หลงฮ่าวเฉียนเป็นใครงั้นหรือ
เขาคือผู้พิทักษ์ตระกูลหลงอีกทั้งยังได้รับฉายาว่าเป็นผู้ที่หาใครเทียบได้ในโลกยุทธภพอีกด้วย!
นอกเหนือจากการฝึกบ่มเพาะและวรยุทธแล้วหลงฮ่าวเฉียนยังศึกษาศาสตร์อื่นๆอย่างค่ายกลต่างๆอีกด้วย
ก่อนที่หลงฮ่าวเฉียนจะเข้าสู่วัยสามสิบห้าปีนั้นเขานับเป็นอัจฉริยะล้ำเลิศผู้หนึ่งในโลกยุทธภพ แต่หลังจากเข้าสู่วัยสามสิบห้าปีเป็นต้นไป เขาก็ปิดตัวเองหลีกเร้นจากยุทธภพไม่ยุ่งเกี่ยวอีกเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ได้เข้าสู่ระดับเจ็ดขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้ว
…..
เย่เทียนสุ่ยอยากจะเอ่ยปากเตือนหลิงหยุนเพราะเมื่อครู่เพียงแค่ประมือกับหลงเทียนฟางตัวต่อตัว ยังต้องใช้เวลาตั้งนานแต่ก็ยังไม่สามารถหาผู้แพ้ผู้ชนะได้..
แต่ตอนนี้ทั้งหลงเทียนฟางและหลงฮ่าวเฉียนจะร่วมมือกันเช่นนี้แทบไม่ต้องคิดว่าฝ่ายใดจะถูกสังหารกันแน่
การโอ้อวดบางครั้งก็หาใช่สิ่งที่ดีไม่
แทบไม่ต้องพูดถึงเย่เทียนตูและเย่ชิงซินเมื่อทั้งคู่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุน ถึงกับต้องหันไปจ้องหน้าหลิงหยุนนิ่ง และภายใต้ใบหน้างดงามของเย่ชิงซินนั้น ก็ปรากฏแววตาตำหนิติเตียนให้เห็น..
แม้แต่เย่ชิงซินยังรู้สึกว่าคำพูดของหลิงหยุนนั้นยะโสโอหังมากจนเกินไปจนกระทั่งทำให้กลายเป็นน่าขบขันไป
แม้เย่ชิงซินจะรู้ดีว่าหลิงหยุนยังมีไพ่ในมือที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้อีกมากมายแต่จากที่นางได้เห็นกระบี่หยางพิสุทธิ์ของหลิงหยุนนั้น แม้พลังของมันจะน่ากลัวไม่น้อย และสามารถทำร้ายยอดฝีมือของคุนหลุนทั้งสองจนต้องหลบหนีไปได้ แต่นางก็มั่นใจว่าคงยังไม่อาจทำอะไรหลงฮ่าวเฉียนกับหลงเทียนฟางได้
นั่นเพราะสองคนนี้ย่อมมีความสามารถที่จะหลบหลีกกระบี่หยางพิสุทธิ์ได้และต่อให้มีหนึ่งคนเลือกที่จะรับกระบี่หยางพิสุทธิ์ของหลิงหยุน แต่อีกคนย่อมสามารถฉกฉวยโอกาสนี้จู่โจมหลิงหยุนได้เช่นกัน และหลงเทียนฟางเองก็เคยทำลายเกราะป้องกันของหลิงหยุนมาได้ก่อนหน้านี้แล้ว หากหลิงหยุนต้องจดจ่ออยู่กับการจู่โจมใครคนใดคนหนึ่ง จะสามารถป้องกันตนเองจากอีกหนึ่งคนที่เหลือได้อย่างไรกันเล่า
‘เจ้าเด็กนี่คงมั่นใจว่าข้าจะต้องช่วยเขาแน่ๆสินะจึงได้กล้ากล่าววาจาโอหังเช่นนั้นออกไป..’ เย่ชิงซินได้แต่แอบคิดอยู่ในใจ และได้แต่นึกขุ่นเคืองไม่น้อย..
