้กระทั่งเย่ชิงเฟิงซึ่งเป็นพี่ชายของนางเอง นางก็ไม่ใส่ใจที่จะพบหน้าหรือพูดคุยกับเขามานานหลายสิบปี และเอาแต่กลับไปฝึกฝนวิชาที่ฉู่ซานจนแทบไม่ยอมกลับตระกูลเย่อีกเลย
เวลานี้เย่ชิงซินออกหน้าช่วยหลิงหยุนเช่นนี้จะเป็นด้วยเหตุผลอื่นใดได้ นอกจากต้องการปกป้องหลิงหยุนซึ่งเป็นบุตรชายของหลิงเสี่ยว!
“แม่นางเย่ตระกูลหลงของข้าพบร่องรอยของมังกรดำตัวนี้ที่ป่าเสินหนงเจี๋วย จึงได้ส่งเทียนฟางออกตามหา และเทียนฟางก็ได้ใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการตามไล่ล่ามังกรดำตัวนี้ จนกระทั่งมันหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในบ่อมังกรของทะเลสาบผอหยางแห่งนี้ และในเมื่อมันปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกข้าจึงต้องการจับมังกรตัวนี้กลับไป แต่เด็กหลิงหยุนนั่นกลับเข้ามาขวางไว้ เช่นนี้แล้วจะเป็นพวกข้าที่รุมรังแกหลิงหยุนได้อย่างไรกันเล่า”
คำพูดของหลงฮ่าวเฉียนนั้นมีเหตุผลและสามารถปกป้องตนเองได้เป็นอย่างดี ทำให้เย่ชิงซินไม่อาจโต้แย้งได้!
ถึงแม้เย่ชิงซินจะไม่อาจโต้แย้งได้แต่หลิงหยุนไม่ยอมนิ่งเฉยแน่ เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงราย แล้วจึงตอบหลงฮ่าวเฉียนกลับไปว่า
“ที่ข้าเข้าไปขัดขวางพวกเจ้าก็เพราะมังกรตัวนี้เป็นมังกรของข้าต่างหากเล่า!”
หลงฮ่าวเฉียนได้ฟังคำโต้แย้งของหลิงหยุนก็ถึงกับยิ้มออกมาเขาก้มหน้ามองหลิงหยุนที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับถามขึ้นว่า
“หลิงหยุน..ข้าขอถามเจ้าว่าในคืนที่ปักกิ่งสั่นสะเทือนนั้น เป็นฝีมือของเจ้าหรือไม่”
“เป็นข้า!”
เวลานี้ตระกูลหลิงกับตระกูลหลงนับได้ว่าเป็นศัตรูกันหลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรอีก และยอมรับไปตามความจริง หลงฮ่าวเฉียนยืนเอามือไขว้หลังยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยชม
“นับว่าคืนนั้นเจ้าสามารถปกปิดซ่อนตัวได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“อาวุโสเองก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!”
หลิงหยุนเอ่ยชมเช่นกันเพราะเขายังจำได้ว่า ครั้งนั้นหลงฮ่าวเฉียนสามารถสะกัดค่ายกลดักมังกรให้กลับมาสงบดังเดิมได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว
หลงฮ่าวเฉียนส่ายหน้าไปมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่มังกรดำใต้ฝ่าเท้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่อรอง
“หลิงหยุนตระกูลหลงของข้าต้องการมังกรดำตัวนั้น หากเจ้ามอบให้ข้าแต่โดยดี คืนนี้พวกเราก็จะต่างคนต่างแยกย้ายกันไป..”
“ฮ่าๆๆๆ”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับส่ายหน้าไปมาแล้วจึงตอบกลับไปว่า “ข้ามอบให้ท่านไม่ได้ นี่เป็นมังกรของข้า! เหตุใดข้าต้องมอบให้กับตระกูลหลงด้วยเล่า”
หลงฮ่าวเฉียนไม่แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแม้แต่น้อยเขาตอบกลับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หากเป็นเช่นนี้ระหว่างเราก็คงเหลือเพียงแค่หนทางเดียว!”
“หากข้าและเทียนฟางลงมือกับเจ้าพร้อมๆกันเจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถต้านทานพวกเราสองคนได้นานเพียงใด”
คำพูดของหลงฮ่าวเฉียนไม่ต่างจากการข่มขู่เลยแม้แต่น้อย..
แต่หลิงหยุนหาได้หวาดกลัวแต่อย่างใดเขาจ้องมองหลงฮ่าวเฉียนด้วยแววตาเย็นชา พร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว
“ระหว่างตระกูลหลิงของข้ากับตระกูลหลงของท่านยังมีความแค้นที่ยังมิได้สะสาง ข้าขอแนะนำท่านว่าอย่าได้ทำเช่นนั้น เพราะจะเป็นท่านกับหลงเทียนฟางต่างหากที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกข้าสังหาร!”
หลิงหยุนข่มขู่กลับทันที!
เย่เทียนสุ่ยถึงกับต้องยกมือขึ้นปาดเหงื่อกลางหน้าผากทันทีเพราะแม้แต่พวกเขาทั้งสามคน ยังไม่กล้าพูดกับหลงฮ่าวเฉียนเช่นนี้เลย!