ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 633 ระดับต่ำเกินไป ไม่ถูกใจ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ภายในสำนักความมืดแบ่งเป็นสามตำหนัก ได้แก่ตำหนักไร้แสง ตำหนักความมืดแรกเริ่ม และตำหนักแสงสลัว

ทั้งสองฝ่ายที่กำลังประชันกันอยู่ในตอนนี้ ก็คือตำหนักไร้แรงและตำหนักความมืดแรกเริ่ม

สองฝ่ายต่างเป็นจอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์ ฝ่ายหนึ่งอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นหก ขั้นกำเนิดญาณระยะท้าย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นเจ็ด ขั้นรูปญาณระยะต้น

ถึงแม้พลังฝึกปรือจะแบ่งเป็นสูงต่ำ แต่เมื่อมาถึงระดับนี้ ความสูงต่ำในด้านความเข้าใจต่อวิชาหลอมโอสถไม่ดูที่ระดับของบุคคล ระดับพลังฝึกปรือไม่ได้กำหนดปัจจัยความสำเร็จ

จอมยุทธ์ระดับมหาปรมาจารย์คนบางคนก็มีความสามารถในการหลอมโอสถเหนือกว่ายอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องที่หาได้ยาก

อย่างน้อยหลังจากเยี่ยนจ้าวเกอดูคร่าวๆ แล้ว ก็รู้สึกว่าจอมยุทธ์สำนักความมืดจากตำหนักไร้แสง ที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณซึ่งมีพลังฝึกปรือค่อนข้างต่ำผู้นั้น มีความเข้าใจในวิชาหลอมโอกสถลึกซึ้งยิ่งกว่า

ไม่ต้องลงมือหลอมโอสถจริงๆ ก็กำจัดปัจจัยสุดท้ายจำนวนหนึ่ง ที่เกิดจากความต่างในด้านระดับฝึกปรือของทั้งสองฝ่ายไปได้แล้ว

การอนุมานตำรับโอสถดั้งเดิม กลายเป็นการประชันกันด้านทฤษฎีล้วนๆ ถึงแม้ว่าจะเหมือนการถกกลยุทธ์บนแผ่นกระดาษ แต่กลับทำให้เยี่ยนจ้าวเกอสัมผัสได้โดยตรงมากกว่าเดิม

‘อืม ระดับไม่ต่ำทีเดียว…’ เยี่ยนจ้าวเกอมองอยู่ครู่หนึ่ง พลางพยักหน้าเงียบๆ ‘มองใหญ่จากเล็ก วิชาหลอมโอสถบนโลกซ้อนโลกรับช่วงวิชาก่อนวิกฤตการณ์มามากที่สุด หรืออาจจะบอกว่าเริ่มพัฒนาได้เร็วที่สุด เหนือกว่าแปดพิภพ โลกผืนสมุทร และโลกลอยน้ำไม่ต่ำกว่าหนึ่งสองเท่า’

อาหู่ส่งกระแสเสียงกับเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ “คุณชาย ท่านว่าใครจะแพ้ ใครจะชนะ”

“คนในตำหนักไร้แสง” เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “แต่ถ้าจะให้ข้าบอกจริงๆ สองคนนั้นเป็นผู้แพ้ทั้งคู่”

ชายร่างใหญ่เบิกตาโพลง มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างฉงน

เยี่ยนจ้าวเกอมองดูตำรับโอสถนั้น กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “สำหรับพวกเขาแล้ว การอนุมานและการคืนสภาพตำรับยาที่ไม่สมบูรณ์ ไหนเลยจะง่ายถึงเพียงนั้น”

“ถ้าหากแก้ไขได้ในช่วงเวลาสั้นๆ จริงๆ ตำรับยานี้คงจะได้รับการฟื้นฟูกลับมาแต่แรก พวกเขาคงตามหาวัตถุดิบที่เหมาะสมมาทุ่มใช้แล้ว เหตุใดยังต้องรอนำมาแข่งขันกันอีก”

“เนื้อหาการแข่งขันของพวกเขา ที่จริงอยู่ในเวลาที่จำกัด ดูว่าเนื้อหาที่ถูกฟื้นฟูของใครมีมากกว่า แน่นอนว่ายังไม่ต้องพูดถึงว่าไม่อาจจะมีข้อผิดพลาด”

“คนของตำนักความมืดแรกเริ่มตอนนี้เร็วกว่าเล็กน้อย แต่มีช่องโหว่โผล่มาแล้วจุดหนึ่ง” เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยเรียบๆ “คนของตำหนักไร้แสง จนถึงตอนนี้ยังไม่มีปัญหา แต่ว่าทำงานละเอียดจนช้าเกินไป”

