ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 634 ไม่ยอมไม่ได้!

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ตอนที่สำนักความมืดได้รับตำรับโอสถทัศน์จิต มันเป็นฉบับชำรุดจริงๆ

แต่ในเมื่อมีความตั้งใจแล้ว อู๋จื่อซิวย่อมเตรียมอนุมานและฟื้นฟูตำรับโอสถ

สำหรับลูกศิษย์หลานศิษย์ มันเป็นตำรับโอสถที่ต้องใช้คำวามพยายาม แต่สำหรับยอดฝีมือด้านวิชาแห่งโอสถระดับอู๋จื่อซิว ไม่ได้ลำบากถึงเพียงนั้น

เพียงแต่ตำรับโอสถเช่นโอสถทัศน์จิต ปกติไม่ต้องรบกวนอู๋จื่อซิว เพราะตัวเขามีสิ่งสำคัญกว่าต้องทำ

ครั้งนี้วางแผนลองหยั่งเชิงเยี่ยนจ้าวเกอ ดังนั้นอู๋จื่อซิวจึงนำตำรับโอสถออกมา

เฉินเค่อนึกถึงคำสั่งของอู๋จื่อซิวขณะวิจารณ์ทั้งสองฝ่ายที่แข่งขันกันโดยไม่แสดงสีหน้า

เป็นไปตามที่เยี่ยนจ้าวเกอคิดไว้ เกิดช่องโหว่ขึ้นในกระบวนการอนุมานของมหาปรมาจารย์รูปญาณจากตำหนักความมืดแรกเริ่ม

ข้อผิดพลาดจุดหนึ่ง ก่อให้เกิดข้อผิดพลาดจุดที่สอง และจุดที่สามตามมา

ส่วนมหาปรมจารย์ขั้นกำเนิดญาณผู้นั้นของตำหนักไร้แสง ถึงจะมีพลังฝึกปรือจะค่อนข้างต่ำ แต่ระดับวิชาหลอมโอสถกลับสูงกว่า ในขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจและทำอย่างเป็นลำดับขั้นตอน

ชนะแพ้แยกแยะออกอย่างชัดเจน เฉินเค่อไม่เพียงแต่ตัดสินเท่านั้น ยังอนุมานตำรับโอสถทัศน์จิตดั้งเดิม ต่อจากพื้นฐานที่เป็นผลลัพธ์การแข่งขันของทั้งสองฝ่ายด้วย

เขาอนุมานไปพลาง อธิบายให้ลูกศิษย์สำนักความมืดที่อยู่รอบๆ ฟังไปพลาง

จอมยุทธ์สำนักความมืดที่รวมตัวอยู่ที่ในโถงโอสถ นอกจากมาดูเรื่องสนุกแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนสนใจในการหลอมโอสถ เฉินเค่อจึงฉวยโอกาสนี้ชี้แนะพวกเขา

จอมยุทธ์สำนักความมืดย่อมทะนุถนอมโอกาสที่หาได้ยาก พากันตั้งใจฟัง

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มฟังอยู่ด้านข้าง

หากไม่ถืออคติ เขารู้สึกว่าระดับของเฉินเค่อไม่เลว อนุมานขั้นตอนของตำรับโอสถดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน วิธีการถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะยุ่งเหยิงไปบ้าง แต่ก็ทำให้เห็นถึงความสามารถอันลึกล้ำของเขา

ทว่าฟังไปฟังมา เยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ

เฉินเค่อที่กำลังสอนลูกศิษย์สำนักความมืด ความจริงกำลังสังเกตการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจ้าวเกอเงียบๆ

เมื่อเห็นสายตาที่ค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงของเยี่ยนจ้าวเกอ จิตใจของเฉินเค่อก็สั่นไหวเล็กน้อย ในห้วงสมองปรากฏวาจาที่อู๋จื่อซิวผู้เป็นอาจารย์กำชับก่อนหน้านี้

‘ในตำรับโอสถของข้า ถึงตอนสุดท้ายให้เหลือจุดผิดพลาดไว้หนึ่งจุด ลองดูว่าเยี่ยนจ้าวเกอนั่นจะพบหรือไม่’

‘ถ้าหากเขาชี้บอก ให้เจ้าฉวยโอกาสสนทนากับเขา ฟังวิธีอันสมบูรณ์ในการอนุมานตำรับโอสถทัศน์จิตของเขา’

เฉินเค่อคิดในใจ สีหน้ายังคงเหมือนไร้เรื่องราว สอนศิษย์ร่วมสำนักของตัวเองไปต่อ

เยี่ยนจ้าวเกออดทนฟังเเฉินเค่อสอนจบ คิดเล็กน้อย เลือกวิธีส่งกระแสเสียงพูดกับเฉินเค่อว่า ‘ผู้อาวุโสเฉิน อภัยที่ข้าแทรกกะทันหัน ตำรับโอสถของโอสถทัศน์จิตยังมีบางอย่างต้องพิจารณาดู’