ในระหว่างนั้นหลงเทียนฟางก็ยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“ไอ้เด็กสามหาวเจ้าไม่รู้รึว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด ระมัดระวังปากของเจ้าไว้ด้วย!”
หลิงหยุนจ้องมองสีหน้าท่าทางดุดันของหลงเทียนฟางพร้อมตอบกับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว.. ข้าก็กำลังพูดอยู่กับลุงของเจ้ายังไงเล่า แล้วลุงของเจ้าก็ไม่ใช่ลุงของข้า..!”
หลงเทียนฟางได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของหลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนจงใจที่จะลากหลงฮ่าวเฉียนให้ลงมาร่วมประลองให้จงได้ จึงรีบหันไปบอกกับหลงฮ่าวเฉียนว่า
“ท่านลุงใหญ่ท่านอย่าได้ลดตัวลงไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กนั่น ข้าจะเป็นผู้ประมือกับเขาเอง และจะสั่งสอนให้มันได้หราบจำ!”
แม้ว่าหลงเทียนฟางจะหวาดกลัวต่อหอกมังกรทองของหลิงหยุนแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหวาดกลัวหลิงหยุนจนหัวหด หรือไม่สามารถรับมือกับหลิงหยุนได้..
เวลานี้หลงเทียนฟางกำลังโกรธมากและได้แต่คิดว่า จะยอมให้หอกมังกรทองทิ่มแทงสักสองสามแผล เพื่อแลกกับการที่ได้ชกหมัดเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอีกสิบกว่าหมัด เขาเองก็อยากจะรู้นักว่าหลิงหยุนจะสามารถทานทนไปได้นานเท่าใด
และที่สำคัญจนกระทั่งถึงตอนนี้หลงเทียนฟางยังไม่ได้แสดงไพ่ในมือที่แข็งแกร่งของตนออกมาเลยแม้แต่น้อย
ระหว่างที่ร้องตะโกนใส่หลิงหยุนนั้นหลงเทียนฟางก็กำลังจะเหาะลงไปหาหลิงหยุนที่อยู่ด้านล่าง แต่หลงฮ่าวเฉียนรีบห้ามไว้พร้อมกับหันไปกระซิบกับหลงเทียนฟางว่า
“เทียนฟาง..ก่อนที่จะอาบโลหิตมังกรครั้งต่อไป หากไม่ตกอยู่ในอันตรายจริง เจ้าไม่ควรใช้วิชามังกรพิโรธอย่างเด็ดขาด!”
วิชามังกรพิโรธของหลงเทียนฟางนั้นคล้ายคลึงกับวิชาพลังมังกรของหลิงหยุนที่สามารถเพิ่มพลัง และความแข็งแกร่งให้กับผู้ใช้ถึงเจ็ดแปดเท่าเลยทีเดียว!
“….” หลงเทียนฟางถึงกับนิ่งอึ้งและหันกลับไปมองหลงฮ่าวเฉียนถึงแม้เขาจะไม่ได้หวาดกลัวหลงฮ่าวเฉียน แต่ก็ให้ความเคารพยิ่งนัก..
หลังจากที่หลงฮ่าวเฉียนสั่งห้ามหลงเทียนฟางแล้วจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน เมื่อครู่ที่ข้าบอกว่าจะร่วมมือกับเทียนฟางจัดการกับเจ้านั้น เป็นเพียงแค่การหยั่งเชิงเจ้าเท่านั้น”
การที่หลงฮ่าวเฉียนพูดจาข่มขู่หลิงหยุนเมื่อครู่นั้นก็เพราะต้องการให้หลิงหยุนประเมินความสามารถของตนเอง และหากหลิงหยุนหวาดกลัว ก็อาจจะยอมมอบมังกรดำตัวนี้ให้กับพวกตนโดยที่ไม่ต้องมีการประมือกันให้เสียแรง..