อาหู่เกาศีรษะ “คุณชาย ท่านมีตำรับโอสถฉบับสมบูรณ์หรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบ “ย่อมไม่มี แต่ดูจากเนื้อหาของตำรับโอสถในตอนนี้ น่าจะเป็นโอสถที่ชื่อโอสถทัศน์จิต พบเห็นก่อนวิกฤตการณ์ได้บ่อย แต่ก็หายสาปสูญไปพร้อมวิกฤตการณ์ คิดไม่ถึงว่าจะเห็นฉบับชำรุดของตำรับโอสถที่นี่”

เขาไม่ได้หลอกลวงอาหู่ เขาไม่มีตำรายาโอสถทัศน์จิตจริงๆ สาเหตุเป็นเพราะระดับของมันยังไม่สูงพอ…

แค่ระดับของเยี่ยนจ้าวเกอในวิชาแห่งการหลอมโอสถ ก็ไม่รู้ว่าเหนือกว่าคนที่อยู่รอบๆ เท่าไรแล้ว

สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายไม่อาจอนุมานและคืนสภาพได้ในระยะเวลาสั้นๆ เยี่ยนจ้าวเกอมองเพียงปราดเดียว ในใจก็มีข้อสรุปคร่าวๆ แล้ว

ถึงอย่างไรนอกจากวิชาหลอมอาวุธแล้ว สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือวิชาหลอมโอสถกับค่ายกล

ค่ายกลยังเป็นสิ่งที่เขาพยายามเสริมขึ้นในภายหลัง ส่วนวิชาหลอมอาวุธเป็นวิชาความรู้ที่เขามั่นใจมาตั้งแต่แรก

แต่ตอนแรกไม่อาจแสดงให้เห็นได้มากเกินไป เพราะความทรงจำที่เขาเหลือไว้ให้คนรอบข้างตอนที่ยังเป็นเด็กนั้น ไม่เชี่ยวชาญวิชาหลอมโอสถนัก

ตอนที่ช่วยจ้าวหยวน องค์ชายใหญ่ของถังตะวันออกสะกดจ้าวฮ่าว เป็นเพราะคิดถึงสถานการณ์ทางการเมืองของอาณาจักรถังตะวันออก จึงถือเป็นกรณีพิเศษ

หลังจากพลังฝึกปรือของตนยิ่งมายิ่งสูงขึ้น ไปสถานที่ต่างๆ มากขึ้น ประสบการณ์เต็มเปี่ยมขึ้น ความสามารถด้านวิชาหลอมโอสถของตัวเองก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างเป็นขั้นเป็นตอนในช่วงเวลาหลายปีมานี้

อาหู่หัวเราะแหะๆ พร้อมกับยุเยี่ยนจ้าวเกอ “คุณชาย เช่นนั้นท่านไม่คิดแสดงความสามารถให้พวกเขาเห็นหรือ? ให้พวกเขาได้เห็นว่าอะไรคือของจริง”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดอย่างไม่ค่อยสนใจนัก “แสดงความสามารถก็ไม่ใช่แสดงต่อหน้าพวกเขา พวกเขาจะเข้าใจหรือไม่ต่างหากที่เป็นปัญหา”

อาหู่ตาค้าง เนิ่นนานต่อมาค่อยได้สติ ยกนิ้วโป้งขึ้น “คุณชาย ข้าเลื่อมใสท่านจริงๆ!”

ชายหนุ่มมองดูการแข่งขันของมหาปรมาจารย์ในสำนักความมืดทั้งสองคนอย่างนิ่งสงบ เหมือนครูที่กำลังดูนักเรียนสองคนเถียงกัน

สำหรับเขาแล้ว สองคนนี้ใครชนะใครแพ้ ใครสูงใครต่ำ ต่างไม่อาจนำมาใส่ใจ แค่อนุมานระดับวิชาหลอมโอสถของจอมยุทธ์สำนักความมืดผ่านการสังเกตสองคนนี้ ก็สรุประดับวิชาโอสถของทะเลหวงเจีย หรือแม้แต่โลกซ้อนโลกได้แล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอสบายอารมณ์ อู๋จื่อซิวกับเนี่ยเซิ่งกลับหนักใจ

เนี่ยเซิ่งมองไปยังอู๋จื่อซิวด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ผู้อาวุโสอู๋ ถ้าเขาไม่ลงมือจะทำอย่างไรดี หรือเขาจะไม่เชี่ยวชาญทางนี้?