ถึงจะชอบทำตัวได้ใจ ชอบวางท่า ชอบแสดงความสามารถ แต่ว่าสำนักความมืดในตอนนี้ก็ปฏิบัติกับตนเป็นอย่างดี เยี่ยนจ้าวเกอไม่เอ่ยปากแสดงความสงสัยตำรับโอสถของเฉินเค่อต่อหน้าทุกคน แต่เลือกใช้การส่งกระแสเสียง เพียงสนทนากับเฉินเค่อสองคน

เฉินเค่อสายตาเคร่งขรึม ‘เขาพบจุดผิดพลาดจริงๆ ด้วย!’

ตำรับโอสถนี้ เฉินเค่อลองทำความเข้าใจดูแล้ว พบว่าการอนุมานของอู๋จื่อซิวผู้เป็นอาจารย์สมบูรณ์แบบโดยแท้

อู๋จื่อซิวแม้จะจงใจทิ้งช่องโหว่เอาไว้ แต่ความจริงซ่อนไว้ลึกยิ่ง หากเขาไม่อธิบายให้ตัวเฉินเค่อดูเอง เขาดูเองสองสามรอบก็ไม่มีทางหาเจอ จำเป็นต้องดูหลายรอบมากๆ ถึงจะสังเกตปัญหาด้านใน

ตามการวิเคราะห์ของเฉินเค่อ จะเรียกว่าช่องโหว่ยังไม่ถูก พูดว่าเป็นเป็นส่วนที่ขาดจะเหมาะสมกว่า

ถ้าหากเปิดเตาหลอมโอสถตามตำรับโอสถตอนนี้ ใช่ว่าจะหลอมไม่สำเร็จ เพียงแต่คุณสมบัติของโอสถจะด้อยลงไปบ้างเท่านั้นเอง

ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับพบจุดบกพร่องในทันทีหรือ?

‘คนผู้นี้คงไม่ใช่มีตำรับโอสถทัศน์จิตที่แพร่หลายก่อนวิกฤตการณ์อยู่ในมือกระมัง?’ เฉินเค่ออดคิดในใจไม่ได้

เขารู้สึกสงสัย แต่สีหน้าราบเรียบยิ่ง ส่งกระแสเสียงตอบว่า ‘โอ้ ตำรับโอสถของโอสถทัศน์จิตนี้หายสาปสูญไปหลังวิกฤตการณ์ สำนักเราได้ตำรับโอสถชำรุดมาโดยบังเอิญ หรือคุณชายเยี่ยนจะมีตำรับโอสถสมบูรณ์ที่แพร่หลายก่อนวิกฤตการณ์หรือ?’

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเล็กน้อย ‘ไม่ใช่หรอก เพียงแต่ในตอนที่คนของสำนักท่านแข่งขันกัน ข้าลองอนุมานดูแล้วเช่นกัน’

เฉินเค่อถามเชื้องช้า ‘ไม่ทราบคุณชายเยี่ยนจะชี้แนะว่าอะไร?’

‘ในตัวโอสถ ปริมาณของวัตถุดิบอย่างหยดโลหิตพันเกล็ดเยอะไปครึ่งส่วน’ เยี่ยนจ้าวเกออธิบาย

‘หือ…หา?’ เฉินเค่อเพิ่งพยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็รู้ว่าสึกไม่ถูกต้อง

นี่แตกต่างกับข้อผิดพลาดที่อู๋จื่อซิวบอกตน!

‘ที่แท้ไม่รู้ แต่แสร้งรู้’ รอยยิ้มในดวงตาของเฉินเค่อปรากฎขึ้นแวบเดียวแล้วหายไป คิดจะเอ่ยปากโต้ตอบโดยสัญชาตญาณ

แต่คำพูดถึงมุมปากก็หยุดลง เฉินเค่อเป็นคนที่เชี่ยวชาญการหลอมโอสถ ครั้นไตร่ตรองวาจาของเยี่ยนจ้าวเกออย่างละอียดแล้ว จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าคำพูดของอีกฝ่ายดูเหมือน…อาจจะมีเหตุผล?