นั่นเพราะความสามารถของหลิงหยุนเมื่อครั้งที่แสดงให้เห็นในงานชุมนุมชาวยุทธนั้นได้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาหลงฮ่าวเฉียนแล้วว่า ต่อให้เขากับหลงเทียนฟางร่วมมือกันจริง ก็คงไม่อาจสังหารหลิงหยุนได้ อย่างมากก็บีบให้เขาหนีไปได้เท่านั้น อีกทั้งยังจะนำมาซึ่งปัญหาไม่จบไม่สิ้นให้กับตระกูลหลงอีก
หากหลิงหยุนพ่ายแพ้เพราะเขากับหลงเทียนฟางร่วมมือกันในคืนนี้ในวันข้างหน้าหลิงหยุนย่อมต้องกลับไปล้างแค้นตระกูลหลงอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น จะมีสักกี่คนในตระกูลหลงที่จะยืนหยัดรับมือหลิงหยุนได้
อีกทั้งเวลานี้หลิงหยุนก็หาใช่ตัวคนเดียวไม่เขามีทั้งตระกูลหลิงที่เวลานี้ก็แข็งแกร่งไม่น้อย อีกทั้งยังมีเย่ซิงเฉิน ไป๋เซียนเอ๋อ หวังชงเซียว และแวมไพร์ที่จงรักภักดีอีกห้าตน หากหลิงหยุนนำพาคนเหล่านี้บุกไปตระกูลหลงคราวเดียวพร้อมกัน ยังจะมีคนตระกูลหลงอีกกี่คนที่สามารถรอดชีวิตมาได้เล่า
เวลานี้หลิงหยุนสู้อยู่เพียงลำพังก็จริงแต่นั่นมิได้หมายความว่าเขาจะไม่มีผู้ช่วย เพียงแค่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งฝ่ายเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้เท่านั้นเอง และการที่จู่ๆเย่ชิงซินก็หายตัวไปนั้น ทำให้หลงฮ่าวเฉียนคิดว่าเย่ซิงเฉินจะกลับไปตามคนมาช่วยนั่นเอง หลงฮ่าวเฉียนเองก็ค่อนข้างหวั่นเกรงต่อความแข็งแกร่งและกองกำลังของหลิงหยุนไม่น้อย จึงต้องการที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม
หลงฮ่าวเฉียนหันไปทางเย่ชิงซินพร้อมกับถามขึ้นว่า“แม่นางเย่ ข้ากับหลิงหยุนจะประลองกันสองต่อสอง หวังว่าแม่นางจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว..”
แต่เย่ชิงซินกลับนิ่งเงียบ..
หลงฮ่าวเฉียนเห็นเช่นท่าทีของเย่ชิงซินแล้วก็คร้านที่จะเอ่ยสิ่งใดกับนางอีกจึงได้แต่หันไปทางหลิงหยุนพร้อมกับพูดท้าทาย
“หลิงหยุนเจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมตอบกลับไปว่า“กล้าสิ! เจ้าจะเดิมพันเช่นใดก็ว่ามา”
หลงฮ่าวเฉียนชี้ไปทางเจ้าสีนิลพร้อมกับเอ่ยยิ้มๆ“พวกเราจะใช้มังกรสีดำตัวนั้นเป็นสิ่งเดิมพัน หากข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ในสามสิบกระบวนท่า มังกรตัวนี้จะต้องตกเป็นของตระกูลหลงทันที! เจ้าเห็นเป็นเช่นใด”
“ข้อเสนอของเจ้าก็ไม่เลวนัก..”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆและหันกลับไปต่อรอง “แต่เจ้าไม่คิดว่าสามสิบกระบวนท่านั้นมากเกินไปหน่อยรึ”
หลงฮ่าวเฉียนจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง“เช่นนั้นเจ้าก็เสนอมา!”