อู๋จื่อซิวส่ายหน้า พูดอย่างแน่ใจว่า “ไม่ ดูจากสีหน้าของเขา เขาไม่ใช่คนไม่รู้ความ ท่าทางเหมือนมีแผนอยู่เต็มอก เฮ้อ เกรงว่าจะรังเกียจที่ระดับของตำรับโอสถทัศน์จิตที่ต่ำต้อย”

ผู้อ่อนอาวุโสกว่านิ่วหน้า “เขาไม่เอ่ยปาก เป็นเพราะมีมารยาท หรือเป็นเพราะจับแผนการของเราได้”

หลังจากอู๋จื่อซิวครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อย “น่าจะไม่สังเกตเห็นแผนการของพวกเรา ถ้าไม่ใช่เพราะมีมารยาท ก็เป็นเพราะไม่อยากจะสนใจ”

ชายชราถอนใจคำหนึ่ง “เมื่อเป็นเช่นนี้ ระดับที่แท้จริงของเขาน่าจะสูงกว่าที่ข้าคาดไว้”

เนี่ยเซิ่งเงียบงันครู่หนึ่ง “ถ้าหากเขาไม่เกี่ยวข้องกับองค์ประมุขตงหนาน แต่มาจากสถานที่ที่ไกลออกไปเล่า?”

อู๋จื่อซิวเงียบเสียงแล้วเช่นกัน

หากเยี่ยนจ้าวเกอไม่เกี่ยวข้องกับประมุขตงหนาน แต่มาจากสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป เช่นนั้นเขาก็ข้ามโลกมาแล้ว!

ถ้าเป็นประวัติเดินทางทั่วไป ไม่มีเรื่องอะไรยังพอว่า แต่หากเกิดเรื่องขึ้น สำนักความมืดผูกมิตรกับเขา วันหน้าไม่แน่จะสะกิดความโกรธของประมุขตงหนาน

ดูจากในตอนนี้ เยี่ยนจ้าวเกอมีความแค้นกับสำนักแสงสว่าง กอปรกับเพิ่งฆ่าคนของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องไป ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รูปการณ์ที่ปลอดภัย

อู๋จื่อซิวถอนใจยาว “หากสืบเบื้องหลังของคนผู้นี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจวางใจได้จริงๆ”

เนี่ยเซิ่งมองอู๋จื่อซิวอยู่ครู่หนึ่ง “ผู้อาวุโสอู๋ ท่านคงไม่คิดจะออกโรงด้วยตัวเองกระมัง?”

“นั่นไม่จำเป็น” อู๋จื่อซิวตอบ

ครั้นพูดจบเขาก็เรียกคนคนหนึ่งเข้ามา เป็นผู้อาวุโสตำหนักไร้แสงที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่ง ขั้นรวมรูประยะต้น

เนี่ยเซิ่งรู้ว่าคนผู้นี้คือ เฉินเค่อ ลูกศิษย์ที่อู๋จื่อซิวสั่งสอนด้วยตัวเอง

ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพลังฝึกปรือของเฉินเค่อได้มาจากการถ่ายทอดของอู๋จื่อซิว ระดับวิชาหลอมโอสถเองก็โดดเด่น ถือเป็นหนึ่งในบุคคลที่ล้ำเลิศที่สุดในหมู่จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นรวมรูปของสำนักความมืด

อู๋จื่อซิวกำชับเขาสองสามคำ เฉินเค่อพลันพยักหน้า “น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์”

วินาทีถัดมา เฉินเค่อก็ปรากฏตัวในโถงโอสถ

เขาทำท่าทางพบเจอโดยบังเอิญ คำนับเยี่ยนจ้าวเกอ ลูกศิษย์สำนักความมืดทุกคนเองก็คำนับเขาเช่นกัน ก่อนที่เขาจะโบกมือบอกให้แข่งกันต่อ

เฉินเค่อสนทนาเรื่อยเปื่อยกับเยี่ยนจ้าวเกอ เขาพบว่าวิชาหลอมโอสถของบุรุษผู้นี้ไม่เลว กลับโดดเด่นยิ่งกว่ามหาปรมาจารย์สองคนที่กำลังแข่งกันอยู่

ด้วยเหตุนี้ เยี่ยนจ้าวเกอจึงไม่รีบผละไป ทางหนึ่งสนทนากับเฉินเค่อ ทางหนึ่งรอการแข่งถึงเวลาจบลง

ทั้งสองฝ่ายที่แข่งกัน ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์และโต้เถียงกันเองอีก ต่างให้เฉินเค่อเป็นคนกลาง ถึงเฉินเค่อจะเป็นผู้อาวุโสตำหนักไร้แสง แต่จอมยุทธ์สายตำหนักความมืดแรกเริ่มกลับไม่คัดค้าน

เฉินเค่อหางตามชำเลืองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มวิจารณ์อย่างไม่รีรอ

……………………………………….