นี่ทำให้เฉินเค่อตกใจยิ่งนัก

เยี่ยนจ้าวเกออธิบายต่อไปอย่างไม่สนใจ ‘จากนั้น ปริมาณของหินทัศน์พิสุทธิ์น้อยไปสามส่วน เพิ่มอีกนิดถึงจะดี’

‘ยังมี แกนหญ้าหัวใจเหมือนจะหายสาปสูญไปแล้วใช่หรือไม่? ใช้แกนดอกเมฆากระจ่างมาแทนที่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ข้าคิดว่าใช้แกนหญ้ามังกรกลางแทน จะให้สรรพคุณดีกว่า’

‘นอกจากนี้ แทนที่จะใช้ผลตงเซี่ยง ข้ารู้สึกว่าตากกิ่งก่อน จากนั้นค่อยบดเป็นผง จะมีสรรพคุณยอดเยี่ยม’

‘สุดท้าย ถ้าหากบดยาตอนเปิดเตาได้เร็วกว่าเดิม จะได้โอสถง่ายกว่า ประหยัดวัตถุดิบมากกว่า’

เยี่ยนจ้าวเกอพูดจบก็มองเฉินเค่ออย่างจริงใจ “ต่างเป็นปัญหาเล็กๆ อาจจะเหมือนเป่าขนหาข้อด้อยไปบ้าง แต่ว่าข้าเห็นการอนุมานของผู้อาวุโสเฉินแยบคายยิ่ง เพียงแต่อาจจะเพราะเรื่องเกิดขึ้นกะทันหัน จึงละเลยรายละเอียดบางส่วนไป ถ้าหากใส่ใจสักเล็กน้อย ตำรับโอสถของโอสถทัศน์จิตนี้โดยพื้นฐานถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว”

“แน่นอนว่าข้าหมายถึงผลลัพธ์ที่ปัจจัยในตอนนี้จะไปถึงได้”

เขากลับไม่ได้คิดมาก ตรงกันข้าม เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตำรับโอสถที่เฉินเค่ออนุมานออกมาไม่เลวมากแล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ตำรับโอสถดีที่สุด

ดังนั้นความคิดแสดงความสามารถให้อีกฝ่ายเห็นก่อนหน้าจึงค่อยๆ เบาบางลง ตอนนี้แค่ถือโอกาสช่วยเท่านั้น

เฉินเค่อมองเยี่ยนจ้าวเกออย่างลึกซึ้ง เขาฟังวาจาท่อนหลังของชายหนุ่มไม่ออกแล้ว ในห้วงสมองล้วนเป็นการปรับปรุงตำรับโอสถทัศน์จิตที่อีกฝ่ายบอกเขาเมื่อครู่นี้

นอกจากบดผลตงเซี่ยงแล้ว ล้วนเป็นหัวข้อที่อู๋จื่อซิวได้เตือนไป หัวข้ออื่นๆ ล้วนเป็นเรื่องที่พวกเขาสองศิษย์อาจารย์ก่อนหน้านี้คิดไม่ถึง

เขาเป็นคนรู้ความ หลังจากขบคิดอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่าคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นความจริง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสมเหตุสมผล

แต่เพราะเหตุนี้เอง ก็ยิ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นสะเทือนกว่าเดิม

เฉินเค่อฝืนสงบจิตใจ ถามเยี่ยนจ้าวเกอว่าอนุมานได้อย่างไร

เขาอยากพิสูจน์เป็นครั้งสุดท้ายว่า เยี่ยนจ้าวเกอมีตำรับดั้งเดิมของโอสถทัศน์จิตตั้งแต่แรกหรือไม่

เยี่ยนจ้าวเกอยามนี้พิจารณาเขาอย่างละเอียด จากนั้นก็แนะนำอีกสองสามคำอย่างไม่ถือ เฉินเค่อได้ยินก็จนปัญญาโดยสิ้นเชิง

ไม่ยอมไม่ได้

ขณะมองเยี่ยนจ้าวเกอที่ยังอายุไม่ถึงสามสิบปีด้านหน้านี้ เฉินเค่อถึงขั้นขวัญหลุดวิญญาณหาย

หลังจากบอกลากันเสร็จ เขาก็กลับมาถึงในห้องสงบใจ อู๋จื่อซิวกับเนี่ยเซิ่งยังคงรอคอยอย่างกระวนกระวาย

ครั้นได้ยินเฉินเค่อบรรยาย อู๋จื่อซิวพลันนิ่งอึ้งอยู่กับที่

ทันทีชายชราได้สติกลับมา เขาก็หัวเราะเสียงขื่นอย่างไม่อาจควบคุม เนี่ยเซิ่งกลัวเขารับไม่ได้ จึงรีบร้อนเอ่ยว่า “ระดับการหลอมโอสถของบุรุษผู้นี้สูงล้ำจริงๆ แต่จะว่าไปผู้อาวุโสอู๋ก็มองเบื้องหลังของเขาออกแล้ว เป้าหมายของพวกเราในที่สุดก็สำเร็จ”

“เป้าหมาย?” อู๋จื่อซิวฉีกมุมปาก เผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าร้องให้ “มองนั้นมองออก แต่ว่าไม่ต่างกับมองไม่ออก ไม่ถูก น่าจะย่ำแย่กว่ามองไม่ออกเสียอีก”

……………………………………….