หลิงหยุนยิ้มกริ่มพร้อมกับยกมือขึ้นชูสามนิ้วและตอบกลับไปว่า “ในความเห็นของข้า สามกระบวนท่าก็น่าจะเพียงพอแล้ว!”
สีหน้าของหลงฮ่าวเฉียนเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันทีและแทบอยากจะเป็นลมล้มไปตรงนั้น..
หลงเทียนฟางไม่สามารถอดรนทนได้อีกต่อไปเขาร้องตะโกนใส่หน้าหลิงหยุนอย่างเหลืออด
“หลิงหยุนเจ้ามันไร้ยางอายสิ้นดี เจ้าไม่รู้สึกอับอายขายหน้าบ้างหรอกรึที่กล้าเอ่ยออกมาเยี่ยงนั้น”
แม้แต่เย่เทียนสุ่ยที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนถึงกับต้องรีบเหาะหนีไปด้วยสีหน้ารังเกียจ พร้อมกับพึมพำออกไปว่า
“สามกระบวนท่า..หลิงหยุนเจ้ากล้าเอ่ยออกมาได้อย่างไรกัน เฮ้อ.. ข้าพูดไม่ออกเลยจริงๆ นี่ข้ามีสหายเช่นเจ้าได้อย่างไรกัน?”
เย่ชิงซินเองก็ถึงกับหน้าเสียเช่นกันนางจ้องมองหลิงหยุนด้วยความรู้สึกผิดหวัง และได้แต่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ทำเกินไปจริงๆ จนตัดสินใจที่จะจากไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
“เอ่อ..”
หลิงหยุนรีบยกมือขึ้นเกาศรีษะอายๆและบอกกับทุกคนใหม่ว่า “เกรงว่าข้าอาจจะพูดจาไม่ชัดเจนนัก และดูเหมือนทุกคนกำลังเข้าใจผิดไป..”
“ที่ข้าบอกว่าสามกระบวนท่านั้นหมายความว่าหากข้าไม่สามารถเอาชนะหลงฮ่าวเฉียนได้ภายในสามกระบวนท่า เท่ากับว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้ต่างหากเล่า!”
“ครั้งนี้ชัดเจนแล้วหรือไม่”
ทุกคนในที่นั้นต่างก็พากันนิ่งอึ้งไปหมดและเวลานี้ก็ได้ยินเพียงแค่เสียงของสายน้ำภายในทะเลสาบผอหยางเท่านั้น..
ทางด้านเย่เทียนสุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบร่วงลงสู่พื้นดินในทันที และได้แต่เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตกใจ
“หลิงหยุนเจ้ามันบ้าไปแล้ว! แต่ก็น่าสนใจไม่น้อย..”
หลิงหยุนคร้านที่จะใส่ใจกับปฏิกิริยาของทุกคนเขาหันไปยิ้มให้กับหลงฮ่าวเฉียนพร้อมกับเอ่ยท้าทาย
“ว่าอย่างไรเล่าหากข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ในสามกระบวนท่า เท่ากับข้าเป็นผู้แพ้ เจ้ากล้ารับคำท้าของข้าหรือไม่?”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
หลงฮ่าวเฉียนถึงกับหัวเราะเสียงดังจากนั้นจึงตอบกลับไปว่า “คำท้าที่ดีเช่นนี้เหตุใดข้าจึงจะไม่กล้ารับเล่า แน่นอน.. ข้ารับคำท้าของเจ้า!”
“เช่นนั้นก็เริ่มเลย!”
บูม!
หลิงหยุนจัดการเผาเสินหยวนจำนวนสามร้อยหกสิบหยดอีกครั้งในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่ (ขั้นพลังชี่-3) นี้้ การเผาเสินหยวนครั้งเดียวสามร้อยหกสิบหยดนับว่าสูงสุดแล้ว จากนั้นเขาก็รีบเดินพลังอมตะสีทองไปยังจุดซือไห่กลางหว่างคิ้วของตนทันที!
ภายในเวลาชั่วพริบตาพลังอมตะสีทองก็เต็มเปี่ยมจุดซื่อไห่จนไม่สามารถอัดลงไปได้อีกแล้ว จากนั้นพลังอมตะที่อยู่ภายในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วก็ค่อยๆหลอมรวมเข้าด้วยกัน จนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
“กลั่นหยวน!”
หลิงหยุนเผาเสินหยวนพร้อมกับสามร้อยหกสิบหยดเพื่อให้ตนเองเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-6) และในขั้นนี้เขาก็จะสามารถใช้พลังเหนือธรรมชาติของตนกลั่นหยวนเพิ่มได้ และครั้งนี้ก็ไม่ใช่เสินหยวนธรรมดา แต่มันคือ ‘เซียนหยวน’ ที่เกิดจากการกลั่นหยวนด้วยพลังอมตะสีทองบริสุทธิ์!
และแล้วพลังอมตะสีทองจำนวนนั้นก็ได้หลอมรวมเป็นเซียนหยวนสีทองบริสุทธิ์ และแค่หนึ่งหยดก็เพียงพอแล้ว!
บูม!
หลิงหยุนจัดการเผาหยดเซียนหยวนหนึ่งหยดนี้ทันทีและใช้พลังอมตะนี้กลั่นเป็นกระบี่อยู่กลางจุดซือไห่ของตนเอง เวลานี้กระบี่สีทองบริสุทธิ์ปรากฏขึ้น และมีมังกรทองเก้าตัวรัดรึงอยู่
ทันทีที่หลิงหยุนใช้พลังจิตควบคุมกระบี่สีทองนี้ให้พุ่งออกมามันก็ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นกระบี่ยาวสามฟุตในทันที
และนี่คือกระบี่จักรพรรดิมังกร!
ทันทีที่กระบี่จักรพรรดิมังกรปรากฏขึ้นบรรยากาศภายใน และรอบทะเลสาบผอหยาง ก็ถึงกับนิ่งสงบ และเงียบสงัดลงอีกครั้ง!
หลงฮ่าวเฉียนถึงกับต้องบังคับตนเองมิให้คุกเข่าลงต่อหน้ากระบี่จักพรรดิมังกรเล่มนี้และแสงสีทองสุกสว่างของมันนั้น ก็ได้ทิ่มแทงดวงตาของหลงฮ่าวเฉียนจนถึงกับน้ำตาไหลพร่างพรูออกมา..
“นี่มัน!”
“สังหารมัน!”
เพียงแค่หลิงหยุนคิดกระบี่จักรพรรดิมังกรก็พุ่งตรงเข้าใส่หน้าอกของหลงฮ่าวเฉียนทันที!
ภายใต้กระบี่ที่คมกริบของกระบี่จักรพรรดิมังกรเล่มนี้เกราะป้องกันต่างๆของหลงฮ่าวเฉียน จึงไม่ต่างจากกระดาษบางเบาที่สามารถฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย
ร่างของหลงฮ่าวเฉียนร่วงลงจากท้องนภาสู่ผืนน้ำเบื้องล่างในทันที!
จากนั้นกระบี่จักรพรรดิมังกรก็หายกลับเข้าไปในจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วของหลิงหยุน! “เหตุใดต้องใช้ถึงสามกระบวนท่าเอาชนะเจ้าในเมื่อข้าสามารถเอาชนะเจ้าได้ในดาบเดียวเท่านั้น..”
เวลานี้แสงสีทองสุกสว่างกระจายออกจากร่างของหลิงหยุนทำให้เขาดูไม่ต่างจากจักรพรรดิบนโลกใบนี้เลยแม้แต่น้อย!
และนี่คือกระบี่ที่สะเทือนทั้งฟ้าและสะเทือนทั้งดิน!